พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. ภัลลาติยชาดก ว่าด้วยอายุของกินนร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  26 ส.ค. 2564
หมายเลข  35971
อ่าน  638

[เล่มที่ 61] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 144

๘. ภัลลาติยชาดก

ว่าด้วยอายุของกินนร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 61]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 144

๘. ภัลลาติยชาดก

ว่าด้วยอายุของกินนร

[๒๑๕๓] ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลาติยะ ทรงละรัฐสีมาเสด็จประพาสป่าล่ามฤค ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคิรีมีพรรณดอกไม้บานสะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนืองๆ. กินนร สองผัวเมีย ยืนคลึงเคล้ากันอยู่ ณ ที่ใด ท้าวเธอประสงค์จะตรัสถาม จึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บแล่งธนูเสีย แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้น ตรัสว่า ล่วงฤดูเหมันต์แล้ว ไยเล่าเจ้าทั้งสองจึงมายืนกระซิบกระซาบกันอยู่เนืองๆ ที่ริมฝั่งเหมวดีนทีนี้ เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศเหมือนร่างมนุษย์ ชนทั้งหลายในมนุษยโลกรู้จักเจ้าทั้งสองว่าเป็นอะไร.

[๒๑๕๔] ข้าแต่ท่านพรานผู้สหาย เราทั้งสองเป็นมฤค มีเพศพรรณปรากฏเหมือนมนุษย์ เที่ยวอยู่ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนที ซึ่งมีน้ำใสเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่าเป็น กินนร.

[๒๑๕๕] เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อน เสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักกัน ได้สวมกอดกัน สมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรทั้งสอง


๑ อรรถกถาเป็น ภัลลาติกะ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 145

ผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย. เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนร ผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงมาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย. เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนร ผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงเศร้าโศกอยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย.

[๒๑๕๗] (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่ท่านนายพราน เราทั้งสองไม่อยากจะจากกันก็ต้องจากกัน แยกกันอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เมื่อมาระลึกถึงกันและกัน เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกันตลอดราตรีหนึ่งที่ล่วงไปนั้นว่า ราตรีนั้นจักไม่มีอีก.

[๒๑๕๗] (พระราชาดำรัสถามว่า) เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่าคิดถึงมารดาบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วจึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เราขอถามเจ้าทั้งสอง ผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์ เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 146

[๒๑๕๘] (นางกินรีทูลว่า) ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด มีกระแสเชี่ยวไหลมาในระหว่างหุบผา ปกคลุมไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ในฤดูฝนกินนรสามีสุดที่รักของดิฉันได้ข้ามแม่น้ำนั้นไป ด้วยสำคัญว่าดิฉันจะติดตามมาข้างหลัง.

ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลำดวน ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดเค้าที่บานสล้าง ด้วยคิดว่าสามีของเราจักได้ทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่าสามีที่รักของเราจักทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกำลังบานสล้าง ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่าสามีที่รักของเราจักสวมใส่พวงมาลัย ส่วนเราก็จักได้สวมใส่พวงมาลัย เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกำลังบานสล้าง แล้วร้อยทำเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่าคืนวันนี้ เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่ใด พวงมาลัยที่ทำไว้นี้แหละจักเป็นเครื่องปูลาดสำหรับเราทั้งสอง ณ ที่นั้น.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 147

อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อ บดกฤษณาดำ และจันทน์แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่าสามีที่รักของเราจักได้ประพรมร่างกาย ส่วนเราประพรมร่างกายแล้ว จะเข้าไปนอนแนบชิดสามีที่รักนั้น.

ครั้งนั้น กระแสน้ำเชี่ยวไหลมา พัดเอาดอก สาลพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์ ที่ดิฉันเก็บมาวางไว้ไปหมดสิ้น โดยกาลประมาณครู่เดียวเท่านั้นน้ำก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็นดิฉันก็ข้ามไปไม่ได้.

คราวนั้น เราทั้งสองอยู่กันคนละฝั่งน้ำ มองเห็นหน้ากันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากันก็ร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง คืนนั้นได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก.

ข้าแต่นายพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า เราทั้งสองข้ามแม่น้ำอันยุบแห้ง มาสวมกอดกันแลกัน ร้องไห้อยู่คราวหนึ่งหัวเราะอยู่คราวหนึ่ง.

ข้าแต่นายพรานผู้ภูมิบาล เมื่อครั้งก่อน เราทั้งสองได้พรากกันอยู่นาน ถึง ๖๙๗ ปี ชีวิตของท่านนี้มีกำหนดเพียง ๑๐๐ ปี อนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าหนอในที่นี้ จะพึงอยู่ปราศจากภรรยาสุดที่รักได้.

[๒๑๕๙] (พระราชาตรัสว่า) ดูก่อนสหาย อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้ก็จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 148

บิดพลิ้ว จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมาจากวุฒิบุคคล หรือจากตำรับตำรา.

[๒๑๖๐] (นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่นายพราน อายุของเราทั้งสอง ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี อนึ่ง ในระหว่างอายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย มีแต่ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้งสองยังรักกันไม่จืดจาง ก็ต้องมาละทิ้งชีวิตไป.

[๒๑๖๑] พระเจ้าภัลลาติยะได้ทรงสดับถ้อยคำของกินนรทั้งสองนี้แล้ว ทรงพระดำริว่า ชีวิตเป็นของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ ได้ทรงบำเพ็ญทาน เสวยราชสมบัติสืบมา.

[๒๑๖๒] (พระบรมศาสดาตรัสว่า) มหาบพิตรทั้งสองทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลาย อันมิใช่มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทำการทะเลาะกันเลย กรรมอันเป็นโทษของตนอย่าได้ทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตนทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.

มหาบพิตรทั้งสอง ทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายอันมิใช่มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 149

อย่าได้ทำความวิวาทบาดหมางกันเลย กรรมอันเป็นโทษของตนอย่าทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตนทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.

[๒๑๖๓] (พระนางมัลลิกาทูลว่า) หม่อมฉันมีใจเลื่อมใส ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ ที่พระองค์ทรงแสดงประกอบไปด้วยเหตุต่างๆ ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ดับความกระวนกระวายใจของหม่อมฉันได้ ข้าแต่พระสมณเจ้าผู้ทรงนำความสุขมาให้หม่อมฉัน ขอพระองค์จงทรงมีชนมชีพยืนนานเถิด.

จบภัลลาติยชาดกที่ ๘

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 150

อรรถกถาภัลลาติกชาดก

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระนางมัลลิกาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลาติกะ ( ภลฺลาติโก นาม อโหสิ ราชา) ดังนี้.

ได้ยินว่า วันหนึ่งอาศัยเหตุที่พระนางมัลลิกาเทวี บรรทมร่วมกับพระเจ้าโกศลราช จึงเกิดวิวาทบาดหมางกันขึ้น. พระราชาทรงกริ้ว ถึงกับไม่ทอดพระเนตรเหลียวแลพระนางมัลลิกาอัครมเหสี. พระนางจึงทรงพระดำริว่า "พระตถาคตเจ้า จะไม่ทรงทราบเรื่องที่พระราชาทรงกริ้วเราหรือหนอ" พระศาสดาทรงทราบเหตุนั้น วันรุ่งขึ้น แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไป บิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ทรงดำเนินไปถึงประตูพระราชวัง. พระราชาจัดการรับเสด็จ ทรงรับบาตรแล้วทูลพระศาสดาเสด็จสู่ปราสาท อาราธนาภิกษุสงฆ์ให้นั่งโดยลำดับแล้ว ถวายน้ำทักษิโณทก ทรงอังคาสด้วยพระกระยาหารอันประณีต เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามว่า "ขอถวายพระพรมหาบพิตร เหตุไรหนอ พระนางมัลลิกาบรมราชเทวี จึงทรงหายไปไม่ปรากฏ" เมื่อท้าวเธอทูลตอบว่า "เพราะพระนางเพลิดเพลินมัวเมาในความสุขส่วนตัวเสีย" จึงตรัสว่า "ดูก่อนมหาบพิตร ในชาติก่อนพระองค์ทรงบังเกิดในกำเนิดกินนร พลัดจากนางกินรีไปหนึ่งราตรี ต้องเที่ยวปริเทวนาการอยู่ถึง ๗๐๐ ปีมิใช่หรือ" พระราชาทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อครั้งพระเจ้าภัลลาติกราช เสวยราชสมบัติอยู่ใน พระนครพาราณสี ทรงพระดำริว่า เราจักบริโภคเนื้อย่างสุกด้วยถ่าน จึง

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 151

ทรงมอบราชสมบัติแก่หมู่อำมาตย์แล้วทรงคาดราชปัญจาวุธ แวดล้อมด้วยหมู่โกเลยยสุนัข ที่ฝึกหัดดีแล้ว เสด็จออกจากพระนครไปยังหิมวันตประเทศ เสด็จถึงแม่น้ำน้อยแห่งหนึ่ง ไม่สามารถจะข้ามฝั่งน้ำไปได้ ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำที่มีกระแสไหลผ่านลงคงคาแห่งหนึ่ง จึงพระราชดำเนินเลียบไปตามกระแสน้ำนั้น ทรงฆ่ามฤคและสุกรเป็นต้นแล้ว เสวยเนื้อย่างสุกด้วยถ่านเพลิง พลางเสด็จขึ้นยังที่เนินอันสูง. ณ บนที่ราบสูงนั้นมีแม่น้ำน้อยๆ เป็นที่น่ารื่นรมย์. ยามที่น้ำเต็มบริบูรณ์ นทีธารนั้นจะมีส่วนลึกประมาณราวนมไหลผ่านอยู่เสมอ. ในเวลาอื่นจะมีน้ำลดลงประมาณแค่แข้งและเข่า มีปลาและเต่าแหวกว่ายไปมาอยู่ดาษดื่น. ที่ชายหาดมีทรายสะอาดขาวราวกับแผ่นเงิน สองฟากฝั่งมีพรรณหมู่ไม้สะพรั่ง สล้างไปด้วยดอกและผลนานาชนิด หมู่วิหคและภมรมากมาย ที่หลงใหลในดอกผลและรส ต่างพากันมาคลึงเคล้า ทั้งหมู่พิพิธมฤคามฤคีเล่า ก็เข้าเสพอาศัย ร่มเงาต้นไม้ก็เย็นสนิท. ที่ฝั่งน้ำเหมวดีนทีน่ารื่นรมย์อย่างนี้ มีกินนรสองตัวผัวเมียคลอเคลียจุมพิตซึ่งกันและกัน แล้วร้องไห้คร่ำครวญอยู่โดยนานัปการ. เมื่อพระราชาเสด็จขึ้นภูเขาคันธมาทน์ ทางฝั่งนทีนั้น ทอดพระเนตรเห็นกินนรเหล่านั้น แล้วทรงพระดำริว่า เพราะเหตุไรเล่าหนอ กินนรทั้งคู่นี้จึงมาปริเทวนาการอยู่อย่างนี้ เราจักถามดู จึงดีดพระหัตถ์ ขึงพระเนตรดูหมู่สุนัข โกเลยยสุนัขที่ฝึกหัดดีแล้วทั้งหลาย พากันวิ่งเข้าซ่อนยังพุ่มไม้ หมอบราบติดดินอยู่โดยสัญญานั้น พระราชาทรงทราบว่าสุนัขเหล่านั้นแอบซ่อนแล้ว ทรงวางแล่งธนูและอาวุธอื่นพิงไว้กับต้นไม้ ไม่ทำเสียงพระบาทให้ดัง ค่อยๆ เสด็จไปยังสำนักกินนรเหล่านั้น แล้วตรัสถามกินนรทั้งสองว่า "เพราะเหตุไร เจ้าทั้งสองจึงพากันร้องไห้".

พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 152

ได้มีพระราชาทรงพระนามว่า ภัลลาติยะ ทรงละรัฐสีมา เสด็จประพาสป่าล่ามฤค ท้าวเธอเสด็จไปถึงคันธมาทน์วรคิรีมีพรรณดอกไม้บานสะพรั่ง ซึ่งกินนรเลือกเก็บอยู่เนืองๆ.

กินนรสองผัวเมียยืนคลึงเคล้ากันอยู่ ณ ที่ใด ท้าวเธอประสงค์จะตรัสถามจึงทรงห้ามหมู่สุนัข และเก็บแล่งธนูเสีย แล้วเสด็จเข้าไปใกล้ ณ ที่นั้นตรัส ว่า

ล่วงฤดูเหมันต์แล้ว ไยเล่าเจ้าทั้งสองจึงมายืน กระซิบกระซาบกันอยู่เนืองๆ ที่ริมฝั่งเหมวดีนทีนี้ เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนร่างมนุษย์ ชนทั้งหลายในมนุษยโลกรู้จักเจ้าทั้งสองว่าเป็นอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หมู่สุนัข (สาลูรสงฺฆํ) ได้แก่ หมู่แห่งสุนัข.

บทว่า ล่วงฤดูเหมันต์แล้ว (หิมจฺจเย) ความว่า ล่วงเดือนในฤดูเหมันต์ทั้งสี่ไปแล้ว.

บทว่า เหมวดีนที (เหมวตาย) ความว่า ที่ฝั่งแห่งแม่น้ำเหมวดีนี้.

กินนรได้สดับพระราชดำรัสถามแล้วก็นิ่งเสีย ฝ่ายนางกินรีจึงกราบทูลโต้ตอบพระราชาว่า

ข้าแต่ท่านพรานผู้สหาย เราทั้งสองเป็นมฤค มีเพศพรรณปรากฏเหมือนมนุษย์ เที่ยวอยู่ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มาลาคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนที ซึ่งมีน้ำใสเย็นสนิท ชาวโลกรู้จักเราทั้งสองว่าเป็น กินนร.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 153

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มัลลคิรีนที (มลฺลคิริํ) ความว่า ท่านนายพรานผู้สหาย เราทั้งหลายเที่ยวอยู่ตามแม่น้ำเหล่านี้ คือ มัลลคิรีนที ปัณฑรกนที ติกูฏนที. ปาฐะเป็น มาลาคิริํ ดังนี้ก็มี.

บทว่า มีเพศพรรณปรากฏ (นิภาสวณฺณา) ความว่า มีเพศผิวพรรณ คือ มีอวัยวะร่างกายปรากฏ (เหมือนมนุษย์).

ลำดับนั้น พระราชาได้ตรัสพระคาถา ๓ คาถา ความว่า

เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรทั้งสองผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงร้องไห้อยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์เสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองมีความรักกัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงมาบ่นเพ้ออยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย.

เจ้าทั้งสองเหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน ปริเทวนาการอยู่ เจ้าทั้งสองรักใคร่กัน ก็ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว ดูก่อนกินนรผู้มีเพศพรรณเหมือนกายมนุษย์ เราขอถามเจ้าทั้งหลาย เหตุไรเจ้าทั้งสอจึงเศร้าโศกอยู่ในป่านี้ไม่สร่างซาเลย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เหมือนได้รับความทุกข์ร้อนเสียเหลือเกิน (สุกิจฺฉรูปํ) ความว่า มีอาการเหมือนมีทุกข์เดือดร้อนเหลือขนาด.

บทว่า รักใคร่กัน ได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว (อาลิงฺคิโต จาสิ ปิโย ปิยาย) ความว่า

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 154

ความที่เจ้ารักกัน ก็เป็นอันได้สวมกอดกันสมความรักแล้ว. ปาฐะว่า อาลิงฺคิโย จาสิ ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างเดียวกันนี้.

บทว่า เหตุไร... ในป่านี้ (กิมิธา วเน) ความว่า เพราะเหตุไร เจ้าทั้งสองจึงคลึงเคล้าจุมพิตกัน กล่าววาจาน่ารักต่อกันในระหว่างๆ แล้วพากันร้องไห้ในป่านี้อีกมิได้สร่าง.

ต่อจากนี้ไป เป็นคาถาแสดงการปราศรัยโต้ตอบกันระหว่างพระราชากับนางกินรีทั้งสอง ดังต่อไปนี้

(นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่ท่านนายพราน เราทั้งสองไม่อยากจะจากกันก็ต้องจากกัน แยกกันอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เมื่อมาระลึกถึงกันและกันก็เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกันตลอดราตรีหนึ่งที่ล่วงไปนั้นว่า ราตรีนั้นจักไม่มีอีก.

(พระราชาตรัสถามว่า) เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่าคิดถึงมารดาบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว จึงได้เดือดร้อนอยู่สิ้นราตรีหนึ่ง เราขอถามเจ้าทั้งสองผู้มีเพศพรรณดังกายมนุษย์ เหตุไรเจ้าทั้งสองจึงต้องจากกันไป.

(นางกินรีทูลว่า) ท่านเห็นนทีนี้แห่งใด มีกระแสเชี่ยวไหลมาในระหว่างหุบผา ปกคลุมไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณ ในฤดูฝนกินนรสามีสุดที่รักของดิฉัน ได้ข้ามแม่น้ำนั้นไปด้วยสำคัญว่า ดิฉันจะติดตามมาข้างหลัง.

ส่วนดิฉันมัวเลือกเก็บดอกปรู ดอกลำดวน ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดเค้าที่บานสล้าง ด้วยคิดว่า

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 155

สามีที่รักของเราจักได้ทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกบานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้สอดแซมดอกไม้ เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกำลังบานสล้าง ร้อยเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักสวมใส่พวงมาลัย ส่วนเราก็จักได้สวมใส่พวงมาลัย เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.

อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ ซึ่งกำลังบานสล้าง แล้วร้อยทำเป็นพวงมาลัย ด้วยคิดว่า คืนวันนี้เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่ใด พวงมาลัยที่ทำไว้นี้แหละ จักเป็นเครื่องปูลาดสำหรับเราทั้งสอง ณ ที่นั้น.

อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อ บดกฤษณาดำและจันทน์แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจักได้ประพรมร่างกาย ส่วนเราประพรมร่างกายแล้ว จะเข้าไปนอนแนบชิดสามีที่รักนั้น.

ครั้งนั้น น้ำมีกระแสเชี่ยวไหลมา พัดเอาดอก สาลพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์ ที่ดิฉันเก็บมาวางไว้ไปหมดสิ้น โดยกาลประมาณครู่เดียวเท่านั้นน้ำก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็นดิฉันก็ข้ามไปไม่ได้.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 156

คราวนั้นเราทั้งสองอยู่กันคนละฝั่งน้ำ มองเห็นหน้ากันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง มองไม่เห็นหน้ากันก็ร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง คืนนั้นได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก.

ข้าแต่นายพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า เราทั้งสองข้ามแม่น้ำอันยุบแห้ง มาสวมกอดกันและกัน ร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง.

ข้าแต่นายพรานผู้ภูมิบาล เมื่อครั้งก่อน เราทั้งสองได้พรากกันอยู่นานถึง ๖๙๗ ปี ชีวิตของท่านนี้มี กำหนดเพียง ๑๐๐ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าหนอ ในที่นี้จะพึงอยู่ปราศจากภรรยาสุดที่รักได้.

(พระราชาตรัสถามว่า) ดูก่อนสหาย อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าไร ถ้าท่านทั้งสองรู้ก็จงบอกอายุ ของพวกท่านแก่เรา ขอท่านทั้งหลายอย่าได้บิดพลิ้ว จงบอกอายุของพวกท่านแก่เรา ตามที่ได้ยินได้ฟังมา จากวุฒิบุคคล หรือจากตำรับตำรา.

(นางกินรีทูลตอบว่า) ข้าแต่นายพราน อายุ ของเราทั้งสองประมาณ ๑,๐๐๐ ปี อนึ่ง ในระหว่างอายุนั้น โรคร้ายย่อมไม่มี มีความทุกข์น้อย มีแต่ความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เราทั้งสองยังรักกันไม่จืดจาง ก็ต้องมาละทิ้งชีวิตไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เราทั้งสอง... สิ้นราตรีหนึ่ง (มเยกรตฺตํ ตัดบทเป็น มยํ เอกรตฺตํ) ความว่า เราทั้งสองต้องจากกันชั่วราตรีหนึ่ง.

บทว่า จากกัน (วิปฺปวสิมฺห) ความว่า

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 157

เราต้องพรากจากกันอยู่.

บทว่า ก็เดือดร้อนเศร้าโศกถึงกัน (อนุตปฺปมาณา) ความว่า ทั้งๆ ที่เราทั้งสองไม่ปรารถนาจะจากกัน ราตรีหนึ่งก็ได้ผ่านพ้นไป เราทั้งสองก็เฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงราตรีเดียวนั้นอยู่.

บทว่า จักไม่มีอีก (ปุน น เหสฺสติ) ความว่า ราตรีนั้นจักไม่มี คือจักไม่ย่างมาอีก.

บทว่า ทรัพย์ที่หายไปหรือ หรือว่ามารดาบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว (ธนํว นฏฺํ ปิตรญฺจ เปตํ) ความว่า เจ้าทั้งสองคิดถึงทรัพย์ที่หายไปแล้ว หรือคิดถึงมารดาบิดาที่ละโลกนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุไร จึงได้แยกกันตลอดราตรีหนึ่งนั้น จงบอกเหตุนั้นแก่เราเถิด.

บทว่า ยมิมํ ตัดบท เป็น ยํ อิมํ แปลว่า นี้ใด.

บทว่า หุบผา (เสลกุลํ) ความว่า ไหลมาในระหว่างหุบผาทั้งสอง.

บทว่า ในฤดูฝน (วสฺสกาเล) ความว่า นางกินรีกล่าวว่า "ในเวลาที่เมฆก้อนหนึ่งตั้งขึ้นฝนตก แม้ยามที่เราทั้งสองย่ำราตรีท่องเที่ยวไปในไพรสณฑ์นี้ เมฆก้อนหนึ่งตั้งขึ้น ลำดับนั้นกินนรผู้สามีสุดที่รักของดิฉัน สำคัญว่าดิฉันตามมาข้างหลัง จึงข้ามนทีนี้ไป".

บทว่า อนึ่ง ดิฉัน (อหญฺจ) ความว่า ก็ดิฉันหาได้ทราบว่าสามีของตนข้ามไปฝั่งโน้นแล้วไม่ มัวเลือกเก็บดอกไม้ทั้งหลายมีดอกปรูเป็นต้น ที่บานสะพรั่งอยู่แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ดอกมะลิซ้อน และดอกคัดเค้า (สตฺตลิโยธิกญฺจ) ความว่า ก็เมื่อข้าพเจ้าเลือกเก็บดอกลำดวน และดอกมะลิซ้อน ก็ด้วยเหตุที่ว่า สามีที่รักของเราจักทัดทรงระเบียบดอกไม้ ส่วนเราก็จักสอดแซมระเบียบดอกไม้นอนแนบสามีนั้น.

บทว่า ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย ดอกย่านทราย (อุทฺทาลกา ปาตลี สินฺธุวาริตา) ความว่า นางกินรีกล่าวว่า "แม้ดอกไม้เหล่านี้ ก็เป็นอันข้าพเจ้าเลือกเก็บแล้วทีเดียว".

บทว่า เลือกเก็บ (โอเจยฺย) แปลว่า เลือกเก็บแล้ว.

บทว่า กฤษณาดำ และจันทน์แดง (อคฺคลุํ จนฺทนญฺจ) ได้แก่ กฤษณาดำและจันทน์แดง.

บทว่า ประพรมร่างกาย (โรสิตงฺโค) ความว่า มีสรีระร่างกายลูบไล้แล้ว.

บทว่า ประพรมร่างกายแล้ว (โรสิตา) แปลว่า ประพรมสรีระแล้ว.

บทว่า นอนแนบชิด (อชฺฌุเปสฺสํ) ความว่า จักเข้าไปแนบชิดบน

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 158

ที่นอน.

บทว่า พัดเอาดอกสาลพฤกษ์ ดอกสน ดอก กรรณิการ์ (นุทํ สาเล สลเล กณฺณิกาเร) ความว่า พัดพาเอาดอกไม้เหล่านี้ ที่ดิฉันเลือกเก็บแล้ววางไว้ริมฝั่งไปจนหมด.

บทว่า ข้ามไปไม่ได้ (สุทุตฺตรา) ความว่า ก็ในเวลาที่นางกินรีนั้นยืนอยู่ที่ฝั่งฟากนี้นั้นเอง น้ำในแม่น้ำท่วมท้นขึ้นมา ทั้งในขณะนั้นพระอาทิตย์ก็อัสดงคตไปแล้ว สายฟ้าก็แลบแปลบปลาบ ธรรมดาว่า กินนรทั้งหลายย่อมกลัวน้ำ เพราะฉะนั้น นางกินรีนั้นจึงไม่สามารถจะข้ามไปฝั่งโน้นได้ ด้วยเหตุนั้นนางจึงกล่าวว่า ในเวลายามเย็น ข้าพเจ้าข้ามน้ำไปไม่ได้.

บทว่า มองเห็นหน้ากัน (สมฺปสฺสนฺตา) ความว่า มองเห็นกันในเวลาฟ้าแลบ.

บทว่า ร้องไห้ (โรทาม) ความว่า ในเวลามืดมองไม่เห็นกันก็ร้องไห้ ในเวลาฟ้าแลบมองเห็นหน้ากันก็หัวเราะ.

บทว่า คืน (สมฺพรี) ได้แก่ ราตรี.

บทว่า อันขอดแห้ง (จตุกฺกํ) ได้แก่ ว่างเปล่าหรือยุบแห้ง.

บทว่า ข้าม (อุตฺตริยาน) ได้แก่ ข้ามไป.

บทว่า หย่อนสาม (ติหูนกํ) ความว่า เป็นเวลา ๖๙๗ ปี.

บทว่า เราทั้งสอง ... ในที่นี้ (ยมิธ มยํ) ความว่า นางกินรีกล่าวว่า "เราทั้งสองต้องจากพรากกันอยู่ในที่นี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้นั้น เป็นเวลานานถึง ๖๙๗ ปี.

บทว่า วสฺเสกิมํ ตัดบทเป็น วสฺสํ เอกํ อิมํ ความว่า นางกินรี กล่าวว่า "ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านนี้ มีกำหนดเพียง ๑๐๐ ปีหนึ่งเท่านั้น".

บทว่า ใครเล่าหนอในที่นี้ (โกนีธ) ความว่า นางกินรีกล่าวว่า "เมื่อชีวิตความเป็นอยู่มีเล็กน้อยอย่างนี้ ใครเล่าในที่นี้จะพรากจากภรรยาที่รักใคร่ได้ หรือไม่บังควรที่จะพลัดพรากจากภรรยาสุดที่รักเลย".

บทว่า มีประมาณเท่าไร (กีวตโก นุ) ความว่า พระราชาทรงสดับถ้อยคำของนางกินรีแล้ว ทรงดำริว่า เราจักถามประมาณอายุของกินนรเหล่านั้นกะนางกินรีดู จึงตรัสถามว่า "อายุของพวกท่านมีประมาณเท่าใด".

บทว่า ตามที่ได้ยินได้ฟังมา (อนุสฺสวา) ความว่า ถ้าเมื่อจะมีใครๆ บอกกล่าวแก่พวกท่าน หรือว่าตำรับตำรา มีอยู่ในสำนักมารดาบิดาหรือผู้เฒ่าผู้แก่ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอย่าบิดพลิ้วเลย จงบอกประมาณแห่งอายุ จากที่ได้ยินได้ฟังมา หรือจากตำรับตำรา.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 159

บทว่า ในระหว่างอายุ ... ไม่มี (น จนฺตรา) ความว่า อายุของเราทั้งหลายประมาณ ๑,๐๐๐ ปี และในระหว่างนั้น โรคภัยอันเลวร้ายซึ่งจะทำอันตรายแก่ชีวิตก็ไม่มีแก่พวกเราเลย.

บทว่า รักกันไม่จืดจาง (อวีตราคา) ความว่า เราทั้งหลายมิใช่ผู้ปราศจากความรักใคร่ กันและกันเลย.

พระเจ้าภัลลาติกราช ทรงสดับถ้อยคำของนางกินรี แล้วทรงดำริว่า "น่าอัศจรรย์ กินนรเหล่านี้เป็นสัตว์เดียรัจฉาน พลัดพรากจากกันชั่วราตรีเดียวยังเที่ยวร่ำไห้ถึงกันตลอดเวลา ๗๐๐ ปี ส่วนเราเองละเลยมหาสมบัติในความเป็นพระราชา มีอาชญาแผ่ไปถึง ๓๐๐ โยชน์ มาอยู่ในป่า น่าอนาถ เราได้ทำกิจที่ไม่ควรทำ" ดังนี้แล้ว เสด็จนิวัตน์จากอรัญประเทศนั้นสู่พระนครพาราณสี หมู่มุขอำมาตย์ทูลถามว่า "ขอเดชะมหาราชเจ้า พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไรเป็นสิ่งอัศจรรย์ในหิมวันตประเทศ" จึงตรัสบอกเหตุทั้งปวงที่ทรงประสบมา แล้วทรงบำเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น เสวยราชสมบัตินับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา.

พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า

พระเจ้าภัลลาติยะ ได้ทรงสดับถ้อยคำของกินนรทั้งสองนี้แล้ว ทรงพระดำริว่า ชีวิตเป็นของน้อย จึงเสด็จกลับ ไม่เสด็จล่าเนื้อ ได้ทรงบำเพ็ญทาน เสวยราชสมบัติสืบมา.

พระบรมศาสดาครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว เมื่อจะทรงโอวาทซ้ำอีก ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า

มหาบพิตรทั้งสอง ทรงสดับเรื่องราวของกินนร ทั้งหลายอันมิใช่มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 160

อย่าได้ทรงทำความทะเลาะกันเลย กรรมอันเป็นโทษของตนอย่าได้ทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตนทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.

มหาบพิตรทั้งสอง ทรงสดับเรื่องราวของกินนรทั้งหลายอันมิใช่มนุษย์นี้แล้ว จงทรงเบิกบานพระทัย อย่าได้ทรงทำความวิวาทบาดหมางกันเลย กรรมอันเป็นโทษของตนอย่าได้ทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน เหมือนกรรมอันเป็นโทษของตนทำให้กินนรสองสามีภรรยาเดือดร้อนอยู่ราตรีหนึ่ง ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อันมิใช่มนุษย์ (อมานุสานํ) ได้แก่ กินนรทั้งหลาย.

บทว่า กรรมอันเป็นโทษของตน (อตฺตกมฺมาปราโธ) ได้แก่ กรรมโทษของตน.

บทว่า ทำให้กินนรสองสามีภรรยา ... ราตรีหนึ่ง (กิํปุริเสกรตฺตํ) ความว่า กรรมโทษของตนอันทำให้พรากกันราตรีหนึ่ง ทำกินนรเหล่านั้นให้เดือดร้อนฉันใด กรรมโทษของตนอย่าทำให้มหาบพิตรทั้งสองต้องเดือดร้อน ฉันนั้นเลย.

พระนางมัลลิกาเทวี ทรงสดับพระธรรมเทศนาของพระตถาคตเจ้าแล้ว เสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ ทรงประคองอัญชลี เมื่อจะทรงชมเชยพระทศพล จึงตรัสคาถาสุดท้ายความว่า

หม่อมฉันมีใจเลื่อมใส ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ ที่พระองค์ทรงแสดงประกอบไปด้วยเหตุต่างๆ ประกอบไปด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะ ดับความกระวนกระวาย

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 161

ใจของหม่อมฉันได้ ข้าแต่พระสมณะเจ้า ผู้ทรงนำความสุขมาให้หม่อมฉัน ขอพระองค์จงทรงมีชนมชีพยืนนานเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หม่อมฉันมีใจเลื่อมใส ตั้งใจฟัง ... ต่างๆ (วิวิธ อธิมนา สุณามิหํ) ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กระหม่อมฉันเป็นผู้ชื่นชมยินดี มีจิตเลื่อมใส ฟังพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดง ประดับประดาไปด้วยเหตุต่างๆ.

บทว่า พระธรรมเทศนา (ทำนองพจน์) (วจนปถํ) ความว่า ทํานองคลองพระพุทธพจน์ ประกอบไปด้วยประโยชน์อันพระองค์ตรัสแล้วนั้นๆ.

บทว่า พระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอันไพเราะดับความกระวนกระวายใจของหม่อมฉันได้ (มุญฺจํ คิรํ นุทเสว เม ทรํ) ความว่า เมื่อพระองค์ทรงเปล่งมธุรพจน์อันเสนาะโสต ชื่อว่าบรรเทาแล้ว คือนำไปแล้วทีเดียวซึ่งความกระวนกระวาย คือความเศร้าโศกในหทัยของหม่อมฉัน.

บทว่า ข้าแต่สมณะเจ้าผู้ทรงนำความสุขมาให้หม่อมฉัน ขอพระองค์จงทรงมีพระชนมชีพยืนนานเถิด (สมณ สุขาวห ชีว เม จิรํ) ความว่า ข้าแต่พระมหาสมณะผู้พุทธเจ้าผู้เจริญ ผู้ทรงนำทิพยมานุษยโลกิยสมบัติ และโลกุตรสมบัติมาให้ ผู้เป็นเจ้าของกระหม่อมฉันผู้เป็นพระธรรมราชา ขอพระองค์จงทรงเจริญพระชนมชีพยืนนานเถิด.

จำเดิมแต่นั้นมา พระเจ้าโกศลราชก็ทรงอยู่ร่วมสมัครสโมสรกับพระนางมัลลิการาชเทวี.

พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า "กินนรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเจ้าโกศลราชในบัดนี้ กินรีในกาลนั้น ได้มาเป็นพระนางมัลลิการาชเทวีในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าภัลลาติกราชในกาลนั้น ได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แล".

จบอรรถกถาภัลลาติกชาดก