๑๐. จัมเปยยชาดก ว่าด้วยบําเพ็ญตบะเพื่อเกิดเป็นมนุษย์
[เล่มที่ 61] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 185
๑๐. จัมเปยยชาดก
ว่าด้วยบําเพ็ญตบะเพื่อเกิดเป็นมนุษย์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 61]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 185
๑๐. จัมเปยยชาดก
ว่าด้วยบำเพ็ญตบะเพื่อเกิดเป็นมนุษย์
[๒๑๘๐] ท่านเป็นใคร งามผ่องใสดุจสายฟ้า และอุปมาเหมือนดาวประจำรุ่ง เราไม่รู้จักท่านว่าเป็นเทวดา หรือคนธรรพ์ หรือเป็นหญิงมนุษย์.
[๒๑๘๑] (นางสุมนาทูลว่า) ข้าแต่พระมหาราชา หม่อมฉันหาใช่เทพธิดา หญิงคนธรรพ์ หรือหญิงมนุษย์ไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญา อาศัยเหตุอย่างหนึ่งจึงได้มาในพระนครนี้.
[๒๑๘๒] (พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนนางนาคกัญญา ท่านมีอาการเหมือนคนมีจิตฟั่นเฟือน มีอินทรีย์อันเศร้าหมอง ดวงเนตรของท่านไหลนองไปด้วยหยาดน้ำตา อะไรของท่านหาย หรือว่าท่านปรารถนาอะไรจึงได้มาในเมืองนี้ เชิญท่านบอกมาเถิด.
[๒๑๘๓] (นางสุมนาทูลตอบว่า) ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นจอมประชาชน มหาชนชาวโลกเรียกร้องสัตว์ใดว่า อุรคชาติผู้มีเดชสูงในมนุษยโลก เขาเรียกสัตว์นั้นว่า " นาค " บุรุษคนนี้จับนาคนั้นมา เพื่อต้องการเลี้ยงชีพ นาคนั้นแหละเป็นสามีของหม่อมฉัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 186
ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคนั้นเสียจากที่คุมขังเถิดเพคะ.
[๒๑๘๔] (พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนนางนาคกัญญา นาคราชนี้ประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า ไฉนจึงมาถึงเงื้อมมือของชายวณิพกได้เล่า เราใคร่จะรู้ถึงการที่นาคราชถูกกระทำจนถูกจับมาได้ ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เราเถิด.
[๒๑๘๕] (นางสุมนาทูลตอบว่า) แท้จริงนาคราชนั้นประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า พึงทำแม้นครให้เป็นภัสมธุลีไปได้ แต่เพราะนาคราชนั้น เคารพนบนอบธรรม ฉะนั้น จึงได้บากบั่นมั่นบำเพ็ญตบะ.
[๒๑๘๖] (นางสุมนาทูลว่า) ข้าแต่องค์ราชันย์ นาคราชนี้มีปกติรักษาจาตุททสีอุโบสถ และปัณณรสีอุโบสถ นอนอยู่ใกล้ทางสี่แพร่ง บุรุษหมองูจับนาคราชนั้นมา ด้วยต้องการหาเลี้ยงชีพ นาคราชนี้เป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังเถิด.
[๒๑๘๗] (นางสุมนาทูลว่า) สนมนารีถึงหมื่นหกพันนาง ล้วนสวมใส่กุณฑลแก้วมณี บันดาลห้วงวารีทำเป็นห้องไสยาสน์ แม่สนมนารีเหล่านั้นก็ยึดถือเอานาคราชนั้นเป็นที่พึ่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 187
ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคราชนั้นโดยธรรม ปราศจากกรรมอันสาหัสด้วยบ้านส่วยร้อยบ้าน ทองร้อยแท่ง และโคร้อยตัว ขอนาคราชผู้แสวงบุญ จงเหยียดกายได้ตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่คุมขังเถิด.
[๒๑๘๘] (พระราชาตรัสว่า) เราจะปล่อยนาคราชนี้ไปโดยธรรม ปราศจากกรรมอันสาหัส ด้วยบ้านส่วยร้อยบ้าน ทองคำร้อยแท่ง โคร้อยตัว นาคราชผู้แสวงบุญ จงเหยียดกายตรงเที่ยวไปจงพ้นจากที่คุมขัง.
ดูก่อนลุททกพราหมณ์ เราจักให้ทอง ๑๐๐ แท่ง กุณฑลแก้วมณีราคามาก บัลลังก์สี่เหลี่ยม สีดังดอกผักตบ ภรรยารูปงามสองคน และโคอุสุภะ ๑๐๐ ตัว แก่ท่าน ขอนาคราชผู้แสวงบุญ จงเหยียดกายตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่คุมขังเถิด.
[๒๑๘๙] (ลุททกพราหมณ์ กราบทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน แม้จะมิทรงพระราชทานสิ่งใดเลย เพียงแต่พระองค์ตรัสสั่งให้ปล่อยเท่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จะปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังทันที ขอนาคราชผู้แสวงบุญจงเหยียดกายตรงเที่ยวไป.
[๒๑๙๐] จัมเปยยนาคราช หลุดพ้นจากที่คุมขังแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระเจ้ากาสิกราช
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 188
ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงผดุงกาสิกรัฐให้รุ่งเรือง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอประคองอัญชลีแด่ พระองค์ ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรนิเวศน์ของข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า.
[๒๑๙๑] (พระราชาตรัสตอบว่า) ดูก่อนนาคราช แท้จริงคนทั้งหลายเขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์ จะพึงคุ้นเคยกับอมนุษย์ว่า พึงคุ้นเคยกันได้ยาก ถ้าท่านขอร้องเราถึงเรื่องนั้น เราก็อยากจะไปดูนิเวศน์ของท่าน.
[๒๑๙๒] (พระยานาคราชกราบทูลว่า) ข้าแต่พระราชา แม้ถึงว่าลมจะพัดภูเขาไปได้ก็ดี พระจันทร์และพระอาทิตย์จะพึงเผาผลาญแผ่นดินก็ดี แม่น้ำทุกสายพึงไหลทวนกระแสก็ดี ถึงกระนั้นข้าพระพุทธเจ้า ก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย.
ข้าแต่พระราชา ท้องฟ้าจะทำลายไป ทะเลจะเหือดแห้งไป มหาปฐพีมีนามว่าภูตธรา และพสุนธรา จะพึงม้วนได้ เมรุบรรพตอันหนาแน่นด้วยศิลาจะพึงถอนไปทั้งราก ถึงกระนั้น ข้าพระพุทธเจ้า ก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย.
[๒๑๙๓] (พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนนาคราช แท้จริงคนทั้งหลาย เขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคยกับอมนุษย์ว่า พึงคุ้นเคยกันได้ยากก็ถ้าเธอขอร้องเราถึงเรื่องนั้น เราก็อยากไปดูนิเวศน์ของเธอ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 189
[๒๑๙๔] (พระราชาตรัสกำชับว่า) เธอเป็นผู้มีพิษ ร้ายแรงยิ่ง มีเดชมาก ทั้งโกรธง่าย เธอหลุดพ้นจากที่คุมขังไปได้ก็เพราะเหตุที่เราช่วยเหลือ เธอควรจะรู้บุญคุณที่เราทำไว้แก่เธอ.
[๒๑๙๕] (นาคราชทูลว่า) ข้าพระพุทธเจ้าถูกคุมขังอยู่ในตะกร้า เกือบจะถึงความตาย จักไม่รู้จักอุปการคุณที่พระองค์ทรงกระทำแล้วเช่นนั้น ก็ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงหมกไหม้อยู่ในนรกอันแสนร้ายกาจ อย่าได้รับความสำราญกายสักหน่อยหนึ่งเลย.
[๒๑๙๖] (พระราซาตรัสว่า) คำปฏิญญาของเธอนั้นจงเป็นคำสัตย์จริง เธออย่าได้มีความโกรธ อย่าผูกโกรธไว้ อนึ่ง ขอสุบรรณทั้งหลายจงละเว้น นาคสกุลของท่านทั้งมวลเหมือนไฟในฤดูร้อนฉะนั้น.
[๒๑๙๗] (นาคราชทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์ทรงเอ็นดูนาคสกุลเหมือนมารดาผู้เอ็นดูบุตรคนเดียวผู้เป็นสุดที่รักฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งเหล่านาค จะขอกระทำการขวนขวายตอบแทนอย่างโอฬารแด่พระองค์.
[๒๑๙๘] (พระราชาตรัสสั่งว่า) เจ้าพนักงานรถจงตระเตรียมราชรถอันงามวิจิตร จงเทียมม้าอัสดรอันเกิดในกัมโพชกรัฐซึ่งฝึกหัดอย่างดีแล้ว และเจ้าพนักงานช้าง จงผูกช้างตัวประเสริฐทั้งหลายให้งาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 190
ไปด้วยสุวรรณหัตถาภรณ์ เราจะไปดูนิเวศน์แห่งท้าวนาคราช.
[๒๑๙๙] พนักงานเภรี ตะโพน บัณเฑาะว์ และ แตรสังข์ ของพระเจ้าอุคคเสนราชมาพร้อมหน้ากัน พระราชาทรงแวดล้อมด้วยสนมนารีเสด็จไปในท่ามกลางหมู่สนมนารีงามสง่ายิ่งนัก.
[๒๒๐๐] พระเจ้ากรุงกาสีวัฒนราช ได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคอันงดงาม วิจิตร ลาดด้วยทราย ทอง ทั้งสุวรรณปราสาทก็ปูลาดไปด้วยแผ่นกระดานแก้วไพฑูรย์.
พระองค์เสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช มีรัศมีโอภาสดังแสงอาทิตย์แรกอุทัย รุ่งเรืองไปด้วยรัศมี ประหนึ่งสายฟ้าในกลุ่มเมฆ.
พระเจ้ากาสิกราชทรงทอดพระเนตรจนทั่วนิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช อันดารดาษไปด้วยพฤกษชาตินานา หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพยสุคนธ์อบอวลล้วนวิเศษ.
เมื่อพระเจ้ากาสิกราชเสด็จเข้าไปในนิเวศน์ของท้าวจัมเปยยนาคราช เหล่าทิพยดนตรีก็ประโคมขับบรรเลงทั้งนางนาคกัญญาทั้งหลายก็ฟ้อนรำขับร้อง.
พระเจ้ากาสิกราชเสด็จขึ้นนิเวศน์ ซึ่งมีหมู่นางนาคกัญญาตามเสด็จ ทรงพอพระทัยประทับนั่ง ณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 191
พระสุวรรณแท่นทอง อันมีพนักงานไล้ทาด้วยแก่นจันทน์ทิพย์.
[๒๒๐๑] พระเจ้ากาสิกราชนั้น ครั้นเสวยสมบัติและทรงรื่นรมย์ประทับอยู่ในนาคพิภพนั้นแล้ว ได้ตรัสถามจัมเปยยนาคราชว่า วิมานอันประเสริฐของท่านเหล่านี้ มีรัศมีดังพระอาทิตย์งามผุดผาด วิมานเช่นนี้ไม่มีในมนุษยโลก ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
นางนาคกัญญาเหล่านั้น สวมใส่กำไลทอง นุ่งห่มเรียบร้อย มีนิ้วมือกลมกลึง ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงงามยิ่งนัก ผิวพรรณงดงามไม่ทรามเลย พากันยกทิพยปานะ ถวายให้พระองค์ทรงเสวย สนมนารีเช่นนี้จะมีอยู่ในมนุษยโลกก็หามิได้ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
อนึ่ง มหานทีอันชุ่มชื่นดาษดื่นไปด้วยปลามีเกล็ดหนานานาชนิด มีนกเงือกเปล่งสำเนียงเสียงร้องไพเราะ จับใจ ทั้งท่าขึ้นลงนทีธาร ก็ราบรื่นเป็นอันดี แม่น้ำ เช่นนี้จะได้มีอยู่ในมนุษยโลกก็หาไม่ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
ฝูงนกกระเรียน ฝูงนกยูง ฝูงหงส์ และฝูงนกดุเหว่าทิพย์ ร่ำร้องเสียงไพเราะจับใจ ต่างก็โผผินบิน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 192
จับอยู่บนต้นไม้ ทิพยสกุณาเช่นนี้จะได้มีในมนุยษโลกก็หาไม่ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
ต้นมะม่วง ต้นสาละ ทั้งช้างน้าว อ้อยช้าง และต้นชมพู่ ต้นคูนและแคฝอย ผลิตดอกออกผล เป็นพวงๆ ทิพยรุกขชาติเหล่านี้จะได้มีอยู่ในมนุษยโลกก็หาไม่ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
อนึ่ง ทิพยสุคนธ์รอบสระโบกขรณีเหล่านี้หอมฟุ้งอยู่เป็นนิตย์ ทิพยสุคนธ์เช่นนี้จะมีอยู่ในมนุษยโลกก็หามิได้ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
[๒๒๐๒] (จัมเปยยนาคราช ทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบธรรมเพราะเหตุแห่งบุตร ทรัพย์ หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุก็หาไม่ แต่เพราะข้าพระพุทธเจ้าปรารถนากำเนิดมนุษย์ ฉะนั้น จึงได้บากบั่นมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรม.
[๒๒๐๓] (พระราชาตรัสว่า) ท่านมีดวงเนตรแดง มีรัศมีส่องแสงสว่าง ประดับตกแต่งแล้ว ปลงเกศาและมัสสุแล้ว ประพรมด้วยจรุณจันทน์แดง ฉายแสงไปทั่วทิศ ดังราชาแห่งคนธรรพ์ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 193
ท่านเป็นผู้ประกอบไปด้วยเทวฤทธิ์มีอานุภาพมาก เพรียบพร้อมไปด้วยสรรพกามารมณ์ ดูก่อนท่านนาคราช เราขอถามเนื้อความนี้กะท่าน มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพด้วยเหตุไร.
[๒๒๐๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน เว้นมนุษยโลกเสียแล้ว ความบริสุทธิ์หรือความสำรวมย่อมไม่มีเลย ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบธรรมด้วยตั้งใจว่า เราได้กำเนิดมนุษย์แล้ว จักทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้.
[๒๒๐๕] (พระราชาตรัสว่า) ชนเหล่าใดมีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ดูก่อนพระยานาคราช เราได้เห็นนางนาคกัญญาทั้งหลายของท่านและตัวท่านแล้ว จักทำบุญให้มาก.
[๒๒๐๖] (นาคราชกราบทูลว่า) ชนเหล่าใด มีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนางนาคกัญญา และตัวข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงบำเพ็ญกุศลให้มากเถิด.
[๒๒๐๗] กองเงินและกองทองของข้าพระพุทธ เจ้านี้มากมาย สูงประมาณเท่าต้นตาล พระองค์จง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 194
ตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้ แล้วจงตรัสสั่งให้สร้างพระราชวังด้วยทองคำ ให้สร้างกำแพงด้วยเงินเถิด.
นี้กองแก้วมุกดาอันเจือปนด้วยแก้วไพฑูรย์ห้าพันเล่มเกวียน พระองค์จงตรัสสั่งให้ราชบุรุษขนไป จากนาคพิภพนี้ แล้วให้ลาดลง ณ ภูมิภาคภายในพระราชฐาน ภูมิภาคภายในพระราชฐานก็จักสะอาด ปราศจากเปลือกตมและละอองธุลี.
ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นราชาอันประเสริฐ ผู้ทรงพระปรีชาอันล้ำเลิศ ขอพระองค์โปรดเสวยราชสมบัติ ครอบครองพระนครพาราณสีอันมั่งคั่งสมบูรณ์ สง่า ล้ำเลิศ ดุจทิพยวิมานเห็นปานฉะนี้เถิด พระเจ้าข้า.
จบจัมเปยยชาดกที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 195
อรรถกถาจัมเปยยชาดก
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุโบสถกรรม ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ท่านเป็นใคร งามผ่องใสดุจสายฟ้า (กา นุ วิชฺชุริวาภาสิ) ดังนี้.
ความพิสดารว่า ในกาลนั้น พระบรมศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย การที่ท่านทั้งหลายอยู่รักษาอุโบสถกรรมเป็นความดี โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ละนาคสมบัติแล้ว อยู่รักษาอุโบสถกรรมเหมือนกัน" อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่าพระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอังครัฐราชธานี. ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธต่อกัน มี แม่น้ำชื่อจัมปานที ได้มีนาคพิภพอยู่ใต้แม่น้ำจัมปานทีนั้น. พระยานาคราชชื่อว่าจัมเปยยะครองราชสมบัติในนาคพิภพนั้น. (โดยปกติ พระราชาแห่งแคว้นทั้งสองเป็นศัตรูกระทำยุทธชิงชัยแก่กันและกันเนืองๆ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ) บางครั้งพระเจ้ามคธราชยึดแคว้นอังคะได้ บางครั้งพระเจ้าอังคราชยึดแคว้นมคธได้.
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามคธราช กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอังคราช ทรงปราชัยต่อยุทธสงครามเสด็จขึ้นม้าพระที่นั่งหลบหนีไปถึงฝั่งจัมปานที พวกทหารพระเจ้าอังคราช ติดตามไปทันเข้า จึงทรงพระดำริว่าเราโดดน้ำตายเสียดีกว่าตายในเงื้อมมือของข้าศึกดังนี้แล้ว จึงโจนลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้งม้าพระที่นั่ง. ครั้งนั้น จัมเปยยนาคราช เนรมิตมณฑปแก้วไว้ภายในห้วงน้ำ แวดล้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ดื่มมหาปานะอยู่. ม้าพระที่นั่งกับพระเจ้า-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 196
มคธราชจมน้ำดิ่งลงไปเฉพาะพระพักตร์แห่งพระยานาคราช. พระยานาคราชเห็นพระราชาทรงเครื่องประดับตกแต่งก็บังเกิดความสิเนหา จึงลุกจากอาสนะทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลยแล้วอัญเชิญให้พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน ทูลถามถึงเหตุที่ดำน้ำลงมา. พระเจ้ามคธราช ตรัสเล่าความตามเป็นจริง.
ลำดับนั้น จัมเปยยนาคราชปลอบโยนพระเจ้ามคธราชให้เบาพระทัยว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย ข้าพระพุทธเจ้าจักช่วยจัดการให้พระองค์เป็นเจ้าของทั้งสองรัฐ ดังนี้แล้ว เสวยยศอันยิ่งใหญ่อยู่ ๗ วัน ในวันที่ ๘ จึงออกจากนาคพิภพ พร้อมด้วยพระเจ้ามคธราช. พระเจ้ามคธราชทรงจับพระเจ้าอังคราชได้ด้วยอานุภาพของพระยานาคราช แล้วตรัสสั่งให้สำเร็จโทษเสีย เสวยราชสมบัติในสองรัฐสีมามณฑล. นับแต่นั้นมา ความวิสาสะคุ้นเคยระหว่างพระเจ้ามคธราช กับพระยานาคราชก็ได้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น. พระเจ้ามคธราชให้สร้างรัตนมณฑปขึ้นที่ฝั่งจัมปานที แล้วเสด็จออกกระทำพลีกรรมแก่พระยานาคราชด้วยมหาบริจาคทุกๆ ปี. แม้พระยานาคราชก็ออกจากนาคพิภพมารับพลีกรรมพร้อมด้วยมหาบริวาร. มหาชนพากันมาเฝ้าดูสมบัติของพระยานาคราช.
กาลครั้งนั้น พระบรมโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเข็ญใจ ไปที่ฝั่งน้ำพร้อมด้วยราชบริษัท เห็นสมบัติของพระยานาคราชนั้นแล้ว ก็เกิดโลภเจตนา ปรารถนาจะได้สมบัตินั้น จึงทำบุญให้ทานรักษาศีล พอจัมเปยยนาคราชทำกาลกิริยาไปได้ ๗ วัน ก็จุติไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์ ณ ห้องอันมีสิริในปราสาทที่อยู่ของจัมเปยยนาคราชนั้น สรีระร่างกายของพระบรมโพธิสัตว์ได้ปรากฏใหญ่โต มีวรรณะขาวราวกะพวงดอกมะลิสด. พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เกิดวิปฏิสาร คิดไปว่าอิสริยยศในฉกามาวจรสวรรค์ เป็นเสมือนข้าวเปลือก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 197
ที่เขาโกยกองเก็บไว้ในฉางได้มีแก่เรา ด้วยผลแห่งกุศลที่เราทำไว้ เราสิกลับมาถือปฏิสนธิในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้ ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่ ดังนี้แล้วเกิดความคิดที่จะตาย. ลำดับนั้นนางนาคมาณวิกาชื่อว่าสุมนา เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้วดำริว่า ชะรอยจักเป็นสัตว์ผู้มีอานุภาพมากมาเกิดแน่ดังนี้แล้ว จึงให้สัญญาแก่นางนาคมาณวิกาทั้งหลายที่เหลือ. นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นทั้งหมดต่างถือนานาดุริยสังคีต มากระทำการบำเรอขับกล่อมพระมหาสัตว์ นาคพิภพที่สถิตของพระมหาสัตว์นั้น ได้ปรากฏเสมือนพิภพแห่งท้าวสักกเทวราช. มรณจิต (คือจิตที่คิดอยากตาย) ของพระมหาสัตว์ก็ดับหายไป. พระมหาสัตว์เจ้าละเสียซึ่งสรีระของงู ทรงประดับเครื่องสรรพาลังการ ประทับเหนือพระแท่นบรรทม. นับจำเดิมแต่นั้นมา พระอิสริยยศก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์เจ้ามากมาย. เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น ในเวลาต่อมา ก็เกิดวิปฏิสาร คิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์จักได้แทงตลอดสัจจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้. นับจำเดิมแต่นั้นก็ทรงรักษาอุโบสถกรรมอยู่ในปราสาทนั้นทีเดียว. พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงามพากันไปยัง สำนักของพระมหาสัตว์นั้น. ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนืองๆ. จำเดิมแต่นั้น พระมหาสัตว์เจ้าจึงออกจากปราสาทไปสู่พระอุทยาน. นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป. ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่า ควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ. นับแต่นั้นมา เมื่อถึงวันอุโบสถ พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก (ทรงประกาศ) สละร่างกายให้เป็นทานว่า ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรามีหนังเป็นต้น จงถือเอาเถิด ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางูก็จงกระทำเถิด แล้วคู้ขด-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 198
ขนดกายนอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวกใกล้มรรคา แถบปัจจันตชนบท แห่งหนึ่ง. ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้าแล้ว พากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้นแล้วหลีกไป. ชาวปัจจันตชนบทไปพบแล้วคิดว่า คงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้น จำเดิมแต่นั้นมา มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า ทำการบูชา ปรารถนาบุตรบ้าง ปรารถนาธิดาบ้าง.
แม้พระมหาสัตว์เจ้า ทรงรักษาอุโบสถกรรม ถึงวันจาตุททสี และ ปัณณรสี (ดิถี ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ) ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก ต่อในวันปาฏิบท (แรมค่ำหนึ่ง) จึงกลับไปสู่นาคพิภพ. เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้ เวลาล่วงไปเนิ่นนาน. อยู่มาวันหนึ่ง นางสุมนาอัครมเหสี ทูลถามพระมหาสัตว์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น ความจริงมนุษยโลกน่ารังเกียจมีภัยรอบด้าน หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วย นิมิตอย่างไรขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้น แก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด". ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงนำนางสุมนาเทวีไปยังขอบสระมงคลโบกขรณี แล้วตรัสว่า "ดูก่อนพระนางผู้เจริญ ถ้าหากใครๆ จักประหารทำให้เราลำบากไซร้ น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว ถ้าพญาครุฑจับเอาไป น้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา ถ้าหมองูจับเอาไป น้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต" พระโพธิสัตว์ตรัสบอกนิมิต ๓ ประการ แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถ เสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลกนอนเหนือจอมปลวก ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้น ก็ปรากฏขาวสะอาด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 199
ผุดผาดดังพวงเงิน. ท่อนพระเศียรเบื้องบนคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง. อนึ่ง ในชาดกนี้ สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ ในภูริทัตตชาดก มีขนาดเท่าลำขา. ในสังขปาลชาดก มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง.
กาลครั้งนั้น มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ไปเมืองตักกศิลาเรียนอาลัมภายนมนต์ ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เดินทางกลับบ้านของตน โดยผ่านมรรคานั้น เห็นพระมหาสัตว์เจ้าแล้วคิดว่า เราจักจับงูนี้บังคับให้เล่นกีฬา ในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย ยังทรัพย์ให้เกิดขึ้นดังนี้แล้ว จึงหยิบทิพโอสถร่ายทิพมนต์ ไปยังสำนักของพระมหาสัตว์เจ้า จำเดิมแต่พระมหาสัตว์เจ้าสดับทิพมนต์แล้ว เกิดอาการเหมือนซี่เหล็กร้อนยอนเข้าไปในพระกรรณทั้งสอง เบื้องพระเศียรปวดร้าวราวกะถูกเหล็กสว่านไช. พระมหาสัตว์เจ้าทรงรำพึงว่า นี่อย่างไรกันหนอ จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงภายในขนดแลไป ได้เห็นหมองูแล้วดำริว่า พิษของเรามากมาย ถ้าเราโกรธแล้ว พ่นลมจมูกออกไป สรีระของหมองูนี้จักย่อยแหลกไปเหมือนกองเถ้า แต่เมื่อทำเช่นนั้น ศีลของเราก็จักด่างพร้อย เราจักไม่แลดูหมองูนั้น ท้าวเธอจึงหลับพระเนตรทั้งสอง ทอดพระเศียรไว้ภายในขนด พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถ แล้วร่ายมนต์พ่นน้ำลาย ลงที่สรีรกายของพระมหาสัตว์. ด้วยอานุภาพแห่งโอสถและมนต์ เรือนร่างของพระมหาสัตว์ในที่ซึ่งถูกน้ำลายรดแล้วๆ ปรากฏ เป็นเสมือนพองบวมขึ้น ครั้งนั้น พราหมณ์หมองูจึงฉุดหางพระมหาสัตว์ลากลงมาให้นอนเหยียดยาว บีบตัวด้วยไม้กีบแพะทำให้ทุพพลภาพ จับศีรษะให้มั่น แล้วบีบเค้น พระมหาสัตว์จึงอ้าปากออก. ทีนั้นพราหมณ์หมองูจึงพ่นน้ำลายเข้าไปในปากของพระมหาสัตว์ แล้วจัดการพ่นโอสถและมนต์ ทำลายพระทนต์ จนหลุดถอน ปากของมหาสัตว์เต็มไปด้วยโลหิต. พระมหาสัตว์สู้อดกลั้นทุกขเวทนาเห็นปานนี้ เพราะกลัวศีลของตัวจะแตกทำลาย ทรงหลับพระเนตรนิ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 200
มิได้ทำการเหลียวมองดู. แม้พราหมณ์หมองูนั้นยังคิดว่า เราจักทํานาคราชให้ทุพพลภาพ ดังนี้ จึงขึ้นเหยียบย่ำร่างกายของพระมหาสัตว์ตั้งแต่หางขึ้นไป คล้ายกับจะทำให้กระดูกแหลกละเอียดไป แล้วม้วนพับอย่างผืนผ้า ขยี้กระดูก ให้ขยายเช่นอย่างกลายเส้นด้ายให้กระจาย จับหางทบทุบเช่นอย่างทุบผ้า สกลสรีรกายของพระมหาสัตว์แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต พระมหาสัตว์นั้นสู้อดกลั้น มหาทุกขเวทนาไว้. ครั้นพราหมณ์หมองูรู้ว่า พระมหาสัตว์อ่อนกำลังลงแล้ว จึงเอาเถาวัลย์มาถักทำเป็นตะกร้า ใส่พระมหาสัตว์ลงไปในตะกร้านั้นแล้ว นำไปสู่ปัจจันตคามให้เล่นท่ามกลางมหาชน. พราหมณ์หมองูปรารถนาจะให้แสดงท่วงทีอย่างใดๆ ในประเภทสีมีสีเขียวเป็นต้น และสัณฐานทรวดทรงกลมหรือสี่เหลี่ยมเป็นต้น หรือขนาดเล็กใหญ่เป็นต้น พระมหาสัตว์เจ้าก็กระทำท่วงทีนั้นๆ ทุกอย่าง ฟ้อนรำทำพังพานได้ตั้งร้อยอย่างพันอย่าง. มหาชน ดูแล้วชอบใจ ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์เป็นอันมาก เพียงวันเดียวเท่านั้นได้ทรัพย์ตั้งพัน และเครื่องบริขารราคานับเป็นพัน แต่ชั้นแรก พราหมณ์หมองูคิดไว้ว่า เราได้ทรัพย์สักพันหนึ่งแล้วก็จักปล่อยไป แต่ครั้นได้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นแล้วคิดเสียว่า ในปัจจันตคามแห่งเดียว เรายังได้ทรัพย์ถึงขนาดนี้ ในสำนักพระราชาและมหาอำมาตย์ คงจักได้ทรัพย์มากมาย จึงซื้อเกวียนเล่มหนึ่ง กับยานสำหรับนั่งสบายเล่มหนึ่ง บรรทุกของลงในเกวียนแล้วนั่งบนยานน้อย พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก บังคับพระมหาสัตว์ให้เล่นในบ้านและนิคมเป็นต้น โดยลำดับไป แล้วคิดว่า เราจักให้นาคราชเล่นถวายในสำนักของพระเจ้าอุคคเสนแล้วก็จักปล่อยดังนี้ แล้วก็เดินทางต่อไป พราหมณ์หมองู ฆ่ากบนำมาให้นาคราชกินเป็นอาหาร. นาคราชรำพึงว่า พราหมณ์หมองูนี้ ฆ่ากบอยู่บ่อยๆ เพราะอาศัยเราเป็นเหตุ เราจักไม่บริโภคกบนั้น แล้วไม่ยอมบริโภค. เมื่อพราหมณ์หมอดูรู้ดังนั้น ได้ให้ข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งแก่พระมหา-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 201
สัตว์ พระมหาสัตว์คิดว่า ถ้าหากเราจักถือเอาอาหารนี้ไซร้ เราคงจักตาย ภายในตะกร้าเป็นมั่นคง จึงมิได้บริโภคอาหารแม้เหล่านั้น. พราหมณ์หมองู ไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ให้พระมหาสัตว์เล่นให้คนดู ที่ใกล้ประตูเมือง ได้ทรัพย์สินอีกเป็นจำนวนมาก. แม้พระราชา ก็ตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า "เจ้าจงให้งูเล่นให้เราดูบ้าง". เขาทูลสนองพระราชโองการ ว่า "ได้พะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจักให้เล่นถวายพระองค์ในวันปัณณรสีพรุ่งนี้". พระราชาตรัสสั่งให้พนักงานเภรีตีกลองประกาศว่า พรุ่งนี้ นาคราชจักฟ้อนรำ ที่หน้าชานชาลาหลวง มหาชนจงมาประชุมกันดูเถิด แล้วในวันรุ่งขึ้น ตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งชานชาลาหลวง และตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูมาเฝ้า พราหมณ์ หมองูนำพระมหาสัตว์มาด้วยตะกร้าแก้ว ตั้งตะกร้าไว้ที่พื้นลาดอันวิจิตร นั่งคอยอยู่. ฝ่ายพระราชาเสด็จลงจากปราสาท แวดล้อมด้วยหมู่มหาชน ประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์. พราหมณ์หมองู นำพระมหาสัตว์ออกมาแล้ว ให้ฟ้อนรำถวาย. มหาชนพากันดีใจ ไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ตามปกติ พากันปรบมือ โบกธง โบกผ้า แสดงความรื่นเริงนับด้วยหมื่นแสน. ฝนรัตนะ ๗ ประการ ก็ตกลงมาตรงเบื้องบนพระโพธิสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์ถูกจับมานั้น ครบหนึ่งเดือนเต็มบริบูรณ์ ตลอดเวลาเหล่านี้ พระมหาสัตว์สู้ทน มิได้บริโภคอาหารเลย.
ฝ่ายนางสุมนาเทวีระลึกถึงว่า สามีที่รักของเราเสด็จไปนานนักหนา จนป่านนี้ยังไม่เสด็จมาที่นี่เลย ครบหนึ่งเดือนพอดี จักมีเหตุเภทภัยอะไรหนอ ดังนี้แล้วจึงไปตรวจดูสระโบกขรณี เห็นมีน้ำสีแดงดังโลหิต ก็ทราบว่าชะรอยสามีของตนจักถูกหมองูจับเอาไป จึงออกจากนาคพิภพไปตรวจดูใกล้จอมปลวก เห็นร่องรอยที่พระมหาสัตว์ถูกหมองูจับ และทำให้ลำบาก แล้วทรงกันแสงร่ำไห้คร่ำครวญ ดำเนินไปยังปัจจันตคามสอบถามดู สดับข่าวความเป็นไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 202
นั้นแล้ว ติดตามไปจนถึงเมืองพาราณสี ยืนกันแสงอยู่ที่กลางอากาศ ในท่ามกลางบริษัท ณ ประตูพระราชวัง. พระมหาสัตว์กำลังฟ้อนรำถวายพระราชาอยู่นั่นแหละ เหลือบแลดูอากาศ เห็นนางสุมนาเทวีแล้วละอายพระทัยเลื้อย เข้าไปนอนขดในตะกร้าเสีย. ในเวลาที่พระมหาสัตว์ เลื้อยเข้าไปสู่ตะกร้า แล้ว พระราชาทรงพระดำริว่า นี่เหตุอะไรกันเล่าหนอ จึงทอดพระเนตร แลดูทางโน้นทางนี้ เห็นนางสุมนาเทวียืนอยู่บนอากาศ จึงตรัสคาถาที่ ๑ ความว่า
ท่านเป็นใคร งามผ่องใสดุจสายฟ้า และอุปมาเหมือนดาวประจำรุ่ง เราไม่รู้จักท่านว่า เป็นเทวดา หรือคนธรรพ์ หรือเป็นหญิงมนุษย์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เราไม่รู้จักท่านว่า ... เป็นหญิงมนุษย์ (น ตํ มญฺามิ มานุสี) ความว่า เรามิได้เข้าใจว่าท่านเป็นหญิงมนุษย์ ท่านควรจะเป็นนางเทพธิดา หรือหญิงคนธรรพ์.
บัดนี้ เป็นคาถาโต้ตอบระหว่างพระราชากับนางสุมนาเทวี (ซึ่งมี ลำดับดังต่อไปนี้)
(นางสุมนาทูลว่า) ข้าแต่พระมหาราชา หม่อมฉันหาใช่เทพธิดา หรือคนธรรพ์ หรือหญิงมนุษย์ไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นนางนาคกัญญา อาศัยเหตุอย่างหนึ่ง จึงได้มาในพระนครนี้.
(พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนนางนาคกัญญา ท่านมีอาการเหมือนคนมีจิตฟั่นเฟือน มีอินทรีย์อันเศร้าหมอง ดวงเนตรของท่านไหลนองไปด้วยหยาด-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 203
น้ำตา อะไรของท่านหาย หรือว่าท่านปรารถนาอะไร จึงได้มาในเมืองนี้ เชิญท่านบอกมาเถิด.
(นางสุมนาทูลตอบว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน มหาชนชาวโลกเรียกร้องสัตว์ใดว่า อุรคชาติ ผู้มีเดชอันสูงในมนุษยโลก เขาเรียกสัตว์นั้นว่า นาค บุรุษคนนี้จับนาคนั้นมา เพื่อต้องการเลี้ยงชีพ นาคนั้นแหละเป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคนั้นเสียจากที่คุมขังเถิด เพคะ.
(พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนนางนาคกัญญา นาคราชนี้ประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า ไฉนจึงมาถึงเงื้อมมือของชายวณิพกได้เล่า เราจะใคร่รู้ถึงการที่นาคราชถูกกระทำจนถูกจับมาได้ ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เราเถิด.
(นางสุมนาทูลตอบว่า) แท้จริง นาคราชนั้นประกอบด้วยกำลังอันแรงกล้า พึงทำแม้นครให้เป็นภัสมธุลีไปได้ แต่เพราะนาคราชนั้นเคารพนบนอบธรรม ฉะนั้น จึงได้บากบั่นบำเพ็ญตบะ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หม่อมฉัน ... ด้วยเหตุอย่างหนึ่ง ( อตฺเถนมฺหิ) ความว่า หม่อมฉันอาศัย เหตุอย่างหนึ่ง จึงได้มาในพระนครนี้.
บทว่า มีอินทรีย์อันเศร้าหมอง (กุปิตินฺทฺริยา) ได้แก่ เป็นผู้มีอินทรีย์เศร้าหมอง.
บทว่า หยาดน้ำตา (วาริคณา) ได้แก่ หยาดน้ำตา.
บทว่า มหาชนชาวโลกเรียกร้องสัตว์ใดว่า อุรคชาติ (อุรโคติ จาหุ) ความว่า ก็มหาชนเรียกขานสัตว์ใดว่า อุรคชาติ.
บทว่า บุรุษคนนี้จับนาคนั้น (ตมคฺคหี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 204
ปุริโส) ความว่า บุรุษผู้นี้จับพระยานาคนั้นมา เพื่อต้องการเลี้ยงชีวิต.
บทว่า ของชายวณิพก (วนิพฺพกสฺส) ความว่า พระราชาตรัสถามว่า "นาคราชนี้เป็นผู้มีอานุภาพมาก อย่างไรเล่าจึงตกมาอยู่ในเงื้อมมือของบุรุษวณิพกนี้ได้".
บทว่า ธรรม (ธมฺมญฺจ) ความว่า นางสุมนาเทวีกราบทูลว่า "นาคราชภัสดาของหม่อมฉันนี้ ทำความเคารพพระธรรมคือเบญจศีล และพระธรรมคือการอยู่รักษาอุโบสถ เพราะฉะนั้น แม้ถูกบุรุษนี้จับมา ถึงแม้พระยานาคจะคิดว่า หากเราจะพ่นลมหายใจลงเบื้องบนบุรุษนี้ไซร้ เขาก็จักแหลกละเอียดไปเหมือนกองเถ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น ศีลของเราก็จักแตกทำลาย เพราะกลัวศีลจะแตกทำลาย จึงสู้อุตส่าห์บากบั่นอดกลั้นความทุกข์นั้นไว้ ตั้งใจทำตบะ คือกระทำความเพียรอย่างเดียวเท่านั้น".
พระราชาตรัสถามต่อไปอีกว่า ไฉนนาคราชจึงยอมให้บุรุษนี้จับมาได้เล่า ลำดับนั้น นางสุมนาเทวีเมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จึง กล่าวคาถาความว่า
ข้าแต่องค์ราชันย์ นาคราชนี้ มีปกติรักษาจาตุททสีอุโบสถ และปัณณรสีอุโบสถ นอนอยู่ใกล้ทางสี่แพร่ง บุรุษหมองูจับนาคราชนั้นมาด้วยต้องการหาเลี้ยงชีพ นาคราชนี้เป็นสามีของหม่อมฉัน ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ใกล้ทางสี่แพร่ง (จตุปฺปเถ) ความว่า นาคราชนี้ตั้งจิต ปรารถนาอธิษฐานธรรมอันประกอบด้วยองค์ ๔ ณ ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ในสถานที่ใกล้ทางสี่แพร่ง.
บทว่า นั้นจากที่คุมขัง (ตํ พนฺธนา) ความว่า ขอพระองค์โปรด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 205
พระราชทานทรัพย์แก่หมองูนี้ แล้วปลดปล่อยนาคราชผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีคุณความดีอย่างนี้นั้น จากที่คุมขังคือตะกร้าเสียเถิด พระเจ้าข้า.
ก็แลครั้นนางนาคกัญญาสุมนาเทวีทูลอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทูลอ้อนวอน พระราชาซ้ำอีก ได้กล่าวคาถาสองคาถา ความว่า
สนมนารีถึง ๑๖,๐๐๐ นาง ล้วนสวมใส่กุณฑลแก้วมณี บันดาลห้วงวารีทำเป็นห้องไสยาสน์ แม้สนมนารีเหล่านั้น ก็ยึดถือนาคราชนั้นเป็นที่พึ่ง.
ขอพระองค์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดปล่อยนาคราชนั้นโดยธรรม ด้วยความนุ่มนวล ด้วยบ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน ทอง ๑๐๐ แท่ง และโค ๑๐๐ ตัว ขอนาคราชผู้แสวงบุญ จงเหยียดกายได้ตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่คุมขังเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ๑๖,๐๐๐ นาง (โสฬสิตฺถีสหสฺสานิ) ความว่า นางสุมนาเทวีแสดงความว่า "ขอพระองค์อย่าทรงสำคัญว่า นาคราชนี้จะเป็นผู้ขัดสนยากจน เพราะสนมนารีทั้งหลายของนาคราชนี้ ล้วนประดับตกแต่งด้วยสรรพาลังการ ยังมีประมาณเท่านี้ สมบัติที่เหลือยากที่จะนับหาประมาณมิได้".
บทว่า บันดาลห้วงวารีทำเป็นห้องไสยาสน์ (วาริเคเห สยา) ความว่า ทรงบันดาลห้วงวารีทำเป็นห้องไสยาสน์ บรรทมอยู่ ณ ห้วงวารีนั้น.
บทว่า เหยียดกาย (โอสฏฺกาโย) ความว่า จงเป็นผู้มีกาย เป็นอิสระ.
บทว่า จง ... เที่ยวไป (จราตุ) แปลว่า จงเที่ยวไป.
ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า
เราจะปล่อยนาคราชนี้ไปโดยธรรม ปราศจากกรรมอันสาหัส ด้วยบ้านส่วย ๑๐๐ บ้าน ทองคำ ๑๐๐ แท่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 206
โค ๑๐๐ ตัว นาคราชผู้แสวงบุญ จงเหยียดกายตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่คุมขัง.
ดูก่อนลุททกพราหมณ์ เราจะให้ทอง ๑๐๐ แท่ง กุณฑลแก้วมณีราคามาก บัลลังก์สี่เหลี่ยม สีดังดอกผักตบ ภรรยารูปงามสองคน และโคอุสุภะ ๑๐๐ ตัว แก่ท่าน ขอนาคราชผู้แสวงบุญ จงเหยียดกายตรงเที่ยวไป จงพ้นจากที่คุมขังเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลุททกพราหมณ์ (ลุทฺท) ความว่า เพื่อจะปลดปล่อยพญานาคราช พระราชาจึงตรัสเรียกพราหมณ์หมองูมา เมื่อจะแสดงไทยธรรมที่ จะพึงพระราชทานแก่เขา จึงตรัสอย่างนี้ ส่วนพระคาถาก็มีอรรถาธิบายดังกล่าว แล้วในหนหลังนั้นแล.
ลำดับนั้น ลุททกพราหมณ์กราบทูลพระราชาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน แม้จะมิทรงพระราชทานสิ่งไรเลย เพียงแต่ตรัสสั่งให้ปล่อยเท่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จะปล่อยนาคราชนั้นจากที่คุมขังทันที ขอนาคราชผู้แสวงบุญจงเหยียดกายตรงเที่ยวไป.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตรัสสั่ง (ตว วจนํ) ความว่า ขอเดชะ ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ถึงแม้พระองค์จะมิได้ทรงพระราชทานสิ่งใดเลย เพียงแต่ พระองค์ตรัสสั่งให้ปล่อยเท่านั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จักเคารพ รับเหนือเกล้า.
บทว่า ข้าพระพุทธเจ้าก็จะปล่อยนาคราชนั้น (มุญฺเจมิ นํ) ความว่า พราหมณ์หมองูกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้า จักปล่อยพระยานาคนี้ทันที".
ก็แลครั้นลุททกพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ก็นำพระมหาสัตว์ออกจากตะกร้า. นาคราชออกมาแล้ว เลื้อยเข้าไประหว่างกองดอกไม้ ละอัตภาพ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 207
นั้นเสีย แล้วกลายเพศเป็นมาณพน้อย ตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับอันงดงาม คล้ายกับชำแรกดินออกมายืนอยู่ฉะนั้น. นางสุมนาเทวีลอยลงมาจาก อากาศ ยืนเคียงข้างพระภัสดาของตน. นาคราชได้ยืนประคองอัญชลี นอบน้อมพระราชาอยู่.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า
จัมเปยยนาคราชหลุดพ้นจากที่คุมขังแล้ว จึงกราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่พระเจ้ากาสิกราช ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงผดุงกาสิกรัฐให้รุ่งเรือง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าขอประคองอัญชลีแด่พระองค์ ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตรนิเวศน์ของข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า.
(พระราชาตรัสตอบว่า) ดูก่อนนาคราช แท้จริงคนทั้งหลายเขากล่าวถึงเหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคยกับ อมนุษย์ว่า พึงคุ้นเคยกันได้ยาก ถ้าท่านขอร้องเราถึงเรื่องนั้น เราก็อยากจะไปดูนิเวศน์ของท่าน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทอดพระเนตรนิเวศน์ของข้าพระองค์ (ปสฺเสยฺยํ เม นิเวสนํ) ความว่า จัมเปยยนาคราชทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมนรชน จัมเปยยนาคพิภพ อันเป็นนิเวศน์ของข้าพระพุทธเจ้าเป็นรมณียสถานควรที่จะดูจะเห็น ข้าพระพุทธเจ้าประสงค์จะแสดงพิภพนั้นเพื่อทรงทอดพระเนตร ขอเชิญพระองค์พร้อมทั้งพลพาหนะ เสด็จไปทอดพระเนตรเถิด".
บทว่า พึงคุ้นเคยกันได้ยาก (ทุพฺพิสฺสาสํ) ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 208
เป็นของคุ้นเคยได้โดยยาก.
บทว่า ถ้า (สเจ จ) ความว่า พระราชาตรัสตอบว่า "ถ้าหากเธอจะอ้อนวอนเธอเชิญเรา เราก็อยากจะเห็นนิเวศน์ของเธอ ก็แต่เรายังไม่วางใจเชื่อเธอได้"
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เมื่อจะทำสัตย์สาบาน เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อถือ ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระราชา แม้ถึงว่าลมจะพึงพัดภูเขาไปได้ก็ดี พระจันทร์และพระอาทิตย์จะพึงเผาผลาญแผ่นดินก็ดี แม่น้ำทุกสายพึงไหลทวนกระแสก็ดี ถึงกระนั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย. ข้าแต่พระราชา ท้องฟ้าจะทำลายไป ทะเลจะเหือดแห้งไป มหาปฐพีมีนามว่าภูตธราและพสุนธราจะพึงม้วนได้ เมรุบรรพตอันหนาแน่นด้วยศิลาจะพึงถอนไปทั้งราก ถึงกระนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็จะไม่กล่าวคำเท็จเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาปฐพีมีนามว่าภูธรา และพสุนธราจะพึงม้วนได้ (สํวตฺเตยฺย ภูตธรา พสุนฺธรา) ความว่า มหาปฐพีอันถึงการนับว่า ภูตธรา ก็ดี วสุนธราก็ดีนี้ จะพึงม้วนได้ดังเสื่อลำแพน.
บทว่า พึงถอนไปทั้งราก (สมูลมุพฺพเห) ความว่า มหาสิเนรุบรรพตจะพึงถอนรากปลิวไปในอากาศได้ ดังใบไม้แห้งอย่างนี้.
เมื่อพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาก็มิได้ทรงเชื่อ จึงตรัสพระคาถานั้นแหละซ้ำอีกว่า
ดูก่อนนาคราช แท้จริงคนทั้งหลายเขากล่าวถึง เหตุที่มนุษย์จะพึงคุ้นเคยกับอมนุษย์ว่า พึงคุ้นเคยกัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 209
ได้ยาก ก็ถ้าเธอขอร้องเราถึงเรื่องนั้น เราก็อยากไปดูนิเวศน์ของเธอ ดังนี้.
เมื่อจะประกาศกำชับว่า "เธอควรจะรู้จักคุณที่เราทำแล้วแก่เธอ ส่วนตัวเราเอง ย่อมรู้สิ่งที่ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อได้" ดังนี้ จึงตรัสพระคาถานอกนี้ ความว่า
เธอเป็นผู้มีพิษร้ายแรงยิ่ง มีเดชมาก ทั้งโกรธง่าย เธอหลุดพ้นจากที่คุมขังไปได้ก็เพราะเหตุที่เราช่วยเหลือ เธอควรจะรู้บุญคุณที่เราทำไว้แก่เธอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ร้ายแรงมาก (อุฬารา) ได้แก่ ร้ายแรงอย่างยิ่ง.
บทว่า ควรจะรู้ (ชานิตเว) ได้แก่ ควรจะทราบ.
พระมหาสัตว์ เมื่อจะทำสัตย์สาบาน เพื่อให้พระราชาทรงเชื่อต่อไป จึงกล่าวคาถา ความว่า
ข้าพระพุทธเจ้าถูกคุมขังอยู่ในตะกร้าเกือบจะถึงความตาย จักไม่รู้จักอุปการคุณที่พระองค์ทรงกระทำแล้วเช่นนั้น ก็ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงหมกไหม้อยู่ในนรก อันแสนร้ายกาจ อย่าได้รับความสำราญกายสักหน่อยหนึ่งเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จงหมกไหม้ (ปจฺจตํ) ได้แก่ จงถูกเผาไหม้.
บทว่า อุปการคุณที่พระองค์ทรงกระทำแล้ว (กมฺมกตํ) ความว่า นาคราชกราบทูลว่า "หากข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักอุปการคุณที่บุคคลเช่นพระองค์ทำแล้วอย่างนี้ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงมีอันเป็นเห็นปานนี้เถิด".
ลำดับนั้น พระราชาทรงเชื่อถ้อยคำของพระมหาสัตว์ เมื่อจะทรงชมเชยจึงตรัสพระคาถา ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 210
คำปฏิญาณของเธอนั้น จงเป็นคำสัตย์จริง เธออย่าได้มีความโกรธ อย่าผูกโกรธไว้ อนึ่ง ขอสุบรรณทั้งหลายจงละเว้นนาคสกุลของท่านทั้งมวลเหมือนบุคคลเว้นไฟในฤดูร้อนฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เธอนั้น จงเป็น (ตวเมส โหตุ) ความว่า สัจจปฏิญาณของเธอนั้น จงเป็นวาจาสัตย์เที่ยงตรงเถิด.
บทว่า เหมือนบุคคลเว้นไฟในฤดูร้อน (คิมฺหาสุ วิวชฺชยนฺตุ) ความว่า มนุษย์ทั้งหลายเมื่อไม่ปรารถนาความร้อนในฤดูคิมหันต์ ย่อมเว้นห่างกองไฟอันลุกโพลงอยู่ฉันใด ขอสุบรรณทั้งหลายจงเว้นว่างหลีกห่างไปเสียให้ไกลฉันนั้น.
แม้พระมหาสัตว์เจ้า เมื่อจะชมเชยพระราชา จึงกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน พระองค์ทรงเอ็นดูนาคสกุล เหมือนมารดาผู้เอ็นดูบุตรคนเดียวผู้เป็นสุดที่รักฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งเหล่านาคจะขอ กระทำการขวนขวายตอบแทนอย่างโอฬารแด่พระองค์.
พระราชาทรงสดับคำของนาคราชแล้ว มีพระประสงค์จะเสด็จไปนาคพิภพ เมื่อจะตรัสสั่งให้ทำการตระเตรียมพลเสนาที่จะเสด็จไป จึง ตรัสพระคาถา ความว่า
เจ้าพนักงานรถ จงตระเตรียมราชรถอันงามวิจิตร จงเทียมอัสดรอันเกิดในกัมโพชกรัฐ ซึ่งฝึกหัดอย่างดีแล้ว และเจ้าพนักงานช้างจงผูกช้างตัวประเสริฐทั้งหลายให้งามไปด้วยสุวรรณหัตถากรณ์ เราจะไปดูนิเวศน์แห่งท้าวนาคราช.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 211
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ม้าอัสดรอันเกิดในกัมโพชกรัฐซึ่งฝึกหัดอย่างดีแล้ว (กมฺโพชเก อสฺสตเร สุทนฺเต) ความว่า จงเทียมอัศวพาชี อันเกิดในกัมโพชกรัฐ ที่ได้รับการฝึกหัดอย่างดี.
คาถานอกนี้ต่อไป เป็นพระคาถาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในกาลเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ความว่า
พนักงานเภรี ตะโพน บัณเฑาะว์ และแตรสังข์ ของพระเจ้าอุคคเสนราชมาพร้อมหน้ากัน พระราชาทรงแวดล้อมด้วยสนมนารี เสด็จไปในท่ามกลางหมู่สนมนารีงามสง่ายิ่งนัก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า งามสง่ายิ่งนัก (พหุ โสภมาโน) ความว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย พระเจ้าพาราณสี แวดล้อมด้วยเหล่าสนมนารี ๑๖,๐๐๐ นาง เป็นบริวาร เสด็จไปสู่นาคพิภพแต่พระนครพาราณสีท่ามกลางหมู่สนมนารีนั้น เสด็จดำเนินไปงดงามยิ่งนัก.
ในกาลเมื่อพระเจ้าพาราณสี เสด็จออกจากพระนครไป พระมหาสัตว์เจ้า ทรงบันดาลนาคพิภพให้ปรากฏมีกำแพงแก้ว ๗ ประการ และประตู ป้อมคู หอรบ แล้วนิรมิตมรรคาที่จะเสด็จไปยังนาคพิภพให้ประดับตกแต่งด้วยเครื่องประดับงดงาม ด้วยอานุภาพของตน. พระราชาพร้อมด้วยราชบริพารเสด็จเข้าไปยังนาคพิภพโดยมรรคานั้นได้ทอดพระเนตรเห็นภูมิภาคและ ราสาทราชวัง น่ารื่นเริงบันเทิงพระทัย.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเจ้ากรุงกาสีวัฒนราช ได้ทอดพระเนตรเห็น ภูมิภาคอันงามวิจิตรลาดแล้วด้วยทรายทอง ทั้งสุวรรณปราสาทก็ปูลาดไปด้วยแผ่นกระดานแก้วไพฑูรย์ พระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 212
องค์เสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์ของจัมเปยยนาคราชมีรัศมีโอภาสดังแสงอาทิตย์แรกอุทัย รุ่งเรืองไปด้วยรัศมี ประหนึ่งสายฟ้าในกลุ่มเมฆ.
พระเจ้ากาสิกราช ทรงทอดพระเนตรจนทั่วนิเวศน์ ของจัมเปยยนาคราช อันดารดาษไปด้วยพฤกษชาตินานาพันธุ์ หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพยสุคนธ์ อบอวลล้วนวิเศษ.
เมื่อพระเจ้ากาสิกราชเสด็จเข้าไปในนิเวศน์ของท้าวจัมเปยยนาคราช เหล่าทิพยดนตรีก็ประโคมขับบรรเลง ทั้งนางนาคกัญญาทั้งหลายก็ฟ้อนรำขับร้อง.
พระเจ้ากาสิกราชเสด็จขึ้นนิเวศน์ซึ่งมีหมู่นางนาคกัญญาตามเสด็จ ทรงพอพระทัยประทับนั่ง ณ พระสุวรรณแท่นทองอันมีพนักไล้ทาด้วยแก่นจันทน์ทิพย์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิจิตรลาดแล้วด้วยทรายทอง (สุวณฺณจิตฺตกํ) ความว่า ลาดแล้วด้วยทรายทอง.
บทว่า สู่นิเวศน์ (พฺยมฺหํ) ความว่า สู่นาคพิภพอันประดับตกแต่งแล้ว.
บทว่า ของจัมเปยยนาคราช (จมฺเปยฺยสฺส) ความว่า เสด็จไปยังนาคพิภพอันประดับแล้ว ทรงพระราชดำเนินเข้าสู่นิเวศน์ของจัมเปยยนาคราช.
บทว่า รุ่งเรืองไปด้วยรัศมีประหนึ่งสายฟ้าในกลุ่มเมฆ (กํสวิชฺชูปภสฺสรํ) ความว่า รุ่งเรืองไปด้วยรัศมี ประหนึ่งสายฟ้ารุ่งเรืองด้วยรัศมีสีทองตั้งร้อยในกลุ่มเมฆ.
บทว่า หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพยสุคนธ์อบอวลล้วนวิเศษ (นานาคนฺธสมีริตํ) ความว่า หอมฟุ้งขจรไปด้วยทิพยสุคนธ์มีอย่างต่างๆ.
บทว่า ซึ่งมีหมู่ ... ตามเสด็จ (จริตํ คเณน) ความว่า สู่นิเวศน์นั้นอันนางนาคกัญญาตามเสด็จไปพร้อมหน้า.
บทว่า ไล้ทาด้วยแก่นจันทน์ทิพย์ (จนฺทนสารลิตฺเต) ความว่า ไล้ทาแล้วด้วยแก่นจันทน์อันเป็นทิพย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 213
เมื่อพระเจ้ากาสิกราชประทับนั่งบนบัลลังก์แล้ว พนักงานชาวเครื่องวิเศษก็เชิญเครื่องทิพย์อันสมบูรณ์ด้วยรสโอชานานาประการ น้อมเข้าไปถวาย และเชิญเหล่าสนมนารี ๑๖,๐๐๐ นาง พร้อมทั้งราชบริษัทที่เหลือไปเลี้ยงดู. พระเจ้าพาราณสี พร้อมด้วยราชบริษัทเสวยข้าวน้ำอันเป็นทิพย์เป็นต้น เพลิดเพลินเจริญใจด้วยทิพยกามคุณ และประทับ ณ สุขไสยาสน์ ประมาณได้ ๗ วัน ทรงสรรเสริญอิสริยยศของพระมหาสัตว์ แล้วตรัสถามว่า "ดูก่อนท่านนาคราช ก็เพราะเหตุไรหรือ ท่านจึงละสมบัติเห็นปานนี้ไปนอนอยู่รักษาอุโบสถศีล ณ จอมปลวกในมนุษยโลก ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้าก็ทูลเล่าถวายให้ทรงทราบ.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระเจ้ากาสิกราชนั้น ครั้นเสวยสมบัติ และทรงรื่นรมย์ประทับอยู่ในนาคพิภพนั้นแล้ว ได้ตรัสถามจัมเปยยนาคราชว่า วิมานอันประเสริฐของท่าน เหล่านี้ มีรัศมีดังพระอาทิตย์ งามผุดผาด วิมานเช่นนี้ไม่มีในมนุษยโลก ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
นางนาคกัญญาเหล่านั้น สวมใส่กำไลทองนุ่งห่มเรียบร้อย มีนิ้วมือกลมกลึง ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงงามยิ่งนัก ผิวพรรณงดงามไม่ทรามเลย พากันยกทิพยปานะถวาย ให้พระองค์ทรงเสวย สนมนารีเช่นนี้จะมีอยู่ในมนุษยโลกก็หามิได้ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 214
อนึ่ง มหานทีอันชุ่มชื่นดาษดื่นไปด้วยปลามีเกล็ดหนานานาชนิด มีนกเงือกเปล่งสำนียงเสียงร้องอยู่ระงมไพร ทั้งท่าขึ้นลงนทีธารก็ราบรื่นเป็นอันดี แม่น้ำเช่นนี้จะได้มีอยู่ในมนุษยโลกก็หาไม่ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
ฝูงนกกระเรียน ฝูงนกยูง ฝูงหงส์ และฝูงนกดุเหว่าทิพย์ ร่ำร้องเสียงไพเราะจับใจ ต่างก็โผผินบินจับอยู่บนต้นไม้ ทิพยสกุณาเช่นนี้จะได้มีในมนุษยโลกก็หาไม่ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
ต้นมะม่วง ต้นสาละ ทั้งช้างน้าว อ้อยช้างและ ต้นชมพู่ ต้นคูนและแคฝอย ผลิตดอกออกผลเป็นพวงๆ ทิพยรุกขชาติเช่นนี้ จะได้มีอยู่ในมนุษยโลกก็หาไม่ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบะเพื่อประโยชน์อะไร.
อนึ่ง ทิพยสุคนธ์รอบๆ สระโบกขรณีเหล่านี้หอมฟุ้งอยู่เป็นนิตย์ ทิพยสุคนธ์เช่นนี้ จะมีอยู่ในมนุษยโลกก็หามิได้ ดูก่อนพระยานาคราช ท่านบำเพ็ญตบธรรมเพื่อประโยชน์อะไร.
(จัมเปยยนาคราช ทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบธรรมเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 215
เหตุแห่งบุตร ทรัพย์ หรือแม้เพราะเหตุแห่งอายุก็หาไม่ แต่เพราะข้าพระพุทธเจ้าปรารถนากำเนิดมนุษย์ ฉะนั้น จึงได้บากบั่นมุ่งมั่นบำเพ็ญสมณธรรม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นางนาคกัญญาเหล่านั้น (ตา) พระราชาตรัสหมายถึงนางนาคกัญญา ๑๖,๐๐๐ นางเหล่านั้น.
บทว่า สวมใส่กำไลทอง (กมฺพุกายูรธรา) ได้แก่ สวมใส่อาภรณ์อันล้วนด้วยทอง.
บทว่า มีนิ้วมือกลมกลึง (วฏฺฏงฺคุลี) ความว่า มีองคุลีกลมเช่นกับหน่อแก้วประพาฬ.
บทว่า ฝ่ามือฝ่าเท้าแดงงามยิ่งนัก (ตมฺพตลูปปนฺนา) ความว่า ประกอบไปด้วยฝ่ามือและ ฝ่าเท้าแดงงดงามยิ่งนัก.
บทว่า ให้ ... ทรงเสวย (ปาเยนฺติ) ความว่า พากันยกทิพยปานะประคองเข้าถวายให้พระองค์ทรงเสวย.
บทว่า ปลามีเกล็ดหนา (ปุถุโลมมจฺฉา) ความว่า ประกอบไปด้วยปลานานาชนิดที่มีเกล็ดหนา.
บทว่า มีนกเงือกเปล่งสำเนียงเสียงร้องอยู่ระงมไพร (อาทาสสกุนฺตาภิสุทา) ความว่า มีนกเงือกร่ำร้องอยู่อึงมี่.
บทว่า ท่าขึ้นลงก็ราบรื่นดี (สุติตฺถา) ความว่า มีท่าขึ้นลงราบรื่นเรียบร้อย.
บทว่า ฝูงหงส์ทิพย์ (ทิวิยา จ หํสา) ได้แก่ หมู่หงส์ทิพย์.
บทว่า โผผินบิน (สมฺปตนฺติ) ความว่า ร่ำร้องเสียงไพเราะจับใจ ต่างโผผินบินจากต้นโน้นมาต้นนี้.
บทว่า ทิพยสุคนธ์ (ทิพฺยา คนฺธา) ความว่า อนึ่ง ทิพยสุคนธ์ทั้งหลายย่อมฟุ้งตลบไปไม่ขาดสาย ในสระโบกขรณีทั้งหลายเหล่านั้น.
บทว่า ปรารถนา (อภิปตฺถยาโน) ความว่า ปรารถนาซึ่งกำเนิดมนุษย์เที่ยวไป.
บทว่า ฉะนั้น (ตสฺมา) ความว่า ด้วยเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงบากบั่น คือประคองความเพียร กระทำตบะคือบำเพ็ญอุโบสถศีล ได้แก่เข้าอยู่รักษาอุโบสถ.
เมื่อพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระราชาเมื่อจะทรงทำการ ชมเชย จึงตรัสพระคาถาความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 216
ท่านมีดวงเนตรแดง มีรัศมีส่องแสงสว่างประดับตกแต่งแล้ว ปลงเกศาและมัสสุแล้ว ประพรมด้วยจุรณจันทน์แดง ฉายแสงไปทั่วทิศ ดังราชาแห่งคนธรรพ์ฉะนั้น ท่านเป็นผู้ประกอบด้วยเทวฤทธิ์ มีอานุภาพมาก เพียบพร้อมไปด้วยสรรพกามารมณ์ ดูก่อนท่านนาคราช เราขอถามเนื้อความนี้กะท่าน มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพด้วยเหตุไร.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ประพรม (สุโรสิโต) ได้แก่ ปูพรม.
ลำดับนั้น พญานาคราช เมื่อจะกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ จึง กราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน เว้นมนุษยโลกเสียแล้ว ความบริสุทธิ์หรือความสำรวมย่อมไม่มีเลย ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบธรรมด้วยตั้งใจว่า เราได้กำเนิดมนุษย์แล้ว จักทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ความบริสุทธิ์ (สุทฺธิ วา) ความว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า เว้นจากมนุษยโลกแล้ว ความบริสุทธิ์กล่าวคืออมตนฤพานก็ดี ความสำรวม ระวังในศีลก็ดี ไม่มีเลย.
บทว่า ที่สุด (อนฺตํ) ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญตบะ ด้วยคิดว่า เราได้กำเนิดมนุษย์แล้ว จักกระทำที่สุดแห่งชาติและมรณะได้.
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ตรัสพระคาถาความว่า
ชนเหล่าใด มีปัญญาเป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ดูก่อนพญานาคราช เราได้เห็นนางนาคกัญญาทั้งหลายของท่านและตัวท่านแล้ว จักทำบุญให้มาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 217
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นางนาคกัญญา (นาริโย จ) ความว่า พระราชาตรัสว่า "เราเห็นนางนาคกัญญาทั้งหลายเหล่านั้น ของท่านและตัวท่านแล้ว จักกระทำบุญ เป็นอันมาก".
ลำดับนั้น พญานาคราชกราบทูลพระราชาว่า
ชนเหล่าใดมีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนมาก ชนเหล่านั้นควรคบหาแท้ทีเดียว ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นนางนาคกัญญา และตัวข้าพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงบำเพ็ญบุญให้มากเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จงบำเพ็ญ (กโรหิ) ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์พึงกระทำ (บุญกุศลให้มากๆ เถิด).
ครั้นพระมหาสัตว์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระเจ้าอุคคเสนะทรงมีพระประสงค์จะเสด็จกลับไปยังมนุษยโลก จึงตรัสอำลาว่า ดูก่อนท่านนาคราช เรามาอยู่ก็เป็นเวลานาน จำจักต้องลากลับไปยังมนุษยโลก.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าจึงทูลท้าวเธอว่า "ขอเดชะพระมหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้นพระองค์โปรดเลือกถือเอาทรัพย์สมบัติไปตามพระประสงค์เถิด" เมื่อจะทรงแสดงทรัพย์สมบัติ จึงกราบทูลว่า
กองเงินและกองทอง ของข้าพระพุทธเจ้านี้มากมาย สูงประมาณเท่าต้นตาล พระองค์จงตรัสสั่งให้พวกราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้ แล้วจงตรัสสั่งให้สร้างพระราชวังด้วยทองคำ ให้สร้างกำแพงด้วยเงินเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 218
นี้กองแก้วมุกดา อันเจือปนด้วยแก้วไพฑูรย์ ๕,๐๐๐ เล่มเกวียน พระองค์จงตรัสสั่งให้ราชบุรุษขนไปจากนาคพิภพนี้ แล้วให้ลาดลง ณ ภูมิภาคภายในพระราชฐาน ภูมิภาคภายในพระราชฐานก็จักสะอาด ปราศจากเปลือกตมและละอองธุลี. ขอเดชะพระองค์ผู้เป็นราชาอันประเสริฐ ผู้ทรงพระปรีชาอันล้ำเลิศ ขอพระองค์โปรดเสวยราชสมบัติ ครอบครองพระนครพาราณสีอันมั่งคั่งสมบูรณ์ สง่างามล้ำเลิศ ดุจทิพยวิมานเห็นปานนี้เถิด พระเจ้าข้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กอง (ราสิ) ความว่า กองเงินกองทองประมาณ ชั่วลำตาล มีอยู่ในที่นั้นๆ.
บทว่า พระราชวังด้วยทองคำ (โสวณฺณฆรานิ) ได้แก่ พระราชวังทอง.
บทว่า ปราศจากโคลนตม (นิกฺกทฺทมา) ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ภูมิภาคภายในพระราชฐาน ก็จักสะอาดปราศจากโคลนตมและละอองธุลี.
บทว่า เห็นปานนี้ (เอตาทิสํ) ความว่า (ครอบครองพระนครพาราณสี) อันมีกำแพงล้อมไปด้วยทองและเงิน มีภูมิภาคลาดแล้วด้วยแก้วมุกดา และแก้วไพฑูรย์ เห็นปานนี้.
บทว่า อันมั่งคั่ง (ผีตํ) ความว่า ขอพระองค์จงทรงอยู่ครอบครองพระนครพาราณสี อันมั่งคั่งแพร่หลายฉะนี้.
บทว่า ผู้ทรงพระปรีชาอันล้ำเลิศ (อโนมปญฺา) ความว่า มีพระปัญญาอันไม่ทราม
พระราชาทรงสดับถ้อยคำของพระมหาสัตว์แล้วก็ทรงรับไว้. พระมหาสัตว์จึงให้พนักงานเภรี เที่ยวตีกลองประกาศว่า "ราชบุรุษทั้งปวงจงพากันขนเอาทรัพย์สมบัติ มีเงินทองเป็นต้นไปตามปรารถนาเถิด" แล้วเอาเกวียนหลายร้อยเล่มบรรทุกทรัพย์สมบัติส่งถวายพระราชา. พระราชาเสด็จออกจากนาคพิภพ กลับไปสู่พระนครพาราณสี ด้วยยศบริวารเป็นอันมาก. เล่ากันว่า นับแต่นั้นมา พื้นชมพูทวีปจึงเกิดมีเงินมีทองขึ้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 219
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า "โปราณกบัณฑิททั้งหลาย ละนาคสมบัติแล้ว อยู่รักษาอุโบสถศีลด้วยอาการอย่างนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า หมองูในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ นางนาคกัญญาสุมนาเทวีได้มาเป็นราหุลมารดา พระเจ้าอุคคเสนราชได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนจัมเปยยนาคราช ได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล.
จบอรรถกถาจัมเปยยชาดก

