๑๑. มหาปโลภนชาดก ว่าด้วยหญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์
[เล่มที่ 61] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 219
๑๑. มหาปโลภนชาดก
ว่าด้วยหญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 61]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 219
๑๑. มหาปโลภนชาดก
ว่าด้วยหญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์
[๒๒๐๘] เทพบุตรผู้มีฤทธิ์มากจุติจากพรหมโลกแล้วมาเกิดเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ผู้ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ อันเพียบพร้อมด้วยสรรพกาม. ความใคร่ก็ดี ความสำคัญในกามก็ดี ไม่มีในพรหมโลกเลย พระราชกุมารนั้นจึงทรงรังเกียจกามทั้งหลายด้วยฌานสัญญาอันบังเกิดในพรหมโลกนั้นเอง.
พระราชบิดา ตรัสสั่งให้สร้างฌานาคาร (เรือนสำหรับบำเพ็ญฌาน) ไว้ในภายในพระราชฐาน สำหรับพระราชกุมารนั้นทรงหลีกเร้น บำเพ็ญฌานในอาคารนั้น เพียงพระองค์เดียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 220
พระเจ้ากาสิกราช ทรงอัดอั้นตันพระทัย ด้วยความเศร้าโศกถึงพระโอรส ทรงปริเทวนาการว่า โอรสคนเดียวของเรานี้ไม่ยินดีเสวยกามารมณ์เสียเลย.
อุบายในข้อนี้ มีอยู่อย่างไรหนอ ผู้ใดพึงประเล้าประโลมโอรสของเรา ให้เธอปรารถนากามได้ หรือว่าผู้นั้นใครเล่าจะรู้เหตุที่จะให้โอรสของเราพัวพันในกามได้.
[๒๒๐๙] ภายในพระราชฐานนั่นเองมีกุมารีคนหนึ่ง มีฉวีวรรณงดงาม รูปสวย ฉลาดในการฟ้อนรำ ขับร้อง และชำนาญในการดีดสีตีเป่า นางเข้าไปในพระราชฐานนั้นแล้ว กราบทูลความนี้กะพระราชาว่า เกล้ากระหม่อมฉันนี้แล จะพึงประเล้าประโลมพระราชกุมารนั้นได้ ถ้าหากพระราชกุมารนั้นจักได้เป็นพระภัสดาของกระหม่อมฉัน.
[๒๒๑๐] พระราชาจึงตรัสกะนางกุมาริกา ผู้กล่าวยืนยันเช่นนั้นว่า เธอจงประเล้าประโลมลูกของเรา ลูกของเราจักเป็นสามีของเจ้า.
[๒๒๑๑] นางกุมารีนั้นเข้าไปในพระราชฐานแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาไพเราะจับจิตจับใจ ยั่วยวน ชวนให้รักใคร่ เปลี่ยนแปลงขับลำนำ ประกอบไป ด้วยกามารมณ์มากมายหลายอย่าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 221
[๒๒๑๒] กามฉันทะบังเกิดแก่พระราชกุมารนั้น เพราะได้ทรงสดับเสียงของนางกุมารีผู้ขับกล่อมอยู่ พระราชกุมารจึงตรัสถามคนใกล้เคียงว่า โอ นั่นเสียงใครหรือ ใครมาขับร้องเสียงสูงต่ำ ไพเราะจับใจ น่ารักนักหนา ไพเราะหูเรานัก.
[๒๒๑๓] (พวกพระพี่เลี้ยงจึงกราบทูลว่า) ขอเดชะ เสียงนี้น่ายินดี น่าสนุกสนานมิใช่น้อย ถ้าพระองค์พึงบริโภคกามคุณไซร้ กามทั้งหลายจะพึงเป็นที่โปรดปรานพระทัยของพระองค์อย่างยิ่ง.
[๒๒๑๔] (พระราชกุมารรับสั่งว่า) เชิญมาภายในนี้ จงมาขับร้องใกล้ๆ เรา เลื่อนเข้ามาขับร้องใกล้ตำหนักเรา จงขับกล่อมใกล้ที่บรรทมของเรา.
[๒๒๑๕] นางกุมารีนั้นเข้าไปขับกล่อมภายนอกฝาห้องบรรทม แล้วเลื่อนเข้าไป ณ ตำหนัก ฌานาคารโดยลำดับ จนผูกพระราชกุมารไว้ได้เหมือนนายหัตถาจารย์จับคชสารป่ามัดไว้ ฉะนั้น.
[๒๒๑๖] เพราะรู้กามรสโลกีย์แห่งนางกุมารีนั้น พระราชกุมารจึงเกิดความปรารถนาเป็นอธรรมว่า เราเท่านั้นพึงได้บริโภคกาม อย่าได้มีบุรุษอื่นเลย ต่อแต่นั้น พระราชกุมารทรงถือดาบเล่มหนึ่งแล้ว เสด็จไปเพื่อจะฆ่าบุรุษทั้งหลายเสีย ด้วยทรงดำริว่า เราจักบริโภคกามแต่ผู้เดียวอย่าพึงมีบุรุษอื่นอยู่เลย.
[๒๒๑๗] ต่อแต่นั้น ชาวชนบททั้งปวงจึงมา ประชุมกัน ถวายเรื่องราวร้องทุกข์ว่า ข้าแต่พระ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 222
มหาราชา พระโอรสของพระองค์นี้ ทรงเบียดเบียนผู้หาโทษมิได้ พระเจ้าข้า.
[๒๒๑๘] พระเจ้ากาสีบรมกษัตริย์ทรงเนรเทศพระราชกุมารออกไปจากรัฐสีมาของพระองค์แล้ว มีพระราชโองการว่า อาณาเขตของเรามีอยู่เพียงใด เจ้าอย่าอยู่ในอาณาเขตของเราเพียงนั้น เป็นอันขาด.
[๒๒๑๙] ครั้งนั้นพระราชกุมารทรงพาพระชายาไป จนบรรลุถึงสมุทรนทีแห่งหนึ่ง ทรงสร้างบรรณศาลาแล้ว จึงเสด็จเข้าไปสู่ป่าเพื่อแสวงหาผลาผล.
[๒๒๒๐] ครั้งนั้นมีฤๅษีตนหนึ่ง มาถึงบรรณศาลานั้น โดยทางเบื้องบนสมุทร เข้าไปยังศาลาของพระราชกุมารในเวลาที่นางกุมารีจัดแจงอาหารไว้แล้ว.
[๒๒๒๑] ชายาของพระราชกุมารประเล้าประโลมพระฤๅษีนั้น ดูเถิดกรรมที่นางกุมารีทํานั้นหยาบช้าเพียงไร ฤๅษีนั้นเคลื่อนจากพรหมจรรย์ เสื่อมจากฤทธิ์.
[๒๒๒๒] ฝ่ายพระราชโอรสแสวงหาผลาผล ในป่าได้จำนวนมากแล้ว ครั้นถึงเวลาเย็นจึงใส่หาบขนเข้าไปสู่อาศรม.
[๒๒๒๓] ฝ่ายพระฤๅษี พอเห็นขัตติยราชกุมารจึงรีบเข้าไปยังฝั่งสมุทร ด้วยตั้งใจว่า เราจักไปทางเวหาส แต่ต้องจมลงในมหรรณพนั่นเอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 223
[๒๒๒๔] ฝ่ายขัตติยราชกุมาร ได้ทอดพระเนตร เห็นพระฤๅษีจมลงไปในมหรรณพ จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ด้วยความอนุเคราะห์ต่อพระฤๅษีนั้น ความว่า
[๒๒๒๕] ตัวท่านเองมาด้วยฤทธิ์บนน้ำอันไม่แตกแยก ครั้นถึงความระคนด้วยสตรีแล้วต้องจมลงในมหรรณพ ธรรมดาสตรีมีปกติหมุนเวียน มีมายามาก มักทำพรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมทำนักพรตให้จมลง ท่านรู้แจ้งฉะนี้แล้วพึงเว้นเสียให้ห่างไกล สตรีทั้งหลายมีวาจาไพเราะ เจรจานุ่มนวล ถมไม่รู้จักเต็มเหมือนกับนทีธาร ย่อมยังนักพรตให้จมลง ท่านรู้แจ้งฉะนี้แล้วพึงเว้นเสียให้ห่างไกล สตรีทั้งหลายย่อมเข้าไปซ่องเสพบุรุษใดด้วยความพอใจ หรือด้วยทรัพย์ก็ตาม ย่อมพลันตามเผาผลาญบุรุษนั้น เหมือนไฟป่าเผาสถานที่ตนเอง ฉะนั้น.
[๒๒๒๖] ความเบื่อหน่ายได้เกิดมีแก่ฤๅษี เพราะได้ฟังถ้อยคำของขัตติยราชกุมาร ฤๅษีนั้นกลับได้ทางอันมีมาก่อน แล้วเหาะขึ้นไปยังเวหาส.
[๒๒๒๗] ฝ่ายขัตติยราชกุมารผู้ทรงพระปรีชา ได้ทอดพระเนตรเห็นพระฤๅษีกำลังเหาะไปยังเวหาส จึงได้ความสลดจิต น้อมพระทัยสู่การบรรพชา ต่อแต่นั้น ขัตติยราชกุมารก็ทรงบรรพชา สำรอกกามราคะแล้วได้เข้าถึงพรหมโลก.
จบมหาปโลภนชาดกที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 224
อรรถกถามหาปโลภชาดก
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภ มาตุคามทำสัตว์ผู้บริสุทธิ์ให้เศร้าหมอง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า จุติจากพรหมโลกแล้ว (พฺรหฺมโลกา จวิตฺวาน) ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน ข้าพเจ้ากล่าวไว้พิสดารแล้วในหนหลัง. ก็ในชาดกนี้ พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่ามาตุคามนี้ ย่อมกระทำสัตว์ผู้บริสุทธิ์ให้เศร้าหมองได้" ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
เรื่องอดีตนิทาน บัณฑิตพึงให้พิสดารตามนัยที่กล่าวแล้ว ในจุลลปโลภนชาดกว่า อตีเต พาราณสิยํ เป็นต้น. ก็ในครั้งนั้น พระมหาสัตว์เจ้า จุติจากพรหมโลก มาบัง เกิดเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสิกราช ทรงพระนามว่า อนิตถิคันธกุมาร. พระกุมารไม่ยอมอยู่ในมือของสตรีเลย. สตรีที่จะให้พระกุมารดื่มน้ำนมต้อง แปลงเป็นบุรุษเพศ พระราชกุมารโปรดประทับในฌานาคาร ไม่อยากพบเห็นสตรีเพศ.
พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๔ คาถา ความว่า
เทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก จุติจากพรหมโลกแล้ว มาเกิดเป็นพระโอรสของพระเจ้ากาสี ผู้ทรงดำรงอยู่ในราชสมบัติ อันเพียบพร้อมด้วยสรรพกาม.
ความใคร่ก็ดี ความสำคัญในกามก็ดี ไม่มีในพรหมโลกเลย พระราชกุมารนั้นจึงทรงรังเกียจกาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 225
ทั้งหลาย ด้วยฌานสัญญาอันบังเกิดในพรหมโลกนั้นเอง.
พระราชบิดาตรัสสั่งให้สร้างฌานาคารไว้ภายในพระราชฐานสำหรับพระราชกุมารนั้นทรงหลีกเร้น บำเพ็ญฌานในอาคารนั้นเพียงพระองค์เดียว.
พระเจ้ากาสิกราช ทรงอัดอั้นตันพระทัย ด้วยความเศร้าโศกถึงพระโอรส ทรงปริเทวนาการว่า โอรสคนเดียวของเรานี้ ไม่ยินดีเสวยกามารมณ์เสียเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อันเพียบพร้อมด้วยสรรพกาม (สพฺพกามสมิทฺธิสุ) ความว่า ก็เทพบุตรองค์หนึ่ง บังเกิดเป็นพระโอรสของพระราชา ผู้ดำรงอยู่ในราชสมบัติอันมั่งคั่ง บริบูรณ์ด้วยสรรพกามารมณ์.
บทว่า พระราชกุมารนั้น (สฺวาสฺสุ) ความว่า พระราชกุมารนั้น.
บทว่า นั้นเอง (ตาเยว) ความว่า ด้วยฌานสัญญาอันบังเกิดแล้วในพรหมโลกนั้นเอง.
บทว่า สร้าง (สุมาปิตํ) ความว่า พระราชบิดาทรงสร้างฌานาคารไว้อย่างน่าพึงใจยิ่ง.
บทว่า ทรงหลีกเร้นบำเพ็ญฌาน (รหสิ ฌายถ) ความว่า พระกุมารหาได้สนพระทัยมองดูมาตุคามไม่.
บทว่า ทรงปริเทวนาการ (ปริเทเวสิ) ความว่า ทรงบ่นพร่ำเพ้อ.
คาถาที่ ๕ เป็นคาถาแสดงความปริเทวนาการของพระราชา ความว่า
อุบายในข้อนี้มีอยู่อย่างไรหนอ ผู้ใดพึงประเล้าประโลมโอรสของเราให้เธอปรารถนากามได้ หรือว่า ผู้นั้นใครเล่าจะรู้เหตุที่จะให้โอรสของเราพัวพันในกามได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุบายข้อนี้มีอยู่อย่างไรหนอ (โก นุ โขตฺถ อุปาโย โส) ความว่า ในเรื่องนี้ จะมีอุบายให้โอรสของเราเสวยกามสมบัติได้อย่างไรหนอ. ปาฐะว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 226
โก นุโข อิธูปาโย โส (อุบายในข้อนี้ มีอยู่อย่างไรหนอ) ดังนี้ก็มี แต่ใน อรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า โก นุโข ตํ อุปวสิตฺวา อุปลาปนการณํ ชานาติ ความว่า ใครเล่าหนอที่จะเข้าไปรู้เหตุที่ทำให้ลูกของเราเข้าไปพัวพัน อยู่ในกามได้.
บทว่า หรือว่าผู้นั้นใครเล่าจะรู้เหตุที่ทำให้โอรสของเราพัวพัน (โก วา ชานาติ กิญฺจนํ) ความว่า หรือว่าใครจะรู้เหตุให้โอรสของเรานี้หมกมุ่นในกามได้.
เบื้องหน้าต่อไปนี้ เป็นอภิสัมพุทธคาถาอันพระศาสดาตรัสไว้ พระคาถากึ่ง ความว่า
ภายในพระราชฐานนั้นเอง มีกุมารีคนหนึ่ง มีฉวีวรรณงดงาม รูปสวย ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง และชำนาญในการดีดสีตีเป่า นางเข้าไปในพระราชฐานนั้นแล้ว กราบทูลความนี้กะพระราชา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มี (อหุ) ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในภายในพระราชฐานนั่นเอง มีดรุณกุมารีนางหนึ่ง ในจำนวนจูฬนาฏนารีทั้งหลาย.
บทว่า ชำนาญ (ปทกฺขิณา) ความว่า ได้รับการฝึกจนชำนาญ.
นางกุมาริกา กล่าวคาถากึ่งคาถาทูลพระราชา ความว่า
เกล้ากระหม่อมฉันนี้แล จะพึงประเล้าประโลมพระราชกุมารนั้นได้ ถ้าหากพระราชกุมารนั้นจักได้เป็นพระภัสดาของกระหม่อมฉัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถ้า ... เป็นพระภัสดา (สเจ ภตฺตา) ความว่า ถ้าพระราชกุมารนั้น จักเป็นพระภัสดาของหม่อมฉัน.
พระราชาจึงตรัสกะนางกุมาริกา ผู้กล่าวยืนยัน เช่นนั้นว่า เธอจงประเล้าประโลมลูกของเรา ลูกของ เราจักเป็นสามีของเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 227
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เป็นสามีของเจ้า (ตว ภตฺตา) ความว่า โอรสของเรานี้จักเป็นสามีของเจ้า และตัวเจ้าก็จักได้เป็นอัครมเหสีแห่งโอรสของเราทีเดียว ไปเถิด เจ้าจงประเล้าประโลมล่อพระโอรสให้ทราบซึ้งกามรส.
ครั้นพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงส่งนางกุมาริกานั้นไปมอบแก่ชาวพนักงานผู้อภิบาลบำรุงพระกุมาร โดยพระราชโองการว่า เจ้าพนักงานผู้อภิบาลทั้งหลาย จงเปิดโอกาสแก่นางกุมาริกานี้เถิด. ในเวลาใกล้รุ่ง นางกุมาริกาถือพิณไปยืนอยู่ภายนอกใกล้ห้องบรรทมของพระกุมาร แล้วเอาปลายเล็บดีดพิณ ขับกล่อมคลอไปด้วยเสียงอันไพเราะประโลมล่อพระกุมารนั้น.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัส (พระคาถาทั้งหลาย) ว่า
นางกุมารีนั้นได้เข้าไปภายในพระราชฐานแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาไพเราะ จับจิตใจ ยั่วยวนชวนให้รักใคร่ เปลี่ยนแปลงขับลำนำ ประกอบไปด้วยกามารมณ์มากมายหลายอย่าง.
กามฉันทะบังเกิดแก่พระราชกุมารนั้น เพราะได้ทรงสดับเสียงของนางกุมารีผู้ขับกล่อมอยู่ พระราชกุมารจึงตรัสถามคนที่อยู่ใกล้เคียงว่า โอ นั่นเสียงใคร หรือใครมาขับร้องเสียงสูงต่ำไพเราะจับใจน่ารักนักหนา ไพเราะหูของเรานัก.
(พวกพระพี่เลี้ยงจึงกราบทูลว่า) ขอเดชะ เสียงนี้น่ายินดี น่าสนุกสนานมิใช่น้อย ถ้าพระองค์พึงบริโภคกามคุณไซร้ กามทั้งหลายจะพึงเป็นที่โปรดปรานพอพระทัยของพระองค์อย่างยิ่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 228
(พระราชกุมารรับสั่งว่า) เชิญมาภายในนี้ จงมาขับร้องใกล้ๆ เรา เลื่อนเข้ามาขับใกล้ตำหนักของเรา จงขับกล่อมใกล้ที่บรรทมของเรา.
นางกุมารีนั้น เข้าไปขับกล่อมภายนอกฝาห้องบรรทม แล้วเลื่อนเข้าไป ณ ตำหนักฌานาคารโดยลำดับ จนผูกพระราชกุมารไว้ได้เหมือนนายหัตถาจารย์จับคชสารป่ามัดไว้ฉะนั้น.
เพราะรู้กามรสโลกีย์แห่งนางกุมารีนั้น พระราชกุมารจึงเกิดความปรารถนาเป็นอธรรมว่า เราเท่านั้นพึงได้บริโภคกาม อย่าได้มีบุรุษอื่นเลย ต่อแต่นั้นพระราชกุมารทรงถือดาบเล่มหนึ่งแล้วเสด็จไปเพื่อจะฆ่าบุรุษทั้งหลายเสีย ด้วยทรงดำริว่า เราจักบริโภคกามแต่เพียงผู้เดียวอย่าพึงมีบุรุษอื่นอยู่เลย.
ต่อแต่นั้น ชาวชนบททั้งปวงจึงมาประชุมกันถวายเรื่องราวร้องทุกข์ว่า ข้าแต่พระมหาราชาพระราชโอรสของพระองค์นี้ทรงเบียดเบียนผู้หาโทษมิได้พระเจ้าข้า.
พระเจ้ากาสีบรมกษัตริย์ ทรงเนรเทศพระราชกุมารออกไปจากรัฐสีมาของพระองค์แล้ว มีพระราชโองการว่า อาณาเขตของเรามีอยู่เพียงใด เจ้าอย่าอยู่ในอาณาเขตของเราเพียงนั้นเป็นอันขาด.
ครั้งนั้น พระราชกุมารทรงพาพระชายาไปจนบรรลุถึงสมุทรนทีแห่งหนึ่ง ทรงสร้างบรรณศาลาแล้ว จึงเสด็จเข้าไปสู่ป่าเพื่อแสวงหาผลาผล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 229
ครั้งนั้น มีฤๅษีตนหนึ่งมาถึงบรรณศาลานั้นโดยทางเบื้องบนสมุทร เข้าไปยังบรรณศาลาของพระราชกุมารในเวลาที่นางกุมารจัดแจงภัตตาหารไว้แล้ว.
ชายาของพระราชกุมารประเล้าประโลมฤๅษีนั้น ดูเถิด กรรมที่นางกุมารีทำนั้นหยาบช้าเพียงไร ฤๅษีนั้นเคลื่อนจากพรหมจรรย์เสื่อมจากฤทธิ์.
ฝ่ายพระราชโอรสแสวงหามูลผลาผลในป่าได้จำนวนมากแล้ว ครั้นถึงเวลาเย็น จึงใส่หาบขนเข้าไปสู่อาศรม.
ฝ่ายพระฤๅษีพอเห็นพระขัตติยราชกุมาร จึงรีบเข้าไปยังฝั่งสมุทร ด้วยตั้งใจว่าเราจักไปทางเวหาส แต่ต้องจมลงในมหรรณพนั่นเอง.
ฝ่ายขัตติยราชกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นฤๅษีจมลงในมหรรณพ จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ด้วยความอนุเคราะห์ต่อพระฤๅษีนั้นว่า
ตัวท่านเองมาด้วยฤทธิ์ บนน้ำอันไม่แตกแยก ครั้นถึงความระคนด้วยสตรีแล้วต้องจมลงในมหรรณพ ธรรมดาสตรีมีปกติหมุนเวียน มีมายามาก มักทำพรหมจรรย์ให้กำเริบ ย่อมทำนักพรตให้จมลง ท่านรู้แจ้งฉะนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกล สตรีทั้งหลายมีวาจาไพเราะเจรจานุ่มนวล ถมไม่เต็มเหมือนกับนทีธาร ย่อมยังนักพรตให้จมลง ท่านรู้แจ้งฉะนี้แล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 230
พึงเว้นเสียให้ห่างไกล. สตรีทั้งหลายย่อมเข้าไปซ่องเสพบุรุษใด ด้วยความพอใจหรือด้วยทรัพย์ก็ตาม ย่อมพลันตามเผาผลาญบุรุษนั้น เหมือนไฟป่าเผาสถานที่ตนเองฉะนั้น.
ความเบื่อหน่ายได้เกิดมีแก่ฤๅษี เพราะได้ฟังถ้อยคำของขัตติยราชกุมาร ฤๅษีนั้นกลับได้ทางอันมีมาก่อน แล้วเหาะขึ้นไปยังเวหาส.
ฝ่ายขัตติยราชกุมารผู้ทรงพระปรีชา ได้ทอดพระเนตรเห็นพระฤๅษีกำลังเหาะไปยังเวหาส จึงได้ความสลดจิต น้อมพระทัยสู่การบรรพชา ต่อแต่นั้นขัตติยราชกุมารก็ทรงบรรพชา สำรอกกามราคะแล้ว ได้เข้าถึงพรหมโลก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภายในพระราชฐาน (อนฺเตปุรํ) ได้แก่ พระราชฐานอันเป็นที่อยู่ของพระกุมาร.
บทว่า มากมาย (พหุํ) ความว่า ให้แปลกๆ ไปมากอย่าง.
บทว่า ประกอบไปด้วยกามารมณ์ (กามูปสญฺหิตํ) ความว่า ผลัดเปลี่ยนขับลำนำ อันมีใจความกระตุ้นกามารมณ์.
บทว่า กามฉันทะ ... นั้น (กามจฺฉนฺทสฺส) ความว่า กามฉันท์บังเกิดขึ้นแก่พระอนิตถิคันธกุมาร นั้น.
บทว่า คน (ชนํ) ได้แก่ ปริจาริกชนผู้อยู่ใกล้พระองค์.
บทว่า สูงต่ำ (อุจฺจาวจํ) ได้แก่ เพลงที่มีเสียงสูงและต่ำ.
บทว่า บริโภค (ภุญฺเชยฺย) ความว่า ถ้าหากพระองค์ พึงบริโภค (กามคุณ) ไซร้.
บทว่า พอพระทัย ... นั้น (ฉินฺเทยฺยุ ตํ) ความว่า ขึ้นชื่อว่ากาม ทั้งหลายเหล่านั้น จะพึงเป็นที่โปรดปรานพอพระทัย ของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง.
พระราชกุมารทรงสดับว่า สมุทฺทา (คลื่นสมุทร ) ดังนี้แล้วทรง นิ่งเฉยเสีย. แม้ในวันรุ่งขึ้น นางกุมาริกาก็ขับร้องอยู่อย่างนั้น. เมื่อเป็นเช่นนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 231
พระกุมารก็เกิดมีจิตรักใคร่ เมื่อจะโปรดให้นางกุมาริกานั้นมาเฝ้า จึงตรัสเรียกข้าราชบริพาลทั้งหลายมาแล้วตรัสพระคาถามีคำว่า อิงฺฆ (นี่แน่ะเราจะบอกให้) ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ฝาห้อง (ติโรกุฑฺฑมฺหิ) ความว่า ภายนอกฝาห้องบรรทม.
บทว่า บุรุษอื่น ... อย่า (มา อญฺโ) ความว่า ชื่อว่าบุรุษผู้บริโภคกามคนอื่น ไม่ควรมีเลย.
บทว่า เสด็จไปเพื่อจะฆ่า (หนฺตุํ อุปกฺกมิ) ความว่า พระกุมารเสด็จลงไปยืนขวางกลางถนน แล้วปรารภจะฆ่าพวกบุรุษเสีย.
บทว่า ร้องทุกข์ (วิกฺกนฺทิํสุ) ความว่า เมื่อบุรุษ ๒-๓ คน ถูกพระราชกุมารประหารไปแล้ว ผู้คนทั้งหลายต่างพากันวิ่งหนีหลบเข้าไปสู่เรือน. พระราชกุมารนั้นไม่พบปะพวกบุรุษทั้งหลาย ก็สงบไปพักหนึ่ง. ขณะนั้น ชาวพระนครก็พากันมาประชุมที่พระลานหลวง กราบทูลเรื่องราวแด่พระราชา.
บทว่า เบียดเบียนผู้หาโทษมิได้ (ชนํ เหเตฺยทูสกํ) ความว่า ชาวเมืองกราบทูลกล่าวโทษว่า "พระโอรสของพระองค์ทรงประหารคนผู้ไร้ความผิด ขอได้โปรดให้ทรงจับพระราชโอรสนั้น". พระราชาตรัสสั่งให้จับพระกุมารไว้ด้วยอุบาย แล้วตรัสถามทวยนาครว่า "ควรลงโทษกุมารนี้อย่างไร" เมื่อทวยนาครกราบทูลว่า "ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ไม่มีทางอื่นแต่ควรที่พระองค์ จะทรงเนรเทศพระกุมารนี้ พร้อมด้วยนางกุมาริกานั้นไปเสียจากแว่นแคว้นพระเจ้าข้า" จึงได้ทรงทำตามนั้น.
เมื่อพระบรมศาสดาจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถา มีอาทิว่า ตญฺจ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทรงเนรเทศ (วิปาเหสิ) แปลว่า ทรงเนรเทศแล้ว.
บทว่า เจ้าอย่าอยูในอาณาเขตเพียงนั้น (น เต วตฺถพฺพ ตาวเท) ความว่า พระราชอาณาเขตของเรามีอยู่เพียงใด เจ้าอย่าอยู่ในอาณาเขตของเราเพียงนั้นเป็นอันขาด.
บทว่า เพื่อแสวงหา (อุญฺฉาย) ความว่า เพื่อแสวงหาผลาผล ก็เมื่อพระราชกุมารนั้นเสด็จไปป่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 232
นางกุมาริกาผู้ชายาเฝ้าอาศรมจัดแจงของควรเผาและต้ม ซึ่งมีอยู่ในอาศรมนั้น นั่งอยู่ที่ประตูบรรณศาลา คอยดูทางที่ภัสดาจะกลับมา. เมื่อกาลเวลาล่วงไปอย่างนี้ วันหนึ่ง อิทธิมันตดาบสองค์หนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ที่เกาะกลางสมุทร ออกจากอาศรมสถาน เดินบนน้ำได้เหมือนเดินบนแผ่นแก้วมณี แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศ เที่ยวไปภิกษาจารจนบรรลุถึงเบื้องบนบรรณศาลานั้น แลเห็นควันไฟจึงคิดว่า ชะรอยในที่นี้จะมีมนุษย์อยู่อาศัย แล้วเลื่อนลอยลงมาที่ประตูบรรณศาลา. ฝ่ายนางกุมาริกาผู้ชายาของพระกุมาร ครั้นเห็นพระดาบสแล้วจึงนิมนต์ให้นั่ง เกิดมีจิตปฏิพัทธ์ ได้แสดงมายาแห่งสตรีให้เห็น จนได้ประพฤติอนาจารร่วมกับดาบสนั้น. เมื่อพระศาสดาจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถา มีอาทิว่า อเถตฺถ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฤๅษีเหาะมา (อิสิ มาคญฺฉิ) ความว่า ฤๅษีได้เหาะมาแล้ว.
บทว่า เหนือสมุทร (สมุทฺทมุปรูปริ) ความว่า โดยทางเบื้องบนสมุทร.
บทว่า ดูเถิด กรรม ... หยาบช้าเพียงใด (ปสฺส ยาว สุทารุณํ) ความว่า ดูเถิดภิกษุทั้งหลาย กรรมอันทารุณหยาบช้าเพียงไร ที่นางกุมาริกานั้นกระทำแล้ว.
บทว่า เวลาเย็น (สายํ) ได้แก่ ในสายัณหสมัย.
บทว่า เห็น (ทิสฺวา) ความว่า อิทธิมันตดาบสนั้น เมื่อไม่อาจจะละนางกุมาริกานั้นไปได้ ก็อยู่ที่บรรณศาลานั้นจนตลอดวัน เห็นพระราชกุมารเสด็จมาในเวลาเย็น คิดว่า เราจักหนีไปทางอากาศ จึงกระทำอาการโลดลอยขึ้นไป ตกจมลงในมหรรณพ.
บทว่า เห็นฤๅษี (อิสิํ ทิสฺวา) ความว่า พระราชกุมารนั้นติดตามไป จึงเห็น (พระฤๅษี).
บทว่า ด้วยความอนุเคราะห์ (อนุกมฺหปาย) ความว่า พระกุมารเกิดความเอ็นดูว่า ถ้าพระดาบสนี้จักมาทางพื้นดิน ก็ควรจะหนีเข้าป่าไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ - หน้า 233
ชะรอยจักมาทางอากาศ เพราะเหตุนั้น แม้จะตกไปในสมุทร ท่านก็ยังทำอาการเหมือนกับจะเหาะไป แล้วได้ตรัสพระคาถาด้วยความเอ็นดูต่อพระดาบสนั้น นั่นเอง. ก็เนื้อความแห่งคาถาเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในติกนิบาตแล้ว ทั้งนั้น.
บทว่า ความเบื่อหน่ายได้เกิดมี (นิพฺพิโท อหุ) ความว่า ความเบื่อหน่ายในกามทั้งหลายเกิดแล้ว.
บทว่า ทางอันมีมาก่อน (โปราณกํ มคฺคํ) ได้แก่ ฌานวิเศษอันตนบรรลุแล้วในกาลก่อน.
บทว่า บรรพชา (ปพฺพชิตฺวาน) ความว่า พระราชกุมารทรงพานางกุมารีไปส่งยังที่อยู่ของมนุษย์ แล้วเสด็จกลับมาบรรพชาเพศเป็นฤๅษีอยู่ในราวป่า ทรงสำรอกกามราคะเสียได้ ครั้นสำรอกกามราคะได้แล้ว ได้เป็นผู้มีพรหมโลก เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ด้วยประการฉะนี้.
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้สัตว์ผู้บริสุทธิ์ดีแล้วทั้งหลาย ย่อมเศร้าหมองเพราะอาศัยมาตุคามเป็นเหตุอย่างนี้" แล้วทรงประกาศอริยสัจจธรรม แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบอริยสัจจเทศนา ภิกษุผู้กระสันได้บรรลุพระอรหัตผล. ก็อนิตถิคันธกุมารในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราผู้ตถาคตฉะนี้แล.
จบอรรถกถามหาปโลภนชาดก

