๗. สัตติคุมพชาดก ว่าด้วยพี่น้องก็ยังต่างใจกัน
[เล่มที่ 61] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 127
๗. สัตติคุมพชาดก
ว่าด้วยพี่น้องก็ยังต่างใจกัน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 61]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 127
๗. สัตติคุมพชาดก
ว่าด้วยพี่น้องก็ยังต่างใจกัน
[๒๑๔๒] พระมหาราชาผู้เป็นจอมชนแห่งชาวปัญจาลรัฐ เป็นดุจพรานเนื้อ เสด็จออกมาสู่ป่าพร้อมด้วยเสนา พลัดจากหมู่เสนาไป.
ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นกระท่อมที่เขาทำไว้เป็นที่อาศัยของโจรทั้งหลายในป่านั้น สุวโปดกออกจากกระท่อมนั้นไปแล้ว กลับมาพูดแข็งขันกับพ่อครัวว่า มีบุรุษหนุ่มน้อย มีรถม้าเป็นพาหนะ มีกุณฑลเกลี้ยงเกลาดี มีกรอบหน้าแดง งดงามเหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงสว่างในกลางวัน ฉะนั้น.
เมื่อถึงเที่ยงวัน พระราชากำลังทรงบรรทมหลับ พร้อมกับนายสารถี (สุวโปดกป่าวร้องว่า) เอาซิพวกเราจง รีบไปชิงเอาทรัพย์ทั้งหมดของท้าวเธอเสีย เวลานี้ก็ เงียบสงัดดุจยามค่ำคืน พระราชากำลังทรงบรรทมหลับพร้อมกับนายสารถี พวกเราจงไปแย่งเอาผ้าและกุณฑลแก้วมณี แล้วฆ่าเสียเอากิ่งไม้กลบไว้.
[๒๑๔๓] ดูก่อนสุวโปดกสัตติคุมพะ เจ้าเป็นบ้าไปกระมังจึงได้พูดอย่างนั้น เพราะว่าพระราชาทั้งหลายถึงจะเสด็จมาแต่ไกล ก็ย่อมทรงเดชานุภาพเหมือนดังไฟสว่างไสว ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 128
[๒๑๔๔] ดูก่อนนายปติโกลุมพะ ท่านเมาแล้วย่อมเก่งกาจสามารถมิใช่หรือ เมื่อมารดาของเราเปลือยกายอยู่ ไฉนท่านจึงเกลียดการโจรกรรมเล่า.
[๒๑๔๕] ดูก่อนนายสารถีผู้เพื่อนยาก เจ้าจงลุกขึ้นเทียมรถ เราไม่ชอบใจนก เราจงไปอาศรมอื่นกันเถิด.
[๒๑๔๖] ข้าแต่พระมหาราชา ราชรถได้เทียมแล้ว และม้าราชพาหนะมีกำลังก็ได้จัดเทียมแล้ว เชิญพระองค์เสด็จขึ้นประทับเถิด จะได้เสด็จไปยังอาศรมอื่น พระเจ้าข้า.
[๒๑๔๗] พวกโจรภายในอาศรมนี้พากันไปเสียที่ไหนหมดเล่า พระเจ้าปัญจาลราชนั้นหลุดพ้นไปได้ เพราะพวกโจรเหล่านั้นไม่เห็น ท่านทั้งหลายจงจับเกาทัณฑ์ หอก และโตมร พระเจ้าปัญจาลราชกำลังหนีไป ท่านทั้งหลายอย่าได้ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้เลย.
[๒๑๔๘] ขณะนั้น ปุปผกสุวโปดก ตัวมีจะงอย ปากแดงงาม ยินดีต้อนรับพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์ไม่ได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้ทรงอิสรภาพเสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ ของสิ่งใดที่มีอยู่ในอาศรมนี้ ขอพระองค์จงทรงเลือกเสวยของสิ่งนั้น
ผลมะพลับ ผล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 129
มะหาด ผลมะซาง ผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้มีรสหวานเล็กน้อย ขอพระองค์จงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ ข้าแต่พระมหาราชา น้ำนี้เย็นนำมาแต่ซอกภูเขา ขอเชิญพระองค์ทรงดื่มถ้าทรงปรารถนา ฤาษีทั้งหลายในอาศรมนี้ พากันไปป่าเพื่อแสวงหาผลาผล เชิญเสด็จลุกขึ้นไปทรงเลือกหยิบเอาเองเถิด เพราะข้าพระองค์ไม่มีมือที่จะทูลถวายได้.
[๒๑๔๙] นกแขกเต้าตัวนี้เจริญดีหนอ ประกอบด้วยคุณธรรมอย่างยิ่ง ส่วนนกแขกเต้าตัวโน้นพูดถ้อยคำหยาบคายว่า จงจับมัดพระราชานี้ฆ่าเสีย อย่าให้รอดชีวิตไปได้เลย เมื่อนกแขกเต้านั้นรำพันเพ้ออยู่อย่างนี้ เราได้มาถึงอาศรมนี้โดยสวัสดี.
[๒๑๕๐] ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมท้องมารดาเดียวกัน ได้เจริญเติบโตที่ต้นไม้เดียวกัน แต่ต่างพลัดกันไปอยู่คนละเขตแดน สัตติคุมพะเจริญอยู่ในสำนักของพวกโจร ส่วนข้าพระองค์เจริญอยู่ในสำนักของฤาษีในอาศรมนี้ สัตติคุมพะนั้น เข้าอยู่ในสำนักของอสัตบุรุษ ข้าพระองค์ อยู่ในสำนักของสัตบุรุษ ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งสองจึงต่างกันโดยธรรม.
[๒๑๕๑] การฆ่าก็ดี การจองจำก็ดี การหลอกลวงด้วยของปลอมก็ดี การหลอกลวงด้วยอาการตรงๆ ก็ดี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 130
การปล้นฆ่าชาวบ้านก็ดี การกระทำกรรมอันแสนสาหัสก็ดี มีอยู่ในที่ใด สัตติคุมพะนั้นย่อมศึกษาสิ่งเหล่านั้นในที่นั้น. ข้าแต่พระองค์ผู้ภารตวงศ์ ในอาศรม ของฤาษีนี้มีแต่สัจจธรรม ความไม่เบียดเบียน ความสำรวม และความฝึกอินทรีย์ ข้าพระองค์เป็นผู้เจริญแล้ว บนตักของฤาษีทั้งหลายผู้มีปกติให้อาสนะ และน้ำ.
[๒๑๕๒] ข้าแต่พระราชา บุคคลคบคนใดๆ เป็นสัตบุรุษ หรืออสัตบุรุษ มีศีล หรือไม่มีศีล เขาย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของบุคคลนั้นนั่นแหละ. บุคคลคบคน เช่นใดเป็นมิตร หรือเข้าไปซ่องเสพคนเช่นใด ก็ย่อมเป็นเช่นคนนั้น เพราะการอยู่ร่วมกันเป็นเช่นนั้น. อาจารย์คบอันเตวาสิกย่อมทำอันเตวาสิกผู้ยังไม่แปดเปื้อนให้แปดเปื้อนได้ อาจารย์ถูกอันเตวาสิกพาแปดเปื้อนแล้ว พาอาจารย์อื่นให้เปื้อนอีก เหมือนลูกศรที่เปื้อนยาพิษแล้ว ย่อมทำแล่งลูกศรให้เปื้อนฉะนั้น. นักปราชญ์ไม่พึงมีสหายลามกเลยทีเดียว เพราะกลัวแต่การแปดเปื้อน ด้วยบาปธรรม นรชนใด ห่อปลาเน่าด้วยใบหญ้าคา แม้ใบหญ้าคาของนรชนนั้น ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไปคบหา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 131
คนพาลก็ฉันนั้นเหมือนกัน. นรชนใดห่อกฤษณาด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของนรชนนั้นก็ย่อมหอมฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไปคบหานักปราชญ์ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น บัณฑิตรู้ความเปลี่ยนแปลงของตน ดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่ควรเข้าไปคบหาพวกอสัตบุรุษ ควรคบหาแต่พวกสัตบุรุษ ด้วยว่าอสัตบุรุษย่อมนำไป สู่นรก สัตบุรุษย่อมพาให้ถึงสุคติ.
จบสัตติคุมพชาดกที่ ๗
อรรถกถาสัตติคุมพชาดก
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารมิคทายวัน ใกล้ถ้ำมัททกุจฉิ ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า พระมหาราชา... เป็นดุจพรานเนื้อ ( มิคลุทฺโท มหาราชา) ดังนี้.
ความย่อว่า เมื่อพระเทวทัตกลิ้งศิลา สะเก็ดศิลาแตกมากระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็เกิดทุกขเวทนาเป็นกำลัง. ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก มาประชุมกันเพื่อเฝ้าเยี่ยมพระตถาคตเจ้า. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นพุทธบริษัทมาประชุมกันแล้ว มีพระดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะนี้คับแคบนัก จักมีการประชุมใหญ่ พวกเธอจงนำเราขึ้นคานหามไปที่ถ้ำมัททกุจฉิเถิด. ภิกษุทั้งหลาย พากันกระทำตามพุทธดำรัส. หมอชีวกโกมารภัจ ได้จัดการรักษาพระบาทของพระตถาคตเจ้าให้ผาสุก. ภิกษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 132
นั่งประชุมสนทนากันในสำนักของพระศาสดาว่า "อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัต แม้ตนเองก็ลามก แม้บริษัทของเธอก็ลามก พระเทวทัตนั้นเป็นคนลามกมีบริวารลามกอยู่อย่างนี้" พระศาสดาตรัสถามว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุม สนทนาอะไรกัน" เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็เป็นคนลามก มีบริวารลามกเหมือนกัน" แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระราชาพระนามว่าปัญจาละ เสวยราชสมบัติอยู่ในอุตตรปัญจาลนคร. กาลนั้น พระมหาสัตว์บังเกิดเป็นลูกพญานกแขกเต้าตัวหนึ่ง สองตัวพี่น้องอยู่ที่สิมพลีวันใกล้สานุบรรพตแห่งหนึ่งในแนวป่า. ก็ในด้านเหนือของภูเขาลูกนั้น มีบ้านโจรเป็นที่อยู่อาศัยของโจร ๕๐๐ คน ในด้านใต้เป็นอาศรมสถานที่อยู่ของหมู่ฤาษี ๕๐๐ ตน. ในกาลเมื่อสุวโปดกสองพี่น้องนั้นกำลังสอนบิน บังเกิดลมหัวด้วนขึ้น สุวโปดกตัวหนึ่งถูกลมพัดไปตกระหว่างกองอาวุธของพวกโจรในโจรคาม. เพราะสุวโปดกตกลงในระหว่างกองอาวุธ พวกโจรจับได้จึงตั้งชื่อว่า "สัตติคุมพะ". ส่วนสุวโปดกตัวหนึ่งลมพัดไปตกในระหว่างกองดอกไม้ ที่เนินทรายใกล้อาศรมพระฤาษี. เพราะสุวโปดกนั้นตกลงในระหว่างกองดอกไม้ พระฤาษีทั้งหลายจึงพากันตั้งชื่อนกนั้นว่า "ปุปผกะ".
สัตติคุมพสุวโปดกเจริญเติบโตในระหว่างพวกโจร. บุปผกสุวโปดกเจริญเติบโตในระหว่างพระฤาษีทั้งหลาย. อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าปัญจาลราชประดับตกแต่งองค์ด้วยเครื่องสรรพาลังการ เสด็จทรงรถพระที่นั่งอันประเสริฐ เสด็จสู่ชายป่าอันเป็นรมณียสถาน มีดอกไม้ผลไม้ผลิดอกออกผลงามดี ณ ที่ ใกล้พระนคร โดยทรงประสงค์จะล่ามฤคพร้อมด้วยบริวารเป็นจำนวนมาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 133
แล้วทรงประกาศว่า "มฤคหนีออกได้โดยด้านข้างของผู้ใด อาชญาจะพึงมีแก่ผู้นั้น" แล้วเสด็จลงจากราชรถ ทรงธนูศรประทับยืนซ่อนพระองค์อยู่ในซุ้มที่ราชบุรุษจัดทำถวาย. เมื่อพวกราชบุรุษพากันตีเคาะที่ละเมาะพุ่มไม้ เพื่อที่จะให้มฤคทั้งหลายลุกขึ้น เนื้อทรายตัวหนึ่งลุกขึ้นแลดูทางที่จะไป เห็นสถานที่ด้านพระราชาประทับยืนอยู่สงัดเงียบ จึงบ่ายหน้าตรงทิศนั้นเผ่นหนีไป. อำมาตย์ทั้งหลายร้องถามกันว่า "มฤคหนีไปทางด้านข้างของใคร" รู้ว่าทางด้านข้างของพระราชาแล้ว พากันทำการยิ้มเยาะพระราชา. พระเจ้าปัญจาลราชทรงกลั้นการเย้ยหยันของเหล่าอำมาตย์ไม่ได้ ด้วยอัสมิมานะ. เสด็จขึ้นสู่รถพระที่นั่งตรัสสั่งว่า "เราจักจับมฤคนั้นให้ได้เดี๋ยวนี้" แล้วตรัสสั่งบังคับนายสารถีว่า "จงขับรถไปโดยเร็ว" เสด็จไปตามทางที่มฤคหนีไป. ราชบริษัทไม่สามารถจะติดตามรถพระที่นั่งซึ่งกำลังวิ่งไปโดยเร็วได้. พระราชาสองคนกับนายสารถีเสด็จไปจนถึงเวลาเที่ยงวันไม่พบเนื้อ จึงเสด็จกลับมา ทอดพระเนตรเห็นลำธารอันเป็นรมณียสถานใกล้โจรคามนั้น แล้วเสด็จลงจากราชรถ ทรงสนานพระองค์ และทรงเสวยแล้วเสด็จขึ้น. ลำดับนั้น นายสารถีจึงเลิกเครื่องปูลาดจากรถ แต่งให้เป็นที่บรรทมภายใต้ร่มไม้. พระราชาทรงบรรทม ณ ที่นั้น. ฝ่ายนายสารถีก็นั่งถวายงานนวดพระบาทยุคลของพระราชาอยู่. พระราชาทรงบรรทมหลับๆ ตื่นๆ ในระยะ ติดๆ กัน. ฝ่ายพวกโจรชาวโจรคามเข้าป่าเพื่อถวายอารักขาพระราชากันหมด. ในโจรคามจึงเหลืออยู่แต่สัตติคุมพสุวโปดก กับบุรุษพ่อครัวชื่อปติโกลุมพะ สองคนเท่านั้น. ขณะนั้น สัตติคุมพสุวโปดกบินออกจากบ้านไปเห็นพระราชา จึงคิดว่า "เราจักฆ่าพระราชาผู้กำลังหลับนี้เสีย เก็บเอาเครื่องประดับไปเสีย" แล้วบินกลับไปยังสำนักของนายปติโกลุมพะ แจ้งเหตุนั้นให้ทราบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 134
พระศาสดาเมื่อจะประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๕ คาถา ความว่า
พระมหาราชา ผู้เป็นจอมแห่งชนชาวปัญจาลรัฐ เป็นดุจนายพรานเนื้อ เสด็จออกมาสู่ป่าพร้อมด้วยเสนา พลัดจากหมู่เสนาไป.
ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นกระท่อมที่เขาทำไว้เป็นที่อาศัยของโจรทั้งหลายในป่านั้น สุวโปดกออกจากกระท่อมนั้นไปแล้ว กลับมาพูดแข็งขันกับพ่อครัวว่า มีบุรุษหนุ่มน้อย มีรถม้าเป็นพาหนะ มีกุณฑลเกลี้ยงเกลาดี มีกรอบหน้าแดง งดงามเหมือนพระอาทิตย์ ส่องแสงสว่างในเวลากลางวัน ฉะนั้น. เมื่อถึงเที่ยงวัน พระราชากำลังบรรทมหลับพร้อมกับนายสารถี (สุวโปดกป่าวร้องว่า) เอาซิพวก เรา จงรีบไปชิงเอาทรัพย์ทั้งหมดของท้าวเธอเสีย เวลานี้ก็เงียบสงัดดุจกลางคืน พระราชากำลังบรรทมหลับ พร้อมกับนายสารถี พวกเราจงไปแย่งเอาผ้าและกุณฑลแก้วมณี แล้วฆ่าเสียเอากิ่งไม้กลบไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ดุจนายพรานเนื้อ ( มิคลุทฺโท) ความว่า พระเจ้าปัญจาลราช มีพระอาการดุจนายพรานเนื้อ เพราะทรงแสวงหาเนื้อเหมือนนายพราน.
บทว่า พลัดจากหมู่เสนา ( โอคโณ) ความว่า ทรงล้าหลัง พลัดไปจากหมู่เสนา.
บทว่า กระท่อมที่เขาทำไว้เป็นที่อาศัยของโจรทั้งหลาย ( ตกฺการานํ กุฏีกตํ) ความว่า พระราชานั้นได้ทอดพระเนตรเห็นหมู่บ้าน ซึ่งเขาทำไว้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกโจรในป่านั้น.
บทว่า นั้น ( ตสฺส) ความว่า ออกจากกระท่อม ของโจรนั้น.
บทว่า พูดแข็งขันกับพ่อครัว ( ลุทฺทานิ ภาสติ) ความว่า นกสุวโปดกกล่าวถ้อยคำ หยาบคายกับพ่อครัวชื่อปติโกลุมพะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 135
บทว่า มีรถม้าเป็นพาหนะ ( สมฺปนฺนวาหโน) ความว่า มีม้าเป็นพาหนะอันสมบูรณ์.
บทว่า มีกรอบหน้าแดง ( โลหิตุณฺหีโส) ความว่า ถึงพร้อมแล้วด้วยกรอบหน้าอันแดง งดงาม.
บทว่า เมื่อถึง ( สมฺปติเก) ได้แก่ บัดเดี๋ยวนี้ คือบัดนี้ ได้แก่ ในเวลาที่พระอาทิตย์ ตั้งอยู่ในท่ามกลาง.
บทว่า จงรีบ (สหสา) ความว่า สุวโปดกกล่าวว่า พวกเรามา ช่วยกันทำอาการข่มขู่ แย่งชิงเอาโดยเร็วพลัน.
บทว่า เวลานี้ก็เงียบสงัดดุจยามค่ำคืน ( นิสฺสิเวปิ รโหทานิ) ความว่า แม้บัดนี้เป็นที่ลับเหมือนค่ำคืน คือ นกสุวโปดกกล่าวคำนี้ว่า ในเวลาค่ำคืน คือในสมัยกึ่งรัตติกาล มนุษย์ทั้งหลายเล่นหัวอยู่ย่อมพากันนอน ย่อมชื่อว่าเป็นที่ลับได้ฉันใด บัดนี้ คือในเวลาที่พระอาทิตย์ตั้งอยู่ในท่ามกลางเห็นปานนี้ ย่อมเป็นฉันนั้นเหมือนกัน.
บทว่า ฆ่า ( หนฺตฺวาน) ความว่า ครั้นพวกเราปลงพระชนม์พระราชา ถือเอาผ้าผ่อนอาภรณ์พรรณแล้ว แต่นั้นจึงฉุดพระบาทท้าวเธอลากมา เอากิ่งไม้ปิดบังหมกไว้ในที่ส่วนข้างหนึ่ง.
สัตติคุมพสุวโปดกนั้น ครั้นบินออกไปโดยเร็วครั้งหนึ่งแล้วก็บินกลับ ไปยังสำนักของนายปติโกลุมพะ อีกครั้งหนึ่งด้วยประการฉะนี้. พ่อครัวปติโกลุมพะ ได้ฟังถ้อยคำของสุวโปดกนั้นแล้ว จึงออกไปดูรู้ว่าเป็นพระราชาแล้ว ก็สะดุ้งตกใจกลัวกล่าวคาถา ความว่า
ดูก่อนสุวโปดกสัตติคุมพะ เจ้าเป็นบ้าไปกระมัง จึงได้พูดอย่างนั้น เพราะว่าพระราชาทั้งหลาย ถึงจะเสด็จมาแต่ไกล ก็ย่อมทรงเดชานุภาพเหมือนดังไฟสว่างไสว ฉะนั้น.
ลำดับนั้น สุวโปดกได้กล่าวตอบพ่อครัวปติโกลุมพะ โดยวจนประพันธ์คาถา ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 136
ดูก่อนปติโกลุมพะ ท่านเมาแล้วย่อมเก่งกาจมาก มิใช่หรือ เมื่อมารดาของเราเปลือยกายอยู่ ไยท่านจึงเกลียดการโจรกรรมเล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อถ ตฺวํ มีความเท่ากับ นนุ ตฺวํ.
บทว่า เมาแล้ว ( มตฺโต) ความว่า เมื่อก่อนท่านได้ดื่มสุราเหลือเดนของพวกโจรเมาแล้ว ย่อมเก่งกาจคุกคามมากมิใช่หรือ สุวโปดกกล่าว.
บทว่า มารดา (มาตรา) สัตติคุมพะโปดกกล่าวว่า หมายเอาภรรยาหัวหน้าโจร. ได้ยินว่า ครั้งนั้นภรรยาหัวหน้าโจรนั้น นุ่งผ้ากรองด้วยกิ่งไม้เที่ยวอยู่.
บทว่า จึงเกลียด ( วิชิคุจฺฉเส) ความว่า เมื่อมารดาของเราเปลือยกายอยู่ บัดนี้ไยท่านจึงรังเกียจการโจรกรรม คือไม่อยากทำโจรกรรมเล่า.
พระเจ้าปัญจาลราชทรงตื่นพระบรรทม ได้ทรงสดับคำของสุวโปดก กล่าวกับพ่อครัว โดยภาษามนุษย์ ทรงดำริว่า "สถานที่นี้มีภัยเฉพาะหน้า" เมื่อจะทรงปลุกนายสารถีให้ลุกขึ้น จึงตรัสพระคาถา ความว่า
ดูก่อนนายสารถี เพื่อนยาก จงลุกขึ้นเทียมรถ เราไม่ชอบใจนก เราจงไปอาศรมอื่นกันเถิด.
ฝ่ายนายสารถีก็ลุกขึ้นโดยด่วน เทียมราชรถแล้ว กล่าวคาถา กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ราชรถได้เทียมแล้ว และม้าราชพาหนะมีกำลัง ก็ได้จัดเทียมแล้ว เชิญพระองค์เสด็จขึ้นประทับเถิด จะได้เสด็จไปยังอาศรมอื่นพระเจ้าข้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ม้าราชพาหนะมีกำลัง ( พลวาหโน) ได้แก่ พาหนะที่มีกำลัง คือม้าที่สมบูรณ์ด้วยกำลังมาก.
บทว่า เชิญพระองค์เสด็จขึ้นประทับเถิด (อธิติฏุฐ) ความว่า ขอเชิญเสด็จขึ้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 137
เมื่อพระเจ้าปัญจาลราชเสด็จขึ้นประทับบนราชรถเท่านั้น ม้าสินธพ ทั้งคู่ก็วิ่งไปโดยเร็วดังลมพัด. สัตติคุมพสุวโปดก เห็นราชรถกำลังวิ่งไป ถึงความเคียดแค้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
พวกโจรภายในอาศรมนี้ พากันไปเสียที่ไหนหมดเล่า พระเจ้าปัญจาลราชนั้นหลุดพ้นไปได้ เพราะพวกโจรเหล่านั้นไม่เห็น ท่านทั้งหลายจงจับเกาทัณฑ์ หอก และโตมร พระเจ้าปัญจาลราชกำลังหนีไป ท่านทั้งหลายอย่าได้ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้เลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนุเม เท่ากับ กุหิํ นุ อิเม แปลว่า โจรในอาศรมนี้ไปไหนเสียหมดเล่าหนอ.
บทว่า นี้ ( อสฺมิํ) ความว่า ในอาศรมนี้.
บทว่า พวกโจร ( ปริจาริกา) ได้แก่ โจรทั้งหลาย.
บทว่า เพราะ... ไม่เห็น ( อทสฺสนา) ความว่า พระเจ้าปัญจาลราชหนีพ้นไปได้ เพราะพวกโจรเหล่านั้นไม่ได้เห็น.
บทว่า นี้กำลังหนีไป ( เอส คจฺฉติ) ความว่า พระเจ้าปัญจาลราชหนีรอดเงื้อมมือพวกโจรเหล่านั้น เสด็จไปได้ เพราะไม่เห็น.
บทว่า ชีวิต ( ชีวิตํ) ความว่า เมื่อพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่าได้ปล่อยไปเสีย ทุกคนจงจับอาวุธ วิ่งตามไปจับพระราชาให้ได้.
เมื่อสัตติคุมสุวโปดกนั้น ร้องพลางบินตามพระราชาไปอยู่อย่างนี้ พระราชาก็เสด็จถึงอาศรมของฤาษีทั้งหลาย. ขณะนั้นหมู่ฤาษีไปแสวงหาผลาผล มี ปุปผกสุวโปดก ตัวเดียวเท่านั้นอยู่ในอาศรม. มันเห็นพระราชาแล้ว บินออกมารับเสด็จ ได้ทำการปฏิสันถาร.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๔ คาถา ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 138
ขณะนั้น ปุปผกสุวโปดก ตัวมีจะงอยปากแดงงาม ยินดีต้อนรับพระราชาว่า ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง พระองค์มิได้เสด็จมาร้าย พระองค์ผู้ทรงอิสรภาพ เสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ ของสิ่งใดมีอยู่ในอาศรมนี้ ขอพระองค์ทรงเลือกเสวยของสิ่งนั้น ผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง ผลหมากเม่า อันเป็นผลไม้มีรสหวานเล็กน้อย ขอพระองค์จงเลือกเสวยแต่ที่ดีๆ ข้าแต่พระมหาราชา น้ำนี้เย็นนำมาแต่ซอกภูเขา ขอเชิญพระองค์ทรงดื่มถ้าทรงปรารถนา. ฤาษีทั้งหลายในอาศรมนี้พากันไปป่า เพื่อแสวงหาผลาผล เชิญพระองค์เสด็จลุกขึ้นไปทรงเลือกหยิบเอาเองเถิด เพราะข้าพระองค์ไม่มีมือจะทูลถวายได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยินดีต้อนรับ ( ปฏินนฺทิตฺถ) ความว่า พอเห็นพระราชา แล้ว ก็ชื่นชมยินดี.
บทว่า มีจะงอยปากแดงงาม (โลหิตตุณฺฑโก) แปลว่า มีจะงอยปากแดง คือถึงส่วนแห่งความงาม.
บทว่า มีรสหวาน ( มธุเก) ได้แก่ ผลาผลที่มีรสหวาน.
บทว่า ผลหมากเม่า (กาสมาริโย) ความว่า ขอพระองค์โปรดเสวยผลมะพลับ ผลมะหาด ผลมะซาง และผลหมากเน่า ซึ่งมีชื่ออย่างนี้ๆ.
บทว่า ทรงดื่ม... นั้น (ตโต ปิว) ความว่า โปรดทรงดื่มน้ำ จากโรงน้ำดื่มนั้นเถิด.
บทว่า ฤๅษีทั้งหลายในอาศรมนี้ใด ( เย อสฺมิํ ปริจาริกา) ความว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พระฤาษี เหล่าใดเที่ยวไปอยู่ในอาศรมนี้ พระฤาษีเหล่านั้นไปสู่ป่าเพื่อแสวงหาผลาผล.
บทว่า ทรงเลือกหยิบเอาเอง ( คณฺหวโห) ความว่า พระองค์โปรดหยิบเอาผลาผลน้อยใหญ่.
บทว่า ทูลถวาย ( ทาตเว) แปลว่า เพื่อจัดถวาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 139
พระราชาทรงเลื่อมใสในการปฏิสันถารของปุปผกสุวโปดก เมื่อจะทรงทำการชมเชย จึงตรัสพระคาถา ๒ คาถา ความว่า
นกแขกเต้าตัวนี้เจริญดีหนอ ประกอบด้วยคุณธรรมอย่างยิ่ง ส่วนนกแขกเต้าตัวโน้นพูดคำหยาบคายว่า จงจับมัดพระราชานี้ฆ่าเสียอย่าให้รอดชีวิตไปได้เลย เมื่อนกแขกเต้าตัวนั้น รำพันเพ้ออยู่อย่างนี้ เราได้มาถึงอาศรมนี้ โดยสวัสดี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตัวโน้น ( อิตโร) ได้แก่ นกแขกเต้าในบ้านโจร.
บทว่า อย่างนี้ ( อิจฺเจวํ) ความว่า ส่วนเรา เมื่อนกแขกเต้าตัวนั้นเพ้อรำพันอยู่อย่างนี้ มาถึงอาศรมนี้แล้วโดยสวัสดี.
ปุปผกสุวโปดก ฟังพระดำรัสของพระราชาแล้ว ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ได้เจริญเติบโตที่ต้นไม้เดียวกัน แต่ต่างพลัดกันไปอยู่คนละเขตแดน สัตติคุมพะเจริญอยู่ในสำนักของพวกโจร ส่วนข้าพระองค์ เจริญอยู่ในสำนักของฤๅษีในอาศรมนี้ สัตติคุมพะนั้น เข้าอยู่ในสำนักของอสัตบุรุษ ข้าพระองค์อยู่ในสำนักของสัตบุรุษ ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งสองจึงต่างกันโดยธรรม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เป็นพี่น้องกัน ( ภาตโรสฺมา) ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า สัตติคุมพะนั้น กับข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน.
บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 140
ของพวกโจร (โจรานํ) ความว่า สัตติคุมพะนั้น เจริญในสำนักพวกโจร ข้าพระพุทธเจ้า เจริญในสำนักพวกฤๅษี.
บทว่า สัตติคุมพะนั้นเข้ามาอยู่ในสำนักของอสัตตบุรุษ ข้าพระองค์อยู่ในสำนักของสัตตบุรุษ ( อสตํ โส สตํ อหํ) ความว่า สัตติคุมพะเข้าอยู่สำนักอสัตบุรุษผู้ทุศีล ข้าพระพุทธเจ้าเข้าอยู่สำนักสัตบุรุษผู้มีศีล.
บทว่า ฉะนั้นข้าพระองค์ทั้งสองจึงต่างกันโดยธรรม ( เตน ธมฺเมน โน วินา) ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า โจรทั้งหลายแนะนำสั่งสอนสัตติคุมพะนั้นด้วยธรรมของโจร และกิริยาโจร พระฤๅษี ทั้งหลายแนะนำสั่งสอนข้าพระพุทธเจ้าด้วยธรรมของฤๅษี และอาจาระมรรยาท ของฤๅษี เพราะเหตุนั้น แม้สัตติคุมพะนั้นจึงแตกต่างจากข้าพระพุทธเจ้า โดยโจรธรรมนั้น ส่วนข้าพระพุทธเจ้า ก็แตกต่างจากเขาโดยอิสิธรรม .
บัดนี้ ปุปผกสุวโปดก เมื่อจะจำแนกธรรมนั้น จึงกล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า
การฆ่าก็ดี การจองจำก็ดี การหลอกลวงด้วยของปลอมก็ดี การหลอกลวงด้วยอาการตรงๆ ก็ดี การปล้นฆ่าชาวบ้านก็ดี การกระทำกรรมอันแสนสาหัสก็ดี มีอยู่ในที่ใด สัตติคุมพะนั้นย่อมศึกษาสิ่งเหล่านั้นในที่นั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ภารตวงศ์ ในอาศรมของฤๅษีนี้มีแต่สัจจะ ธรรมะ ความไม่เบียดเบียน ความสำรวม และความฝึกอินทรีย์ ข้าพระองค์เป็นผู้เจริญแล้วบนตักของฤๅษีทั้งหลาย ผู้มีปกติให้อาสนะและน้ำ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า การหลอกลวงด้วยของปลอม ( นิกตี) ได้แก่ การหลอกลวงต้มตุ๋นด้วยของปลอม.
บทว่า การหลอกลวงด้วยอาการตรงๆ ( วญฺจนานิ) ได้แก่ การหลอกลวงกันตรงๆ (ซึ่งๆ หน้า).
บทว่า การปล้นฆ่าชาวบ้าน ( อาโลปา) ได้แก่ การปล้นฆ่าชาวบ้านในเวลากลางวัน.
บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 141
การกระทำกรรมอันแสนสาหัส (สหสาการา) ได้แก่ การเข้าไปสู่เรือนแล้วจับเจ้าทรัพย์ ทำให้บอบช้ำแสนสาหัส โดยคุกคามขู่เข็ญด้วยความตาย.
บทว่า สัจจะ (สจฺจํ) ได้แก่ สภาวธรรม.
บทว่า ธรรมะ (ธมฺโม) ได้แก่ สุจริตธรรม.
บทว่า ความไม่เบียดเบียน (อหิํสา) ได้แก่ ความไม่เบียดเบียน มีเมตตาธรรมเป็นบุรพภาค.
บทว่า ความสำรวม ( สํยโม) ได้แก่ ความสำรวมระวังในศีล.
บทว่า ความฝึก (ทโม) ได้แก่ การฝึกฝนอินทรีย์.
บทว่า ผู้มีปกติให้อาสนะ และน้ำ ( อาสนูทกทายีนํ) ความว่า แห่งพระฤๅษีทั้งหลายผู้มีปกติ ให้อาสนะและอุทกวารี แก่ชนทั้งหลายผู้มาถึงเฉพาะหน้า. ปุปผกสุวโปดก เรียกพระราชาว่า " ภารตะ ".
บัดนี้ เมื่อปุปผกสุวโปดก จะแสดงธรรมแก่พระราชาสืบไป ได้กล่าว คาถาเหล่านี้ ความว่า
ข้าแต่พระราชา บุคคลคบคนใดๆ เป็นสัตบุรุษ อสัตบุรุษ มีศีล หรือไม่มีศีล บุคคลนั้นย่อมไปสู่อำนาจ ของบุคคลนั้นนั่นแล บุคคลคบคนเช่นใดเป็นมิตร หรือ เข้าไปซ่องเสพคนเช่นใด ก็ย่อมเป็นเช่นคนนั้น เพราะการอยู่ร่วมกันเป็นเช่นนั้น อาจารย์คบอันเตวาสิกย่อมทำอันเตวาสิกผู้ยังไม่แปดเปื้อนให้แปดเปื้อนได้ อาจารย์ถูกอันเตวาสิกพาแปดเปื้อนแล้ว ย่อมพาอาจารย์อื่นให้เปื้อนอีก เหมือนลูกศรที่เปื้อนยาพิษแล้ว ย่อมทำแล่งลูกศรให้เปื้อนฉะนั้น นักปราชญ์ไม่พึงมีสหายลามกเลยทีเดียว เพราะกลัวแต่การแปดเปื้อนด้วยบาปธรรม นรชนใดห่อปลาเน่าด้วยใบหญ้าคา แม้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 142
ใบหญ้าคาของนรชนนั้น ก็ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไปเสพคนพาลก็ฉันนั้นเหมือนกัน. นรชนใด ห่อกฤษณาด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของนรชนนั้น ก็ย่อม หอมฟุ้งไปฉันใด การเข้าไปเสพนักปราชญ์ก็ฉันนั้น เหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น บัณฑิตรู้ความเปลี่ยนแปลงของตนดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่ควรเข้าไปเสพอสัตบุรุษ ควรเสพแต่สัตบุรุษ ด้วยว่า อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมพาให้ถึงสุคติ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เป็นสัตตบุรุษหรืออสัตตบุรุษ ( สนฺตํ วา ยทิ วา อสํ) ความว่า จะเป็นสัตบุรุษ หรืออสัตบุรุษก็ตาม.
บทว่า คบอันเตวาสิก ( เสวมาโน เสวมานํ) ความว่า เมื่ออาจารย์คบหาอันเตวาสิก ย่อมทำอันเตวาสิกผู้ที่ตนคบ.
บทว่า แปดเปื้อนได้ ( สมฺผุฏฺโ) ความว่า อาจารย์ถูกอันเตวาสิกพาแปดเปื้อนแล้ว.
บทว่า พาอาจารย์อื่นให้เปื้อน ( สมฺผุสํ ปรํ) ความว่า อันเตวาสิกไปแตะต้องอาจารย์คนอื่นเข้า.
บทว่า ไม่แปดเปื้อน ( อลิตฺตํ) ความว่า อาจารย์นั้นย่อมทำอันเตวาสิกนั้น ผู้ยังไม่แปดเปื้อนด้วยบาปธรรมให้แปดเปื้อนได้ เหมือนลูกศรที่เปื้อนยาพิษแล้ว ย่อมทำแล่งลูกศรที่เหลือให้แปดเปื้อน ฉะนั้น.
บทว่า การเข้าไปคบหาคนพาลก็ฉันนั้น ( เอวํ พาลูปเสวนา) ความว่า แท้จริง ผู้ชอบคบหาคนพาล แม้จะไม่ได้กระทำความชั่วเลย ย่อมได้รับคำติเตียน และความเสื่อมเสียชื่อเสียง เหมือนห่อปลาเน่าไว้ด้วยใบหญ้าคา (ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป) ฉะนั้น.
บทว่า การเข้าไปคบหานักปราชญ์ ( ธีรูปเสวนา) ความว่า บุคคลผู้คบหาธีรชนก็ย่อมเป็นเหมือนใบไม้อันห่อคันธชาติ มีกฤษณาเป็นต้นฉะนั้น ถึงยังไม่อาจเป็นบัณฑิตได้ ก็ยังได้รับเกียรติคุณว่า คบกัลยาณมิตร.
บทว่า ดุจห่อใบไม้แล้ว ( ปตฺตปูฏสฺเสว) ความว่า เหมือนดังใบไม้ที่ห่อของมีกลิ่นเหม็นและกลิ่นหอมฉะนั้น.
บทว่า ความเปลี่ยนแปลงของคน ( สมฺปากมตฺตโน) ความว่า บัณฑิตรู้ความที่ญาณของตนแก่กล้า คือสุกงอมแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 143
ด้วยอำนาจการเกี่ยวข้องกับกัลยาณมิตร.
บทว่า ย่อมพาให้ถึงสุคติ ( ปาเปนฺติ สุคติํ) ความว่า ปุปผกสุวโปดกนั้น ยังเทศนาให้ถึงอนุสนธิตามลำดับว่า สัตบุรุษคือสัมมาทิฏฐิ บุคคลทั้งหลายย่อมยังหมู่สัตว์ที่อาศัยตนให้ถึงสวรรค์อย่างเดียวด้วยประการฉะนี้.
พระเจ้าปัญจาลราชทรงเลื่อมใส ในธรรมกถาของปุปผกสุวโปดกนั้น. ฝ่ายหมู่พระฤๅษีกลับมาจากป่า. พระราชาทรงนมัสการพระฤๅษีทั้งหลายแล้ว ตรัสว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้าทั้งหลายจะอนุเคราะห์ข้าพเจ้า โปรดพากันไปอยู่ในสถานที่อยู่ของข้าพเจ้าเถิด" ทรงรับปฏิญญาของฤๅษีทั้งหลายเหล่านั้นแล้วเสด็จไปพระนคร ได้พระราชทานอภัยแก่สุวโปดก ทั้งหลาย. ฝ่ายพวกฤๅษี ก็ได้พากันไปในพระนครนั้น พระราชาทรงนิมนต์ หมู่พระฤๅษีให้อยู่ในพระราชอุทยาน ทรงอุปัฏฐากบำรุงตลอดพระชนมายุ แล้วเสด็จสู่สวรรคาลัย. ฝ่ายพระราชโอรสของท้าวเธอโปรดให้ยกเศวตฉัตรเสวยราชสมบัติสืบต่อมา ทรงปฏิบัติหมู่พระฤๅษีเสมือนพระราชบิดา. ในราชสกุลต่อมานั้น ได้ยังทานให้เป็นไปแก่หมู่พระฤๅษีติดต่อกันชั่วพระราชาเจ็ดพระองค์. พระมหาสัตว์เมื่ออยู่ในอรัญประเทศตามสมควร ก็ไปตามยถากรรมของตน.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อนพระเทวทัตก็เป็นคนลามก มีบริวารลามก เหมือนกันอย่างนี้" แล้วทรงประชุมชาดกว่า สัตติคุมพสุวโปดก ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตนี้ โจรทั้งหลายได้มาเป็นบริษัทบริวารของพระเทวทัต พระราชาได้มาเป็นพระอานนท์ หมู่แห่งฤๅษีได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วน ปุปผกสุวโปดกได้มาเป็นเราผู้ตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสัตติคุมพชาดก

