พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. โสมนัสชาดก ว่าด้วยการใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงค่อยทำ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 ส.ค. 2564
หมายเลข  35972
อ่าน  581

[เล่มที่ 61] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 162

๙. โสมนัสชาดก

ว่าด้วยการใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงค่อยทํา


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 61]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 162

๙. โสมนัสชาดก

ว่าด้วยการใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงค่อยทํา

[๒๑๖๔] (พระราชาตรัสว่า) ใครมาตี มาด่าท่านหรือ ทำไมท่านจึงเสียใจน้อยใจเศร้าโศกอยู่ วันนี้มารดาบิดาของท่านมาร้องไห้รบกวนประการใด หรือว่า วันนี้มีใครมารังแกท่านให้ท่านต้องนอนเหนือแผ่นดิน.

[๒๑๖๕] (ดาบสตอบว่า) ขอถวายพระพรพระจอมภูมิบาล อาตมภาพดีใจมากที่ได้เห็นมหาบพิตร อาตมภาพเข้ามาอาศัยมหาบพิตรอยู่นานแล้ว มิได้เบียดเบียนใคร ขอถวายพระพร อาตมภาพถูกพระราชโอรสของมหาบพิตรเบียดเบียน.

[๒๑๖๖] (พระราชาทรงพระพิโรธ ตรัสว่า) เหวยเหล่านายทวารบาล พนักงานตำรวจดาบและ นายเพชรฆาตทั้งหลาย พวกเจ้าจงไปทำตามหน้าที่ของตนๆ จงไปยังภายในพระราชฐาน ฆ่าเจ้าโสมนัสสกุมารเสีย แล้วตัดเอาศีรษะมา. ทูตทั้งหลายที่พระราชาส่งไป ได้กราบทูลพระกุมารว่า ข้าแต่พระขัตติโยรส พระองค์เป็นผู้ที่พระอิสราธิบดีราชบิดาทรงตัดขาดแล้ว พระองค์ต้องโทษถึงประหารชีวิตพระเจ้าข้า.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 163

พระราชโอรส ทรงพระกันแสงอยู่ ทรงประคองอัญชลี ยกพระหัตถ์ทั้งสิบนิ้วขึ้นอ้อนวอนว่า ตัวเราอยากจะขอเข้าเฝ้าพระราชบิดาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ ขอท่านทั้งหลาย จงนำเราผู้ยังมีชีวิตไปเฝ้าพระราชบิดาเถิด.

ทูตทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระราชกุมารแล้ว ได้พาพระราชโอรสเข้าเฝ้าพระราชา ฝ่ายพระราชโอรส ครั้นเห็นพระราชบิดา จึงกราบทูลไปแต่ไกลว่า

ข้าแต่พระราชบิดา ผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ พวกนายประตู พนักงานตำรวจดาบและ เพชฌฆาตทั้งหลาย พากันมาเพื่อจะฆ่าข้าพระพุทธเจ้าเสีย ข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบทูลถาม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้ามีความผิดในเรื่องนี้เป็นประการใดหรือ พระเจ้าข้า.

[๒๑๖๗] (พระราชาตรัสว่า) ทิพพจักษุดาบสผู้ไม่ประมาท ทำกิจรดน้ำบำเรอไฟ ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้าทุกเมื่อ เหตุไรเจ้าจึงเรียกทิพพจักษุดาบสผู้สำรวมอินทรีย์เป็นพรหมจารีเช่นนั้นว่า พราหมณ์คฤหบดี.

[๒๑๖๘] (พระกุมารทูลว่า) ขอเดชะ กุลุปกดาบสผู้นี้มีของเก็บไว้หลายอย่าง คือผลสมอพิเภก เผือกมัน และผลไม้ทั้งหลาย กุลุปกดาบสผู้นี้เป็นผู้

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 164

ไม่ประมาท เก็บรักษาของเหล่านั้นไว้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้า จึงเรียกดาบสนั้นว่า "คฤหบดี".

[๒๑๖๙] (พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนเจ้าโสมนัสสกุมาร เรื่องนี้เจ้าพูดได้จริง ดาบสผู้นี้มีของเก็บไว้ หลายอย่าง ดาบสผู้นี้เป็นผู้ไม่ประมาท เก็บรักษาสิ่งของเหล่านั้นไว้ เพราะฉะนั้น ดาบสผู้นี้ จึงชื่อว่า พราหมณ์คฤหบดี.

[๒๑๗๐] (พระกุมารตรัสว่า) บริษัททั้งหลาย ทั้งชาวนิคมและชาวชนบทที่มาประชุมกันถ้วนทุกคน ขอจงฟังข้าพเจ้า พระราชาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์นี้เป็นพาล ได้ฟังคำชฎิลโกงแล้ว ตรัสสั่งให้ฆ่าเราเสียโดยหาเหตุมิได้เลย.

[๒๑๗๑] (พระกุมารตรัสว่า) เมื่อรากยังเจริญงอกงามแผ่ไพศาลอยู่ ไม้ไผ่ที่แตกเป็นกอใหญ่แล้ว ก็แสนยากที่จะถอนให้หมดสิ้นไปได้ ข้าแต่พระราชบิดา ผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายบังคมพระยุคลบาท ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ข้าพระพุทธเจ้าจักออกบวช พระเจ้าข้า.

[๒๑๗๒] (พระราชาตรัสว่า) โสมนัสสกุมารเอ๋ย เจ้าจงเสวยสมบัติอันไพบูลย์เถิด อนึ่ง บิดาจะมอบอิสริยยศทั้งหมดให้แก่เจ้า เจ้าจงเป็นพระราชาของชาวกุรุรัฐเสียในวันนี้ทีเดียวเถิด อย่าบวชเลย เพราะการบวชเป็นทุกข์.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 165

[๒๑๗๓] (พระกุมารทูลว่า) ขอเดชะ บรรดาโภคสมบัติของพระองค์ ซึ่งมีอยู่ในราชธานีนี้ สิ่งไรเล่าที่ข้าพระพุทธเจ้าควรบริโภคมีอยู่หรือ เมื่อชาติก่อนข้าพระพุทธเจ้าเคยรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส และผัสสะทั้งหลายที่น่ารื่นรมย์ใจ. ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเคยบริโภคสมบัติมาแล้วในไตรทิพย์ เคยมีหมู่นางอัปสรแวดล้อมมาแล้ว ข้าพระพุทธเจ้ามารู้ว่า พระองค์เป็นพาล ถูกคนอื่นจูงไปแล้ว จะอยู่ในราชสกุลเช่นนั้นไม่ได้เลย.

[๒๑๗๔] (พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนพ่อโสมนัส ถ้าหากว่าบิดาเป็นพาลต้องอาศัยผู้อื่นจูงไปไซร้ เจ้าจงอดโทษให้บิดาสักครั้งหนึ่งเถิด ถ้าแม้ว่าโทษเช่นนี้จะพึงมีอีกไซร้ เจ้าจงกระทำตามมติของตนเถิด.

[๒๑๗๕] (พระกุมารตรัสว่า) การงานที่บุคคลใด ไม่ใคร่ครวญพิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อนแล้วทำลงไป ผลชั่วร้ายย่อมมีแก่บุคคลนั้น เหมือนยาที่เสื่อมคุณภาพฉะนั้น.

ส่วนการงานที่บุคคลใดใคร่ครวญพิจารณาถี่ถ้วนก่อนแล้วทำลงไป ผลอันเจริญย่อมมีแก่บุคคลนั้นเหมือนยาแก้โรคที่ไม่เสื่อมคุณภาพฉะนั้น.

คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม เป็นคนเกียจคร้านไม่ดี บรรพชิตไม่สำรวมไม่งาม พระราชาไม่ใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทำลงไป ไม่ดี บัณฑิตมีความโกรธเป็นเจ้าเรือน ก็ไม่ดี.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 166

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นอธิบดีแห่งทิศ กษัตริย์ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงค่อยทำ ยังไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วไม่ควรทำกิจการอะไร พระเกียรติยศของพระราชาผู้ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้ว จึงทำลงไป ย่อมเจริญยิ่งๆ ขึ้น.

ข้าแต่พระภูมิบาล อิสรชนควรพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงลงอาชญา การงานที่ทำด้วยความรีบร้อนย่อมเดือดร้อน อนึ่ง ความตั้งตนไว้โดยชอบและประโยชน์ของนรชน ย่อมไม่ตามเดือดร้อนในภายหลัง.

อนึ่ง ชนเหล่าใด จำแนกแจกแจงด้วยปัญญา แล้วกระทำการงานทั้งหลาย ที่ไม่ตามเดือดร้อนในภายหลังในโลก การงานของชนเหล่านั้น ท่านผู้รู้สรรเสริญ มีความสุขเป็นกำไร พุทธาทิบัณฑิตอนุมัติแล้ว.

ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งประชาชน นายประตู ตำรวจดาบ และพวกเพชฌฆาต พากันไปจะฆ่าข้าพระพุทธเจ้า พวกนั้นพากันฉุดคร่าข้าพระพุทธเจ้า ผู้กำลังนั่งอยู่บนพระเพลาแห่งพระราชมารดามาโดยทารุณ.

ข้าแต่พระราชบิดา แท้จริงข้าพระพุทธเจ้า ประสบภัยคือความตายอันเผ็ดร้อน คับแคบ ลำบากเหลือเกิน วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีชีวิตอันเป็นที่รัก หวานซาบซึ้งใจ รอดพ้นจากการถูกประหารมาได้แสนยาก จึง น้อมใจไปในบรรพชาอย่างเดียว.

[๒๑๗๖] (พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนสุธรรมาเทวี โสมนัสสกุมารโอรสของเธอนี้ ยังรุ่นหนุ่ม น่าเอ็นดู

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 167

วันนี้เราอ้อนวอนเขาไว้ ก็ไม่ได้สมปรารถนา แม้เธอ ก็ควรจะอ้อนวอนโอรสของเธอดูบ้าง.

[๒๑๗๗] (พระนางสุธรรมาเทวีตรัสว่า) ดูก่อน พระลูกรัก เจ้าจงยินดีด้วยภิกขาจาริยวัตรเถิด จงใคร่ครวญในธรรมทั้งหลาย แล้วละเว้นบรรพชาของคนมิจฉาทิฏฐิเสียเถิด เจ้าจงวางอาชญาในสรรพสัตว์ นักบวชละวางอาชญาในสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว เป็นผู้ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงพรหมสถาน.

(พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนสุธรรมาเทวี เธอพูดคำเช่นใด คำเช่นนั้นน่าอัศจรรย์จริงหนอ เราได้รับทุกข์อยู่แล้ว เธอยังกลับเพิ่มทุกข์ให้อีก ฉันขอร้องเธอให้ช่วยอ้อนวอนลูก เธอกลับสนับสนุนให้โสมนัสสกุมารเกิดอุตสาหะยิ่งขึ้น.

[๒๑๗๘] (พระนางสุธรรมาเทวีตรัสว่า) พระอริยเจ้าเหล่าใดพ้นวิเศษแล้ว บริโภคปัจจัยอันหาโทษมิได้ ดับรอบแล้ว เที่ยวไปในโลกนี้ หม่อมฉันไม่อาจจะห้ามโอรสผู้ดำเนินไปตามมรรคาของพระอริยเจ้าเหล่านั้นได้.

[๒๑๗๙] (พระราชาตรัสว่า) ชนเหล่าใดมีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนอย่างมาก พระนางสุธรรมาเทวีนี้ เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ปราศจากความโศกเศร้า ได้สดับคำสุภาษิตของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นควรจะสมาคมคบหาทีเดียว.

จบโสมนัสสชาดกที่ ๙

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 168

อรรถกถาโสมนัสสชาดก

พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภความที่พระเทวทัตพยายามเพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ใครมาตี มาด่าท่านหรือ (โก ตํ หิํสติ เหเติ) ดังนี้.

ก็ในกาลครั้งนั้น พระบรมศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ใน บัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในปางก่อนพระเทวทัตนี้ ก็พยายามเพื่อจะฆ่าเราตถาคต เหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้.

ในอดีตกาล มีพระราชาทรงพระนามว่าเรณุราช เสวยราชสมบัติในอุตตรปัญจาลนคร แคว้นกุรุ. ครั้งนั้น พระดาบสชื่อมหารักขิตะ มีดาบส ๕๐๐ เป็นบริวาร อยู่ในหิมวันตประเทศเที่ยวจาริกไป เพื่อจะเสพอาหารรสเค็มและรสเปรี้ยว จนลุถึงอุตตรปัญจาลนคร พักอยู่ในพระราชอุทยาน รุ่งขึ้น พร้อมด้วยบริวารเที่ยวไปบิณฑบาตจนถึงราชทวาร. พระเจ้าเรณุราช ทรงเห็นหมู่ฤๅษี ทรงเลื่อมใสในอิริยาบถ จึงตรัสสั่งให้นิมนต์มานั่ง ณ ท้องพระโรง มีพื้นกว้างใหญ่อันประดับตกแต่งแล้ว ทรงอังคาสด้วยอาหารอันประณีต แล้วตรัสว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นิมนต์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย อยู่จำพรรษาที่อุทยานของข้าพเจ้าตลอดฤดูฝนนี้เถิด" แล้วเสด็จไปพระราชอุทยาน พร้อมด้วยดาบสเหล่านั้น ตรัสสั่งให้สร้างที่อยู่ พระราชทานบรรพชิตบริขาร ทรงนมัสการแล้วเสด็จกลับพระราชวัง. นับแต่นั้นมา ดาบสเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ก็รับพระราชทานฉัน ในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ. ก็พระราชามิได้มีพระโอรส จึงทรงปรารถนาจะได้พระโอรส. ราชโอรสก็หาได้มาอุบัติสมพระราชประสงค์ไม่ ล่วงกาลฤดูฝน ๓ เดือนแล้ว ท่านมหารักขิตดาบส จึงเข้า

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 169

ไปถวายพระพรลาพระราชาว่า บัดนี้ ที่ป่าหิมพานต์เป็นรมณียสถาน พวกอาตมาภาพจะไปอยู่ที่ป่าหิมพานต์นั้นตามเดิม อันพระราชาทรงกระทำการสักการะบูชาแล้ว จึงออกจากพระราชอุทยานไป ในเวลาเที่ยงวัน ได้แวะออกจากทางเสียในระหว่างมรรคา พาบริวารนั่งอยู่ที่เนินหญ้าแพรกอ่อนๆ ณ ภายใต้ต้นไม้มีร่มเงาอันเยือกเย็นต้นหนึ่ง.

ดาบสเหล่านั้นนั่งประชุมสนทนากันว่า "ในพระราชวังหามีพระราชโอรส ที่จะสืบราชตระกูลไม่ ถ้าพระราชาจะพึงได้พระราชโอรส ก็จะเป็นการดีทีเดียว จะได้สืบราชสกุลสืบไป". ท่านมหารักขิตดาบส ได้ยินถ้อยคำของดาบส เหล่านั้นแล้ว จึงใคร่ครวญดูว่า พระราชาจักมีพระโอรสหรือไม่หนอ ทราบว่า จักมี จึงพูดขึ้นว่า "ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านอย่าคิดวิตกไปเลย วันนี้เวลาใกล้รุ่ง เทพบุตรหนึ่งองค์จักจุติลงมา ถือปฏิสนธิในครรภ์แห่งอัครมเหสีของพระราชา" ชฎิลโกงผู้หนึ่งได้ยินดังนั้น จึงคิดว่า เราจักเป็นราชกุลุปกะ (พระดาบสประจำราชสำนัก) เสียแต่บัดนี้. จึงในเวลาที่พวกดาบสออกเดินทางไป แกล้งลวงว่าเป็นไข้แล้วนอนเสีย ถูกพวกดาบสอื่นๆ เตือนว่า "ลุกขึ้นเถิด พวกเราจักไปกันละ". ก็ตอบว่า "เราไม่สามารถจะไปได้". ท่านมหารักขิตดาบสรู้เหตุที่ดาบสนั้นแกล้งนอน จึงกล่าวว่า "ท่านสามารถจะไปได้เมื่อใด จงตามมาเมื่อนั้นเถิด" ดังนี้แล้ว พาหมู่ฤๅษีเดินทางไปยังหิมวันตประเทศทีเดียว. ฝ่ายดาบสโกง จึงรีบย้อนกลับมาโดยเร็ว ยืนอยู่ที่ราชทวาร สั่งให้ราชบุรุษกราบทูลพระราชาว่า ดาบสอุปัฏฐากของท่านมหารักขิตดาบสมาเฝ้า ครั้นพระราชาตรัสสั่งให้รีบนิมนต์เข้าไปเฝ้า จึงขึ้นสู่ปราสาท นั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้แล้ว. พระราชาทรงนมัสการพระดาบสแล้ว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ตรัสถามถึง สุขภาพอนามัยของพระฤๅษีทั้งหลาย แล้วตรัสว่า "พระคุณเจ้ารีบด่วนกลับมา

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 170

ทั้งนี้ด้วยเหตุอันใดหรือ" ดาบสโกงถวายพระพรว่า "ขอถวายพระพร ถูกต้องทีเดียว หมู่ฤๅษีนั่งพักกันอยู่ตามสบาย ต่างสนทนาปราศรัยกันว่า ถ้าหากว่า พระโอรสผู้สืบสันตติวงศ์ของพระราชาจะพึงเสด็จอุบัติขึ้นไซร้ ข้อนั้นจะเป็นความดี ฉะนี้แล้ว อาตมาภาพฟังคำสนทนานั้นแล้ว ตรวจดูด้วยทิพยจักษุว่า มหาบพิตรจักมีพระราชโอรสหรือไม่หนอ เห็นว่า เทพบุตรผู้มีมหิทธิฤทธิ์ จักจุติมาบังเกิดในพระครรภ์ แห่งพระนางสุธรรมาอัครมเหสี จึงคิดว่า ผู้ที่ไม่รู้ ก็จะพึงทำลายพระครรภ์ให้พินาศเสีย จำเราต้องแจ้งแก่มหาบพิตรทั้งสอง จึงได้รีบมาเพื่อต้องการถวายพระพรให้ทรงทราบ บัดนี้อาตมาภาพก็ได้ถวายพระพรให้พระองค์ทรงทราบแล้ว ขอถวายพระพรลาไป". พระเจ้าเรณุราช ทรงโสมนัสยินดี มีพระหฤทัยเลื่อมใส ตรัสว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้ายังไปไม่ได้" ดังนี้แล้ว นำดาบสโกงไปสู่พระราชอุทยาน จัดแจงสถานที่อยู่พระราชทาน. จำเดิมแต่นั้นมา ดาบสโกงนั้นก็พำนักอาศัยขบฉันในราชตระกูลจนได้มีนามว่า ทิพพจักษุดาบส (ดาบสผู้มีตาทิพย์) ทีเดียว.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จุติจากดาวดึงส์พิภพ ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ แห่งพระนางสุธรรมาราชเทวี ในพระนครนั้น. ในวันขนานพระนามพระราชกุมารนั้น พระราชมารดาบิดา จึงขนานพระนามว่า โสมนัสสกุมาร. พระราชโอรสทรงเจริญพระชนมพรรษาด้วยกุมารบริหารโดยลำดับ. ฝ่ายดาบสโกงจัดแจงปลูกผักอันเกื้อกูลแก่สูปะ และวัลลิผล คือผลไม้เครือเถามีประการต่างๆ ด้านริมพระราชอุทยานแห่งหนึ่ง แล้วจำหน่ายขายแก่ชาวร้านตลาด รวบรวมทรัพย์ไว้. ในกาลเมื่อพระโพธิสัตว์ มีพระชันษาได้ ๗ ปี ประเทศชายแดนราชอาณาเขตกำเริบจลาจล. พระเจ้าเรณุราชตรัสสั่งว่า "เจ้าอย่าประมาทท่านทิพพจักษุดาบส" ทรงให้พระราชกุมารรับคำแล้วเสด็จไป ด้วยหวังว่า เราจักจัดการให้ปัจจันตชนบทสงบราบคาบ. ครั้นวันหนึ่ง พระราชกุมารคิดว่า เรา

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 171

จักไปเยี่ยมเยียนท่านชฎิล จึงเสด็จสู่พระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นชฎิลโกง นุ่งผ้ากาสาวะหยักรั้งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง สองมือถือน้ำข้างละหม้อ กำลังรดน้ำไร่ผักอยู่ ก็ทรงทราบว่าชฎิลผู้นี้เป็นชฎิลโกง ไม่บำเพ็ญสมณธรรมของตน มัวปลูกผักทำสวนครัวเสีย จึงทรงทักทายให้ชฎิลโกงนั้นได้อายว่า "ดูก่อนคฤหบดีพ่อค้าผัก ท่านกำลังทำอะไรอยู่" แล้วมิได้ทรงกราบไหว้ เสด็จออกกลับไปยังพระนคร. ชฎิลโกงคิดว่า บัดนี้พระราชกุมารนี้ เป็นศัตรูเราเสียแล้ว ใครรู้เข้า ความเสื่อมเสียอะไรๆ จักมี ควรที่เราจะกำจัดพระราชกุมารนั้นเสียแต่บัดนี้ทีเดียว ในเวลาใกล้ที่พระราชาจะเสด็จมา จึงโยนแผ่นหินไปรวมไว้ ณ ส่วนหนึ่ง ทุบต่อยหม้อน้ำให้แตก ทั้งเกลี่ยหญ้าทิ้งเรี่ยราดไว้บนบรรณศาลา เอาน้ำมันทาตัว เข้าไปยังบรรณศาลา นอนคลุมโปงอยู่บนเตียง ทำประหนึ่งว่าถึงความทุกข์ร้อนอย่างใหญ่หลวง. พระราชาครั้นเสด็จมาแล้ว ทรงกระทำประทักษิณพระนคร ยังไม่เสด็จเข้าพระราชนิเวศน์ ทรงดำริว่า เราจักเยี่ยมเยียนท่านทิพพจักษุดาบสผู้เป็นเจ้าแห่งเราก่อน แล้วเสด็จไปถึงประตูบรรณศาลา ทอดพระเนตรเห็นอาการอันวิปริตเช่นนั้น ทรงพระดำริว่า นี้เรื่องอะไรหนอ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรเห็นชฎิลโกงนั้นนอนอยู่ ทรงลูบคลำเท้าทั้งสองของชฎิลโกง ตรัสพระคาถาที่ ๑ ความว่า

ใครมาตี มาด่าท่านหรือ ทำไมท่านจึงเสียใจ น้อยใจ เศร้าโศกอยู่ วันนี้มารดาบิดาของท่านมาร้องไห้รบกวนประการใด หรือว่าวันนี้ ใครมารังแกท่านให้ต้องนอนเหนือแผ่นดิน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตี (หิํสติ) ได้แก่ ทุบตี.

บทว่า ด่า (เหเติ) ได้แก่ ด่าว่า.

บทว่า วันนี้ใคร ... นอน (กวชฺช เสตุ) ความว่า หรือว่าวันนี้มีใครมาเบียดเบียนรังแกให้ท่านต้องนอนเหนือแผ่นดิน.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 172

ชฎิลโกงได้ยินพระดำรัสนั้น จึงทอดถอนหายใจลุกขึ้นกล่าวคาถาที่ ๒ ความว่า

ขอถวายพระพรพระจอมภูมิบาล อาตมาภาพดีใจมากที่ได้เห็นมหาบพิตร อาตมาภาพเข้ามาอาศัยมหาบพิตรอยู่นานแล้ว มิได้เบียดเบียนใคร ขอถวายพระพร อาตมาภาพถูกพระราชโอรสของมหาบพิตรเบียดเบียน.

เบื้องหน้าแต่นี้ไป พึงทราบคาถาประพันธ์ ที่พระคันถรจนาจารย์ ประพันธ์ไว้ง่ายๆ ตามนัยวาระพระบาลีความว่า

(พระราชาทรงพระพิโรธ ตรัสว่า) เหวยเหล่านายทวารบาล พนักงานตำรวจดาบ และนายเพชฌฆาตทั้งหลาย พวกเจ้าจงไปตามหน้าที่ของตนๆ จงไปยังภายในพระราชฐาน ฆ่าเจ้าโสมนัสสกุมารเสีย แล้วตัดเอาศีรษะมา.

ทูตทั้งหลายที่พระราชาส่งไป ได้กราบทูลพระกุมารว่า ข้าแต่พระขัตติโยรส พระองค์เป็นผู้ที่พระอิสราธิบดีราชบิดาทรงตัดขาดแล้ว พระองค์ต้องโทษถึงประหารชีวิต พระเจ้าข้า.

พระราชโอรสทรงพระกันแสงอยู่ ทรงประคองอัญชลี ยกพระหัตถ์ทั้งสิบนิ้วขึ้นอ้อนว่า ตัวเราอยากจะขอเฝ้าพระราชบิดาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ ขอท่านทั้งหลายจงนำเราผู้ยังมีชีวิตไปเฝ้าพระราชบิดาเถิด.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 173

ทูตทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของพระราชกุมารแล้ว ได้พาพระราชโอรสเข้าเฝ้าพระราชา ฝ่ายพระราชโอรส ครั้นเห็นพระราชบิดา จึงกราบทูลไปแต่ไกลว่า

ข้าแต่พระราชบิดาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ พวกนายประตู พนักงานตำรวจดาบ และเพชฌฆาตทั้งหลาย พากันมาเพื่อจะฆ่าข้าพระพุทธเจ้าเสีย ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบทูลถาม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดตรัสบอกเนื้อความนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า วันนี้ข้าพระพุทธเจ้ามีความผิดในเรื่องนี้เป็นประการใดหรือ พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิได้เบียดเบียนใคร (อหิํสโก) ความว่า ข้าพระองค์ไม่ เบียดเบียนใครๆ เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีลและอาจาระ.

บทว่า เข้ามาอาศัยมหาบพิตร (เรณุมนุปวิสฺส) ความว่า ขอถวายพระพร พระองค์เรณุมหาราช อาตมาภาพเข้ามา อยู่อาศัย.

บทว่า ถูก ... เบียดเบียน (เหยิโตสฺมิ) ความว่า อาตมาถูกโอรสของพระองค์พาพวกบริวารเป็นอันมากเข้ามากล่าวหมิ่นประมาทว่า "เฮ้ยเจ้าดาบสโกง เพราะเหตุไร เจ้าจึงมาอยู่ในที่นี้". ดังนี้แล้ว งัดแผ่นหินโยนทิ้ง ซ้ำทุบต่อยหม้อน้ำแล้วมิหนำ ชกต่อยถีบเตะเบียดเบียนอาตมาภาพอีกด้วย. ดาบสนั้นกล่าวคำเท็จ แต่งให้เป็นเหมือนจริง ทูลให้พระราชาหลงเชื่อด้วยประการฉะนี้.

บทว่า จงไป (อายนฺตุ) ความว่า พระเจ้าเรณุราชทรงกริ้วพระราชกุมารว่า "นับแต่กาลที่ได้ปฏิบัติผิดในพระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว โสมนัสสกุมารนั้นจักละอายแม้ในตัวเราก็หามิได้" เมื่อจะตรัสสั่งบังคับให้สำเร็จโทษพระราชกุมาร

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 174

เสียจึงตรัสอย่างนี้.

บทว่า นายเพชรฆาตทั้งหลาย (กสาวิยา) ความว่า พระเจ้าเรณุราช ตรัสสั่งว่า "เหวย เหล่าชาวเพชฌฆาตทุกหมู่เหล่าผู้มีขวานอยู่ในมือ จงมาโดยวิธีการของตนๆ.

บทว่า ศีรษะ (วรํ) ความว่า จงตัดศีรษะอันประเสริฐ คือ อวัยวะเบื้องสูง นำมาให้เรา.

บทว่า พระราชา (ราชิโน) ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทูตทั้งหลายที่พระราชาทรงส่งไปจากราชสำนัก พากันรีบไปล้อมจับพระราชกุมาร ซึ่งพระราชมารดาทรงประดับตกแต่งแล้ว ให้ประทับเหนือพระเพลาของพระองค์ แล้วพากันกราบทูลความนั้น.

บทว่า พระอิสราธิบดี (อิสฺสเรน) หมายถึง พระราชา.

บทว่า ตัดขาดแล้ว (วิติณฺโณสิ) ความว่า พระองค์เป็นผู้อันพระราชาตัดขาดแล้ว.

บทว่า พระราชโอรสนั้น (ส ราชปุตฺโต) ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสทรงสดับถ้อยคำของทูตเหล่านั้นแล้ว สะดุ้งตกพระทัยกลัวต่อมรณภัย ผลุดลุกจากพระเพลาของพระมารดา.

บทว่า เข้าเฝ้า (ปฏิทสฺสเยถ) ความว่า ท่านทั้งหลายจงนำ เราเข้าเฝ้า.

บทว่า นั้น (ตสฺส) ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทูตเหล่านั้นฟังพระดำรัสนั้นของพระกุมารแล้ว จึงงดการประหารชีวิตไว้ และเอาเชือกมัดพระกุมาร จูงไปเฝ้าพระราชา เหมือนดังคนจูงโคฉะนั้น ก็เมื่อพวกเพชฌฆาตกำลังนำพระกุมารไป พระนางสุธรรมาราชเทวีพร้อมด้วยนางสนม แวดล้อมด้วยหมู่ทาสี อีกทั้งชาวพระนครทั้งหลาย ต่างพูดกันว่าพวกเราจักไม่ยอมให้สำเร็จโทษพระกุมารผู้หาความผิดมิได้แล้วได้ตามไป พร้อมกับพระกุมารนั้น.

บทว่า พากันมา (อาคจฺฉุํ) ความว่า พวกเพชฌฆาตมายังสำนักของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อจะลงพระราชอาญา.

บทว่า เพื่อจะฆ่าหม่อมฉัน (หนฺตุํ มมํ) ความว่า เพื่อจะประหารหม่อมฉันเสีย.

บทว่า ในเรื่องนี้เป็นประการใด (โกนีธ) ความว่า พระกุมารทูลถามว่า "พระราชบิดาตรัสสั่งให้ประหารชีวิตข้าพระพุทธเจ้าด้วยประการใด อะไรหนอเป็นความผิดของข้าพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้".

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 175

พระเจ้าเรณุราชตวาดว่า "ภวัคคพรหมยังต่ำนัก โทษของเจ้าใหญ่โตมาก" เมื่อจะตรัสบอกโทษผิดของพระราชกุมาร จึงตรัสพระคาถาความว่า

ทิพพจักษุดาบสผู้ไม่ประมาท ทำกิจรดน้ำบำเรอไฟ ทั้งเวลาเย็นเวลาเช้าทุกเมื่อ เหตุไรเจ้าจึงเรียกทิพพจักษุดาบสผู้สำรวมอินทรีย์ เป็นพรหมจารีเช่นนั้นว่า " พราหมณ์ คฤหบดี "

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทำกิจรดน้ำ (อุทกํ สชาติ) ความว่า ทำการลงสู่น้ำ.

บทว่า เช่นนั้นนั้น (ตํ ตาทิสํ) ความว่า พระเจ้าเรณุราชตรัสว่า "เพราะเหตุไร เจ้าจึงร้องเรียกทิพพจักษุดาบสผู้เป็นเจ้าของเราเห็นปานนั้น ด้วยวาทะว่า คฤหบดีเล่า".

ลำดับนั้น พระกุมารกราบทูลว่า ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเรียกคฤหบดีแท้ๆ ด้วยวาทะว่า คฤหบดีดังนี้ จะมีโทษผิดอะไรหรือ ดังนี้แล้วตรัสคาถาความว่า

ขอเดชะ กุลุปกดาบสผู้นี้มีของเก็บไว้หลายอย่าง คือผลสมอพิเภก เผือกมัน และผลไม้ทั้งหลาย กุลุปกดาบสผู้นี้เป็นผู้ไม่ประมาทเก็บรักษาสิ่งของเหล่านั้นไว้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้า จึงเรียกดาบสนั้นว่า " คฤหบดี ".

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เผือกมัน (มูลา) ได้แก่ พืชทั้งหลายมีพืชที่เกิดจากรากเป็นต้น.

บทว่า ผลไม้ทั้งหลาย (ผลา) ได้แก่ วัลลิผลาผลนานาชนิด.

บทว่า เป็นผู้ไม่ประมาหเก็บรักษาสิ่งของเหล่านั้นไว้ (เต รกฺขติ โคปยตปฺปมตฺโต) ความว่า กุลุปกดาบสของเสด็จพ่อนี้ ทำการปลูกผัก นั่งเฝ้าอยู่ ไม่ประมาท ทำรั้วล้อมคุ้มครองดูแล ด้วยเหตุนั้นแหละ

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 176

กุลุปกดาบสนั้น จึงจัดว่าเป็นพราหมณ์คฤหบดีของเสด็จพ่อ.

บทว่า เพราะเหตุนั้นหม่อมฉันจึงเรียกดาบสนั้นว่า คฤหบดี (อิติ นํ อหมฺปิ คหปติ) ความว่า ที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลมา หากเสด็จพ่อไม่ทรงเชื่อ โปรดตรัสสั่งให้ถามชาวร้านขายผัก ที่พระราชทวารทั้ง ๔ ทิศดูเถิด.

พระราชาจึงตรัสสั่งให้ราชบุรุษไปเรียกชาวร้านขายผักมาซักถาม ชาวร้านขายผักทั้งหลายก็พากันกราบทูลว่า "ขอเดชะ เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าซื้อผักและผลไม้จากมือของท่านดาบสรูปนี้จริง". พระราชกุมารโสมนัสตรัสสั่งให้พนักงานเจ้าหน้าที่พิสูจน์สิ่งของดู ทำให้เห็นประจักษ์ ราชบุรุษของพระกุมารเข้าไปยังบรรณศาลาของดาบสนั้น แล้วค้นนำเอาห่อกหาปณมาสกที่ได้จากการขายผักมาถวายยืนยันแด่พระราชา. พระราชาทรงทราบว่า พระมหาสัตว์ไม่มีความผิด จึงตรัสพระคาถา ความว่า

ดูก่อนเจ้าโสมนัสสกุมาร เรื่องนี้เจ้าพูดได้จริง ดาบสผู้นี้มีของเก็บไว้หลายอย่าง ดาบสผู้นี้เป็นผู้ไม่ประมาทเก็บรักษาสิ่งของเหล่านั้นไว้ เพราะฉะนั้นดาบสผู้นี้จึงชื่อว่า พราหมณ์ คฤหบดี.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ ทรงพระดำริว่า "การที่เราเข้าป่าหิมพานต์แล้วบวชเสีย ดีกว่าอยู่ในสำนักของพระราชาผู้โง่เขลาเห็นปานนี้" แล้วแถลงโทษของพระราชาให้แจ้งชัด ในท่ามกลางบริษัทนั่นเอง แล้วกราบทูลลาว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจักทูลลาออกไปบรรพชาเสียวันนี้ทีเดียว". พระโพธิสัตว์ทำสักการะแก่บริษัทแล้ว ตรัสพระคาถาความว่า

บริษัททั้งหลาย ทั้งชาวนิคมและชาวชนบท ที่มาประชุมกันถ้วนทุกคน ขอจงฟังข้าพเจ้า พระราชาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์นี้เป็นพาลได้ฟังคำชฎิลโกงแล้วตรัสสั่งให้ฆ่าเราเสียโดยหาเหตุมิได้.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 177

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พระราชาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์นี้ เป็นพาล (พาลายํ พาลสฺส) ความว่า พระราชานี้ เป็นพาลด้วยพระองค์เอง ทรงฟังถ้อยคำของชฎิลโกงผู้เป็นพาลโง่เขลาแล้ว ตรัสสั่งให้ฆ่าข้าพเจ้าโดยหาเหตุมิได้.

ก็แลพระโพธิสัตว์เจ้า ตรัสดังนี้แล้ว จึงถวายบังคมพระราชบิดาให้ทรงอนุญาตให้พระองค์ทรงบรรพชาแล้ว ตรัสพระคาถานอกนี้ความว่า

เมื่อรากยังเจริญงอกงามแผ่ไพศาลอยู่ ไม้ไผ่ที่แตกเป็นกอใหญ่แล้ว ก็แสนยากที่จะถอนให้หมดสิ้นไปได้ ข้าแต่พระราชบิดาผู้เป็นจอมประชาราษฎร์ เกล้ากระหม่อมฉันขอถวายบังคมพระยุคลบาท ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กระหม่อมฉันจักขอออกบวชพระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า แผ่ไพศาล (วิสเต) ความว่า (ไม้ไผ่) แตกเป็นกอ ลำใหญ่.

บทว่า ก็ยากที่จะถอนให้หมดสิ้นไปได้ (ทุนฺนิกฺขโย) ความว่า ยากที่จะถอนให้หมดสิ้น.

ต่อแต่นี้ไป เป็นคาถาประพันธ์ โต้ตอบระหว่างพระราชากับพระราชโอรส.

(พระราชาตรัสว่า) โสมนัสสกุมารเอ๋ย เจ้าจงเสวยสมบัติอันไพบูลย์เถิด อนึ่ง บิดาจะมอบอิสริยยศทั้งหมดให้แก่เจ้า เจ้าจงเป็นพระราชาของชาวกุรุรัฐเสียในวันนี้ทีเดียวเถิด อย่าบวชเลย เพราะการบวชเป็นทุกข์.

(พระโพธิสัตว์ทูลว่า) ขอเดชะ บรรดาโภคสมบัติของพระองค์ ซึ่งมีอยู่ในราชธานีนี้ สิ่งไรเล่าที่

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 178

ข้าพระพุทธเจ้าควรบริโภคมีอยู่หรือ เมื่อชาติก่อนข้าพระพุทธเจ้าเคยรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกด้วยรูป เสียง กลิ่น รส และผัสสะทั้งหลายที่น่ารื่นรมย์ใจ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า เคยบริโภคสมบัติมาแล้วในไตรทิพย์ เคยมีหมู่นางอัปสรแวดล้อมมาแล้ว ข้าพระพุทธเจ้า มารู้ว่าพระองค์เป็นพาล ถูกคนอื่นจูงไปแล้ว จะอยู่ในราชสกุลเช่นนั้นไม่ได้เลย.

(พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนพ่อโสมนัส ถ้าหากว่า บิดาเป็นพาล ต้องถูกผู้อื่นจูงไปไซร้ เจ้าจงอดโทษให้แก่บิดาสักครั้งหนึ่งเถิด ถ้าแม้ว่าโทษเช่นนี้จะพึงมีอีกไซร้ เจ้าจงกระทำตามมติของตนเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เป็นทุกข์ (ทุกฺขา) ความว่า พระราชาตรัสวิงวอน พระโอรสว่า "ลูกรัก ขึ้นชื่อว่าการบรรพชาเป็นทุกข์ เพราะต้องมีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น เจ้าอย่าบวชเลย จงเป็นพระราชาเถิด".

บทว่า ขอเดชะ ... ในราชธานีนี้ ... หรือ (กินฺนูธ เทว) ความว่า ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ โภคสมบัติของพระราชบิดาเหล่าใดมีอยู่ในราชธานีนี้ ในโภคสมบัติเหล่านั้น สิ่งใดเล่า สมควรที่ข้าพระพุทธเจ้าจะพึงบริโภคใช้สอยได้ มีอยู่แลหรือ.

บทว่า แวดล้อม (ปริวารโต) ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าอันนางเทพอัปสรเคยบำรุงบำเรอมาแล้ว. อีกนัยหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.

ได้ยินว่า พระญาณระลึกชาติได้เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ เพราะเหตุนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสอย่างนี้.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 179

บทว่า ถูกคนอื่นจูงไป (ปรเนยฺยํ) ความว่า (พระองค์เป็นพาล) ต้องอาศัยคนอื่นจูงไปด้วยไม้เท้า ดังคนตาบอด.

บทว่า เช่นนั้น (ตาทิเส) ความว่า พระโพธิสัตว์ตรัสอย่างนี้ เพื่อจะให้พระราชบิดาทรงทราบว่า "บัณฑิตไม่พึงอยู่ในสำนักของพระราชาเช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้ารอดชีวิตมาได้วันนี้ ก็ด้วยกำลังญาณของตน ข้าพระพุทธเจ้าจักอยู่ใน สำนักของพระราชบิดาหาได้ไม่".

บทว่า ตามมติของตน (ยถามติํ) ความว่า พระเจ้าเรณุราชทรงขอให้พระราชโอรสยกโทษให้ว่า "ถ้าหากว่าโทษผิดเห็นปานนี้ของบิดาจะพึงมีอีกไซร้ เมื่อนั้นเจ้าจงทำตามอัธยาศัยเถิด".

พระมหาสัตว์ เมื่อจะถวายโอวาทพระราชบิดา จึงตรัสคาถา ๘ คาถา ความว่า

การงานที่บุคคลใดไม่ใคร่ครวญพิจารณาให้ถี่ถ้วนเสียก่อนแล้วทำลงไป ผลชั่วร้ายย่อมมีแก่บุคคลนั้น เหมือนความวิบัติแห่งยาแก้โรคฉะนั้น.

ส่วนการงานที่บุคคลใดใคร่ครวญพิจารณาถี่ถ้วนก่อนแล้วทำลงไป ผลอันเจริญย่อมมีแก่บุคคลนั้น เหมือนความถึงพร้อมแห่งยาแก้โรคฉะนั้น.

คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม เป็นคนเกียจคร้านไม่ดี บรรพชิตไม่สำรวมไม่งาม พระราชาไม่ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วทำลงไปไม่ดี บัณฑิตมีความโกรธเป็นเจ้าเรือนก็ไม่ดี.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 180

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นอธิบดีแห่งทิศ กษัตริย์ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงค่อยทำ ยังไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้วไม่ควรทำกิจการอะไร พระเกียรติยศของพระราชาผู้ทรงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงทำลงไป ย่อมเจริญยิ่งๆ ขึ้น.

ข้าแต่พระจอมภูมิบาล อิสรชนควรพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงลงอาชญา การงานที่ทำด้วยความรีบร้อนย่อมเดือดร้อน อนึ่ง ความตั้งตนไว้โดยชอบและประโยชน์ของนรชน ย่อมไม่ตามเดือดร้อนในภายหลัง.

อนึ่ง ชนเหล่าใดจำแนกแจกแจงด้วยปัญญา แล้วกระทำการงานทั้งหลายที่ไม่ตามเดือดร้อนในภายหลังในโลก การงานของชนเหล่านั้นท่านผู้รู้สรรเสริญ มีความสุขเป็นกำไร พุทธาทิบัณฑิต อนุมัติแล้ว.

ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาชน นายประตู ตำรวจดาบ และพวกเพชฌฆาต พากันไปจะฆ่าข้าพระพุทธเจ้า พวกนั้นพากันฉุดคร่าข้าพระพุทธเจ้า ผู้กำลังนั่งอยู่บนพระเพลาแห่งพระราชมารดามาโดยพลัน.

ข้าแต่พระราชบิดา แท้จริงข้าพระพุทธเจ้าประสบภัย คือความตายอันเผ็ดร้อน คับแคบ ลำบากเหลือเกิน วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีชีวิตอันเป็นที่รักหวานซาบซึ้งใจ รอดพ้นจากการถูกประหารมาได้แสนยาก จึงน้อมใจไปในบรรพชาอย่างเดียว.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 181

บรรดาบทเหล่านั้นว่า ไม่ใคร่ครวญ (อนิสมฺม) ความว่า ไม่ตรวจตราพิจารณา คือใคร่ครวญ (ก่อนทำ).

บทว่า ไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน (อนวตฺถาย จินฺติตํ) ความว่า ไม่กำหนด คือไม่พิจารณาดำริตริตรองให้รอบคอบ.

บทว่า ผลชั่วร้าย (วิปาโก โหติ ปาปโก) ความว่า จริงอยู่ ความเปล่าประโยชน์คือความเสื่อมคุณภาพแห่งยาแก้โรคเป็นฉันใด ผลลามกชั่วร้ายย่อมมีแก่บุคคลนั้นฉันนั้น.

บทว่า ไม่สำรวม (อสญฺโต) ความว่า บรรพชิตผู้ไม่สำรวมด้วยกายทวาร เป็นต้น เป็นผู้ทุศีล.

บทว่า ไม่ดี (ตํ น สาธุ) ความว่า ความโกรธของบัณฑิตนั้นเองไม่ดี.

บทว่า ไม่ได้พิจารณา (นานิสมฺม) ความว่า ยังไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญก่อนแล้ว ไม่ควรกระทำกิจการอะไร.

บทว่า จึงลงอาชญา (ปณเยยฺย) ความว่า พึงเริ่มตั้งคือพึงยัง อาชญาให้เป็นไป.

บทว่า ด้วยความรีบร้อน (เวคา) ความว่า โดยเร็ว คือ โดยฉับพลันทันที.

บทว่า ความตั้งตนไว้ชอบ (สมฺมาปณิธี จ) ความว่า ความตั้งตนไว้โดยชอบและประโยชน์ของนรชนที่ทำด้วยจิตอันตั้งไว้โดยแยบคาย ย่อมเป็นของไม่ตามเดือดร้อนในภายหลัง.

บทว่า จำแนกแจกแจง (วิภชฺช) ความว่า ชนเหล่าใด จัดแจงด้วยปัญญาอย่างนี้ว่า กิจการเหล่านี้ควรทำ เหล่านี้ไม่ควรทำ.

บทว่า การงานทั้งหลาย (กมฺมายตนานิ) ได้แก่ การงานทั้งหลาย.

บทว่า พุทธาธิบัณฑิตอนุมัติแล้ว (พุทฺธานุมตานิ) ความว่า การงานอันบัณฑิตอนุมัติแล้ว ย่อมเป็นของหาโทษมิได้.

บทว่า อันเผ็ดร้อน (กฏุกํ) ความว่า ขอเดชะข้าแต่พระราชบิดา ข้าพระพุทธเจ้าถึงความหวั่นกลัวต่อมรณภัย อันเผ็ดร้อน คับแคบ ลำบากเหลือเกิน.

บทว่า ได้ (ลทฺธา) ความว่า ได้ชีวิตคืนมาด้วยกำลังแห่งญาณของตน.

บทว่า น้อมใจไปในบรรพชาอย่างเดียว (ปพฺพชฺชเมวาภิมโนหมสฺมิ) ความว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีจิตน้อมไปเฉพาะต่อบรรพชาอย่างเดียว.

เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าแสดงธรรมอย่างนี้แล้ว พระเจ้าเรณุราชตรัสเรียก พระราชเทวี มาเฝ้าแล้วตรัสพระคาถาความว่า

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 182

ดูก่อนสุธรรมาเทวี โสมนัสสกุมารโอรสของเธอนี้ ยังรุ่นหนุ่ม น่าเอ็นดู วันนี้เราอ้อนวอนเขาไว้ ก็ไม่ได้สมปรารถนา แม้เธอก็ควรจะอ้อนวอนโอรสของเธอดูบ้าง.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อ้อนวอน (ยาจิตเว) ความว่า เพื่อช่วยอ้อนวอน.

พระนางสุธรรมาเทวี กลับส่งเสริมพระโอรส เพื่อบรรพชาอย่างเดียว ตรัสคาถาความว่า

ดูก่อนพระลูกรัก เจ้าจงยินดีด้วยภิกขาจาริยวัตรเถิด จงใคร่ครวญในธรรมทั้งหลาย แล้วละเว้นบรรพชาของคนมิจฉาทิฏฐิเสียเถิด เจ้าจงวางอาชญาในสรรพสัตว์ นักบวชละวางอาชญาในสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว เป็นผู้ไม่ถูกติเตียนแล้ว ย่อมเข้าถึงพรหมสถาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ใคร่ครวญ (นิสมฺม) ความว่า เมื่อเจ้าจะบวชแน่จงใคร่ครวญดู แล้วละการบรรพชาของมิจฉาทิฏฐิกชนเสีย จงบรรพชาลัทธิอันเป็นธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิเถิด.

ลำดับนั้น พระเจ้าเรณุราชตรัสพระคาถา ความว่า

ดูก่อนสุธรรมาเทวี เธอพูดคำเช่นใด คำเช่นนั้นน่าอัศจรรย์จริงหนอ เราได้รับทุกข์อยู่แล้วเธอยังกลับเพิ่มทุกข์ให้อีก ฉันขอร้องเธอให้ช่วยอ้อนวอนลูก เธอกลับสนับสนุนให้โสมนัสสกุมารเกิดอุตสาหะยิ่งขึ้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คำเช่นใด (ยาทิสญฺจ) ความว่า เธอพูดคำนี้เช่นใด คำนั้นน่าประหลาดอัศจรรย์จริงหนอ.

บทว่า ได้รับทุกข์อยู่แล้ว (ทุกฺขิตํ) ความว่า เธอเพิ่มทุกข์ให้ฉันซึ่งมีทุกข์อยู่แล้วโดยปกติให้ทุกข์หนักขึ้น.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 183

พระนางเทวี ตรัสคาถาอีกความว่า

พระอริยเจ้าเหล่าใด พ้นวิเศษแล้วบริโภคปัจจัยอันหาโทษมิได้ ดับรอบแล้วเที่ยวไปในโลกนี้ หม่อมฉันไม่อาจจะห้ามโอรสผู้ดำเนินไปตามมรรคาของพระอริยเจ้าเหล่านั้นได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พ้นวิเศษแล้ว (วิปฺปมุตฺตา) ความว่า หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น.

บทว่า ดับรอบแล้ว (ปรินิพฺพุตา) ความว่า ผู้ดับแล้ว ด้วยกิเลสปรินิพพานธาตุ.

บทว่า ตามมรรคาของพระอริยเจ้าเหล่านั้น (ตมริยมคฺค) ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ หม่อมฉันไม่อาจจะห้ามพระโอรสของหม่อมฉันผู้เจริญรอยมรรคาอันเป็นของแห่งพระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านั้นได้.

พระราชาทรงสดับพระเสาวนีย์ ของพระนางเทวีแล้วตรัสคาถาสุดท้าย ความว่า

ชนเหล่าใดมีปัญญา เป็นพหูสูต ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนอย่างมาก พระนางสุธรรมาเทวีนี้ เป็นผู้มีความขวนขวายน้อยปราศจากความโศกเศร้า ได้สดับคำสุภาษิตของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นควรจะสมาคมคบหาทีเดียว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตรึกตรองเหตุการณ์ถี่ถ้วนอย่างมาก ( พหุานจินฺติโน) ความว่า เป็นผู้คิดเหตุการณ์ต่างๆ เป็นอันมาก.

บทว่า พระนางสุธรรมาเทวีนี้... ของชนเหล่าใด ( เยสายํ ตัดบทเป็น เยสํ อยํ). แท้จริง พระนางสุธรรมาราชเทวีนั้น ได้ทรงสดับคำสุภาษิตของโสมนัสสกุมารนั่นเอง จึงเกิดเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย แม้พระราชาก็ตรัสหมายถึงพระราชโอรสนั้นเหมือนกัน.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 184

พระมหาสัตว์เจ้า ถวายบังคมพระราชมารดาบิดาแล้วกราบทูลว่า "ถ้าหากว่าโทษผิดของข้าพระพุทธเจ้ามีอยู่ไซร้ ขอพระชนกชนนีได้โปรดทรงพระกรุณาอดโทษด้วยเถิด" แล้วประคองอัญชลีต่อมหาชน บ่ายพระพักตร์ต่อหิมวันตประเทศเสด็จดำเนินไป เมื่อมหาชนส่งเสด็จกลับแล้ว เทพยดาทั้งหลายพากันมาด้วยเพศมนุษย์ พาข้ามขุนเขา ๗ ลูก นำไปสู่ป่าหิมพานต์ ทรงบรรพชาเพศเป็นดาบสอยู่ในบรรณศาลาอันวิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตไว้ให้. เทพยดาทั้งหลายต่างอภิบาลบำรุงพระมหาสัตว์เจ้า ด้วยเพศมนุษย์ผู้อภิบาลบำรุงในราชสกุล จนกระทั่งจวบกาลพระมหาสัตว์เจ้ามีพระชนมายุได้ ๑๖ ปี. ฝ่ายมหาชนพากันโบยตีชฎิลโกงจนถึงสิ้นชีวิต. พระมหาสัตว์เจ้ายังฌานและ อภิญญาให้เกิดแล้ว ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อนพระเทวทัตนี้ ก็พยายามฆ่าเราตถาคตอย่างนี้เหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงประชุมชาดกว่า "ชฎิลโกหกในครั้งนั้นได้มาเป็นพระเทวทัตในบัดนี้ พระมารดาในกาลนั้น ได้มาเป็นพระนางสิริมหามายาในบัดนี้ พระมหารักขิตดาบสในกาลนั้น ได้มาเป็นสารีบุตร ส่วนโสมนัสสกุมาร ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.

จบอรรถกถาโสมนัสสชาดก.