พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๕. อุชฌานสัญญีสูตร ว่าด้วยเทวดามุ่งโทษ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ส.ค. 2564
หมายเลข  36196
อ่าน  370

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 187

๕. อุชฌานสัญญีสูตร

ว่าด้วยเทวดามุ่งโทษ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 187

๕. อุชฌานสัญญีสูตร

ว่าด้วยเทวดามุ่งโทษ

[๑๐๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดาผู้มีความมุ่งหมายเพ่งโทษมากด้วยกัน มีวรรณะงาม ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจึงได้ลอยอยู่ในอากาศ.

[๑๐๗] เทวดาองค์หนึ่ง ครั้นลอยอยู่ในอากาศแล้ว ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

บุคคลใดประกาศตนอันมีอยู่โดยอาการอย่างอื่น ให้เขารู้โดยอาการอย่างอื่น บุคคลนั้นลวงปัจจัยเขากินด้วยความเป็นขโมย เหมือนความลวงกินแห่งพรานนก ก็บุคคลทำกรรมใด ควรพูดถึงกรรมนั้น ไม่ทำกรรมใด ก็ไม่ควรพูดถึงกรรมนั้น บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้จักบุคคลนั้น ผู้ไม่ทำ มัวแต่พูดอยู่.

[๑๐๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาทั้งหลายนี้ว่า

ใครๆ ไม่อาจดำเนินปฏิปทานี้ด้วยเหตุสักว่าพูด หรือฟังส่วนเดียว บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลาย ผู้มีฌาน ย่อมพ้นจาก

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 188

เครื่องผูกของมาร ด้วยปฏิปทาอันมั่นคงนี้ บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลาย ทราบความเป็นไปของโลกแล้ว รู้แล้ว เป็นผู้ดับกิเลส ข้ามตัณหาเป็นเครื่องเกี่ยวข้องในโลกแล้ว ย่อมไม่พูดโดยแท้.

[๑๐๙] ในลำดับนั้นแล เทวดาเหล่านั้นลงมายืนบนแผ่นดิน หมอบลงใกล้พระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ โทษของพวกข้าพเจ้าล่วงไปแล้ว พวกข้าพเจ้าเหล่าใด เป็นพาลอย่างไร เป็นผู้หลงแล้วอย่างไร เป็นผู้ไม่ฉลาดอย่างไร ได้สำคัญแล้วว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าอันพวกเราพึงรุกราน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดอดโทษของพวกข้าพเจ้านั้น เพื่อจะสำรวมในกาลต่อไป.

ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงยิ้มแย้ม.

[๑๑๐] ในลำดับนั้นแล เทวดาเหล่านั้นผู้เพ่งโทษโดยประมาณยิ่ง กลับขึ้นไปบนอากาศ เทวดาองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

เมื่อเราแสดงโทษอยู่ ถ้าบุคคลใดมีความโกรธอยู่ในภายใน มีความเคืองหนัก ย่อมไม่อดโทษให้ บุคคลนั้นย่อมสอดสวมเวร หากว่าในโลกนี้ โทษก็ไม่มี ความผิดก็ไม่มี เวรทั้งหลายก็ไม่สงบ ในโลกนี้ใครพึงเป็นคนฉลาด เพราะเหตุไรโทษทั้งหลายของใคร ไม่มี ความผิดของ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 189

ใครก็ไม่มี ใครไม่ถึงแล้วซึ่งความหลงใหลในโลกนี้ ใครย่อมเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีสติในกาลทั้งปวง.

[๑๑๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

โทษทั้งหลายไม่มี ความผิดก็ไม่มีแก่พระตถาคตนั้น ผู้ตรัสรู้แล้ว ผู้เอ็นดูแก่สัตว์ทั้งปวง พระตถาคตนั้นไม่ถึงแล้วซึ่งความหลงใหล พระตถาคตนั้นย่อมเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีสติในกาลทั้งปวง เมื่อพวกท่านแสดงโทษอยู่ หากบุคคลใดมีความโกรธอยู่ในภายใน มีความเคืองหนัก ย่อมไม่อดโทษให้ บุคคลนั้นย่อมสอดสวมเวร เราไม่ชอบเวรนั้น เราย่อมอดโทษแก่ท่านทั้งหลาย.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 190

อรรถกถาอุชฌานสัญญีสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอุชฌานสัญญีสูตรที่ ๕ ต่อไป :-

บทว่า อุชฺฌานสญฺิกา แปลว่า ผู้มีความมุ่งหมายเพ่งโทษ อธิบายว่า เทวโลก ชื่อว่า อุชฌานสัญญี ซึ่งแยกออกไปจากเทวโลกอื่นนั้นมิได้มีก็แต่ว่า เทวดาเหล่านี้อาศัยบริโภคปัจจัย ๔ ของพระตถาคตเจ้า แล้วมาเพ่งโทษอยู่.

ได้ยินว่า เทวดานั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมพึงกล่าวลวงให้มีความสันโดษด้วยบังสุกุลจีวรด้วยคำข้าวที่หามาได้ด้วยการบิณฑบาต ด้วยการอยู่เสนาสนะโคนไม้ ด้วยยาดอง ด้วยน้ำมูตรเน่า และย่อมกล่าวยกย่องบุคคลผู้ยังกิจนั้นให้สำเร็จสุดยอด แต่พระองค์เอง ทรงจีวรอันประณีตมีผ้าโขมพัสตร์เนื้อละเอียดชนิดดี เป็นต้น ย่อมเสวยโภชนะอันเลิศ อันสมควรแก่พระราชา ย่อมบรรทมบนที่นอนอันประเสริฐในพระคันธกุฏีอันควรเป็นวิมานของเทพ ย่อมเสวยเภสัชทั้งหลายมี เนยใส เนยข้น เป็นต้น ย่อมแสดงธรรมแก่มหาชนในกลางวัน ถ้อยคำของพระองค์กับการกระทำของพระองค์เป็นไปคนละอย่าง ดังนี้ จึงมาโพนทะนามุ่งหมายเพ่งโทษพระตถาคตเจ้า ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหเถระทั้งหลาย จึงเรียกชื่อเทวดาเหล่านั้นว่า อุชฌานสัญฺิกา แปลว่าผู้มีความมุ่งหมายเพ่งโทษดังนี้.

บทว่า อญฺถา สนฺตํ แปลว่า มีอยู่โดยอาการอย่างอื่น คือได้แก่เป็นไปโดยอาการอย่างอื่น.

บทว่า นิกจฺจ แปลว่า ลวงแล้ว ได้แก่ ลวงด้วยการหลอกลวงเขากิน.

บทว่า กิตวสฺเสว นี้ เทวดากล่าวว่า เหมือนนายพรานนกลวงจับนก.

จริงอยู่ นายพรานนกนั้น เมื่ออยู่ในที่มิใช่พุ่มไม้ก็เข้าไปแสดงเหมือนลักษณะแห่งพุ่มไม้โดยปกปิดตน ด้วยกิ่งและใบไม้ เป็นต้น

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 191

ยังนกทั้งหลาย มีนกยูงและนกกระทา เป็นต้น ให้ตาย การทำการเลี้ยงภรรยา. บุคคลผู้โกหกปกปิดอัตภาพด้วยผ้าบังสุกุล ลวงมหาชน เพราะความที่ตนเป็นคนฉลาดในการพูด เคี้ยวกินอยู่ เที่ยวไป การกินนั้นของบุคคลนั้นดังขโมย ทั้งการบริโภคปัจจัย ๔ แม้ทั้งหมดก็ดุจขโมย เหมือนการกินเนื้อนกของนายพรานนก ผู้ลวงนกอย่างนี้ เทวดากล่าวด้วยการลวงนี้ ด้วยประการฉะนี้ โดยหมายเอาพระผู้มีพระภาคเจ้า.

บทว่า ปริชานนฺติ ปณฺฑิตา แปลว่า บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมรู้จักบุคคลนั้น อธิบายว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมรู้ว่าบุคคลนี้เป็นผู้กระทำการลวง หรือไม่ลวง ดังนี้.

ด้วยเหตุนี้แหละ เทวดาเหล่านั้นสำคัญอยู่ว่า แม้พระตถาคตของพวกเรานั่นแหละเป็นผู้รู้ จึงกล่าวแล้วอย่างนั้น.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำว่า

นยิทํ ภาสิตมตฺเตน เอกนฺตสวเนน วา อนุกฺกมิตเว สกฺกา ยายํ ปฏิปทา ทฬฺหา ยาย ธีรา ปมุจฺจนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา น เว ธีรา ปกุพฺพนฺติ วิทิตฺวา โลกปริยายํ อญฺาย นิพฺพุตา ธีรา ติณฺณา โลกา วิสตฺติกํ.

ใครๆ ไม่อาจดำเนินปฏิปทานี้ด้วยเหตุสักว่าพูด หรือว่าฟังส่วนเดียว บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลาย ผู้มีฌาน ย่อมพ้นจากเครื่องผูกของมาร ด้วยปฏิปทาอันมั่นคง บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลายทราบความเป็นไปของโลกแล้ว รู้แล้ว เป็นผู้

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 192

ดับกิเลส ข้ามตัณหาเป็นเครื่องข้องในโลกแล้ว ย่อมไม่พูดโดยแท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยายํ ปฏิปทา ทฬฺหา อธิบายว่า ปฏิปทานี้ คือ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.

จริงอยู่ บุคคลทั้งหลายมีปัญญา คือ บัณฑิตทั้งหลายผู้มั่นคง เพ่งอยู่ด้วยฌานทั้ง ๒ คือ อารัมมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌาน ย่อมพ้นจากเครื่องผูกของมารได้ ด้วยปฏิปทาใด บุคคลไม่อาจเพื่อหยั่งลง คือ เพื่อปฏิบัติปฏิปทานั้นโดยสักแต่พูด หรือสักแต่ฟัง.

บทว่า น เว ธีรา ปกุพฺพนฺติ ความว่า บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลาย คือ บัณฑิตทั้งหลาย รู้แจ้งแล้วซึ่งปริยายแห่งโลก (วิธีการพูดของสัตว์โลก) และรู้แล้วซึ่งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปของสังขารโลก เพราะรู้สัจธรรม ๔ จึงนิพพานแล้วด้วยกิเลสนิพพาน เป็นผู้ข้ามตัณหาเป็นเครื่องข้องในโลก ย่อมไม่การทำอย่างนี้ อธิบายว่า เราย่อมไม่พูดคำเห็นปานนี้.

ในลำดับนั้นแหละ เทวดาเหล่านั้นลงมายืนบนแผ่นดิน หมอบลงใกล้พระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ทูลว่า อจฺจโย โน ภนฺเต อจฺจคมา เป็นต้น แปลความว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ โทษของพวกข้าพระองค์ได้ล่วงเกินไปแล้ว พวกข้าพระองค์เหล่าใด เป็นพาลอย่างไร เป็นผู้หลงแล้วอย่างไร เป็นผู้ไม่ฉลาดอย่างไร ได้สำคัญแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า อันพวกเราพึงรุกราน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอพระผู้มี

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 193

พระภาคเจ้าโปรดอดโทษของพวกข้าพระองค์นั้น เพื่อจะสำรวมในกาลต่อไป.

บทว่า ปวิยํ ปติฏฺหิตฺวา แปลว่า ยืนบนแผ่นดิน อธิบายความว่ากรรมอันไม่สมควร อันพวกข้าพระองค์ทำแล้ว พวกข้าพระองค์ใช้คำพูดเรียกพระองค์ผู้ไม่ทำกรรมอย่างนั้น ด้วยวาทะว่ากระทำ เหตุนี้แหละ พวกข้าพระองค์ละอายอยู่ ทั้งไม่ทำความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้าดุจผู้เป็นราวกะมหาพรหม กระทำพระผู้มีพระภาคเจ้าดุจกองอัคคีให้ไม่สบายพระทัย ทำการนมัสการอยู่ ก้าวลงจากอากาศแล้ว ยืนอยู่บนแผ่นดิน.

บทว่า อจฺจโย แปลว่า โทษ ได้แก่ ความผิดพลาด.

บทว่า โน อจฺจคฺคมา แปลว่า ของพวกข้าพเจ้าผู้ล่วงเกินแล้ว อธิบายว่า พวกข้าพเจ้าล่วงเกินแล้วโทษนั้นครอบงำข้าพระองค์ให้เป็นไป.

บทว่า อปสาเทตพฺพํ แปลว่า อันพวกเราพึงรุกราน อธิบายว่า อันพวกข้าพระองค์พึงทำให้พระองค์ขัดพระทัยได้.

ได้ยินว่า เทวดานั้น กระทบกระทั่งพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ด้วยกาย และด้วยวาจา การไม่ถวายบังคมพระตถาคตเจ้า แล้วยังยืนอยู่ในอากาศนี้ ชื่อว่า กระทบกระทั่งด้วยกาย เมื่อเทวดาเหล่านั้น กล่าววาจาอันเป็นวาทะของอสัตบุรุษมีประการต่างๆ เหมือนคนชั่วนำโล่มาป้องกันตัว ชื่อว่า กระทบกระทั่งด้วยวาจา. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่าพวกเทวดาเหล่านั้นกล่าวว่า พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้สำคัญพระองค์ว่าเป็นผู้อันบุคคลพึงรุกรานได้.

บทว่า ปฏิคฺคณฺหาตุ แก้เป็น ขมตุ แปลว่า โปรดอดโทษ.

บทว่า อายติํ สํวราย แปลว่า เพื่อจะสำรวมในกาลต่อไป อธิบายว่า เพื่อความสำรวมในอนาคต และเพื่อไม่กระทำความผิด ความประทุษร้าย ความติเตียนเห็นปานนี้อีก.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 194

ลำดับนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำการแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ ในข้อนี้อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงพระองค์ผู้มีการฝึกอันยอดเยี่ยมแล้ว จึงแสดงลักษณะแห่งความยินดี.

ถามว่า เพราะเหตุไร.

ตอบว่า ได้ยินว่า พวกเทวดาเหล่านั้นบอกให้พระองค์ยกโทษให้แก่พวกเทวดาโดยภาวะของตน ย่อมกระทำพระตถาคตเจ้าซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ให้เป็นโลกิยมหาชนเช่นกับคนธรรมดาคนหนึ่ง.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงทำการแย้มให้ปรากฏ โดยประสงค์ว่า เราจักแสดงกำลังแห่งพระพุทธเจ้าก่อนแล้วจักอดโทษในภายหลังโดยถ้อยคำที่จะกล่าวข้างหน้า.

บทว่า ภิยฺโยโส สตฺตาย แก้เป็น อติเรกปฺปมาเณน แปลว่า โดยประมาณยิ่ง.

บทว่า อิมํ คาถํ อภาสิ แปลว่าเทวดาองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ อธิบายว่า เทวดาองค์หนึ่งมีความสำคัญว่าพระศาสดานี้ ทรงกริ้วพวกเรา จึงได้กล่าวแล้ว.

บทว่า น ปฏิคฺคณฺหาติ แก้เป็น น ขมติ แปลว่า ย่อมไม่อดโทษ คือ ย่อมไม่อดกลั้น.

บทว่า โกปนฺตโร แปลว่า บุคคลมีความโกรธอันเกิดขึ้นแล้วในภายใน.

บทว่า โทสครุ แปลว่า มีความเคืองจัด คือ ถือเอาโทษหนักอยู่.

บทว่า ส เวรํ ปฏิมุจฺจติ แปลว่า ย่อมประสบเวร อธิบายว่า บุคคลนั้น คือ ผู้เห็นปานนี้ ย่อมประสบเวร ย่อมตั้งไว้ ย่อมในสละซึ่งเวรนั้นในตน เหมือนบุคคลคั้นฝีที่อักเสบ.

บทว่า อจฺจโย เจ น วิชฺเชถ แปลว่า หากว่า โทษไม่พึงมี อธิบายว่า ถ้าว่ากรรมคือการล่วงเกินไม่พึงมีไซร้.

บทว่า โน จีธ อปหตํ สิยา แปลว่า ความผิดก็ไม่พึงมี อธิบายว่า ผิว่า ชื่อว่า ความพลั้งพลาดไม่พึงมี.

บทว่า เกนีธ กุสโล สิยา แปลว่า ในโลกนี้ ใครพึงเป็นคนฉลาด เพราะเหตุไร อธิบายว่า ผิว่าเวรทั้งหลายไม่พึงสงบไซร้ ใครพึงเป็นคนฉลาดเพราะเหตุไร.

บทว่า กสฺสจฺจยา แปลว่า โทษทั้งหลายของใครไม่พึงมี

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 195

คือ ได้แก่โทษที่ก้าวล่วงทางวาจาของใครไม่มี ความผิดพลาดของใครไม่มี ใครเล่า ย่อมไม่ประสบความหลงใหล ใครเล่า ชื่อว่าเป็นบัณฑิตตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว.

ได้ยินว่า การกระทำความแย้มให้ปรากฏของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็เพื่อจะตรัสคาถานี้. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงดำริว่า บัดนี้เราจักแสดงกำลังของพระพุทธเจ้า แล้วจักอดโทษ แก่พวกเทวดา จึงตรัสคำว่า ตถาคตสฺส พุทฺธสฺส สพฺพภูตานุกมฺปิโน เป็นต้น แปลความว่า

โทษทั้งหลายไม่มี ความผิดก็ไม่มีแก่พระตถาคตนั้น ผู้ตรัสรู้แล้ว ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง พระตถาคตนั้นย่อมไม่ถึงความหลงใหล พระตถาคตนั้นย่อมเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีสติในกาลทั้งปวง เมื่อท่านแสดงโทษอยู่ หากบุคคลใดมีความโกรธอยู่ในภายใน มีความเคืองจัด ย่อมไม่อดโทษให้บุคคลนั้น ย่อมประสบเวร เราไม่ชอบเวรนั้น เราย่อมอดโทษแก่ท่านทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตถาคตสฺส อธิบายว่า พระนามว่าตถาคต ด้วยการณะทั้งหลายมีคำเป็นต้นอย่างนี้ว่า ตถา อาคโตติ ตถาคโต แปลว่า ชื่อว่า ตถาคต เพราะเสด็จมาแล้วอย่างนั้น คือเสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ตามประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน.

บทว่า พุทฺธสฺส อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระนามอันได้แล้วอย่างนี้ ด้วยอำนาจแห่งการ

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 196

แต่งตั้งด้วยวิโมกขันติญาณ โดยการณะทั้งหลาย มีการตรัสรู้สัจจะ ๔ เป็นต้น.

บทว่า อจฺจยํ เทสยนฺตีนํ แปลว่า เมื่อท่านแสดงโทษอยู่ อธิบายว่า คำใดที่ท่านทั้งหลายกล่าวแก่บุคคลผู้แสดงโทษอยู่ บุคคลนั้น ย่อมประสบเวร เพราะฉะนั้น คำนั้นเป็นอันท่านกล่าวดีแล้ว ก็แต่ว่า เราย่อมไม่ยินดี ไม่ปรารถนาเวร.

บทว่า ปฏิคฺคณฺหามิ โวจฺจยํ แก้เป็น ตุมฺหากํ อปราธํ ขมามิ แปลว่า เราย่อมอดโทษแก่พวกเธอ ดังนี้แล.

จบอรรถกถาอุชฌานสัญญีสูตรที่ ๕