พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๙. สิปปสูตร ว่าด้วยภิกษุสนทนากันเรื่องศิลป์

 
บ้านธัมมะ
วันที่  8 ส.ค. 2564
หมายเลข  35310
อ่าน  399

[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 353

๙. สิปปสูตร

ว่าด้วยภิกษุสนทนากันเรื่องศิลป์


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 353

๙. สิปปสูตร

ว่าด้วยภิกษุสนทนากันเรื่องศิลป์

[๘๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 354

ภิกษุมากด้วยกันกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัตแล้ว นั่งประชุมกันในโรงกลม ได้สนทนากันถึงเรื่องเป็นไปในระหว่างว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ใครหนอแล ย่อมรู้ศิลปะ ใครศึกษาศิลปะอะไร ศิลปะอย่างไหนเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในการฝึกช้างเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในการฝึกม้าเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในการขับรถเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในการยิงธนูเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะทางอาวุธเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะทางนับนิ้วมือเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในการคำนวณเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะนับประมวลเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในการขีดเขียนเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในการแต่งกาพย์กลอนเป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในทางโลกายตศาสตร์เป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในทางภูมิศาสตร์เป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย

ภิกษุเหล่านั้นสนทนาเรื่องค้างไว้ในระหว่างเพียงนี้ ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น ได้เสด็จเข้าไปถึงโรงกลม แล้วประทับนั่ง ณ อาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ และเธอทั้งหลายสนทนาเรื่องอะไรค้างไว้ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 355

นั่งประชุมกันในโรงกลม เกิดสนทนากันในระหว่างว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ใครหนอแลย่อมรู้ศิลปะ... บางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ศิลปะในทางภูมิศาสตร์เป็นยอดแห่งศิลปะทั้งหลาย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายสนทนาเรื่องค้างไว้ในระหว่างนี้แล ก็พอดีพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายเป็นกุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา กล่าวกถาเห็นปานนี้นั้นไม่สมควรเลย เธอทั้งหลายประชุมกันแล้ว พึงกระทำอาการ ๒ อย่าง คือ ธัมมีกถา หรือดุษณีภาพอันเป็นอริยะ.

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ผู้ไม่อาศัยศิลปะเลี้ยงชีพ ผู้เบา ปรารถนาประโยชน์ มีอินทรีย์สำรวมแล้ว พ้นวิเศษแล้วในธรรมทั้งปวง ไม่มีที่อยู่เที่ยวไป ไม่ยึดถือว่าของเรา ไม่มีความหวัง ผู้นั้นกำจัดมารได้แล้ว เป็นผู้เที่ยวไปผู้เดียว ชื่อว่าเป็นภิกษุ.

จบสิปปสูตรที่ ๙

อรรถกถาสิปปสูตร

สิปปสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า โก นุ โข อาวุโส สิปฺปํ ชานาติ ความว่า อาวุโส เมื่อพวกเราประชุมกันในที่นี้ ใครหนอจะรู้แจ้งอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมี

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 356

ชีวิตเป็นเหตุ อันได้นามว่าศิลปะ เพราะอรรถว่าต้องศึกษา.

บทว่า โก กึ สิปฺปํ สิกฺขิ ความว่า ใครจะเข้าไปหาตระกูลอาจารย์ผู้ถ่ายทอดศิลปะตลอดกาลนาน แล้วศึกษาศิลปะอะไรๆ บรรดาศิลปะฝึกช้างเป็นต้น โดยทางเล่าเรียน และโดยทางปฏิบัติ.

บทว่า กตรํ สิปฺปํ สิปฺปานํ อคฺคํ ความว่า ศิลปะชนิดไหนเป็นยอด คือ ประเสริฐกว่าศิลปะทั้งปวง โดยไม่ต่ำช้า มีผลมาก และสำเร็จได้ไม่ยาก อธิบายว่า บุคคลอาศัยศิลปะใดแล้วสามารถเป็นอยู่ได้ง่าย.

บทว่า ตตฺเถกจฺเจ ความว่า บรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกที่ออกบวชจากตระกูลนายหัตถาจารย์นั้น.

บทว่า เอว มาหํสุ ความว่า ท่านเหล่านั้นได้กล่าวอย่างนั้น. แม้ต่อแต่นี้ไป ในที่ที่กล่าวไว้ว่า เอกจฺเจ ก็นัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า หตฺถิสิปฺปํ ความว่า ศิลปะแม้ทุกอย่างต่างโดยการจับช้าง การฝึก การขับขี่ การรักษาโรค เป็นต้น ที่จำต้องกระทำ ท่านประสงค์เอาว่า ศิลปะในการฝึกช้างในที่นี้. แม้ในคำว่า อสฺสสิปฺปํ นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. ส่วน ศิลปะการขับรถ พึงทราบโดยวิธีฝึกหัดและขับไปเป็นต้นของผู้ขับรถ และโดยการประกอบรถ.

บทว่า ธนุสิปฺปํ ได้แก่ ศิลปะของนายขมังธนู ซึ่งเรียกว่า นักแม่นธนู.

บทว่า ถรุสิปฺปํ ได้แก่ ศิลปะทางอาวุธที่เหลือ.

บทว่า มุทฺธาสิปฺปํ ได้แก่ ศิลปะในการนับหัวแม่มือ.

บทว่า คณนาสิปฺปํ ได้แก่ ศิลปะในการนับไม่ขาดระยะ.

บทว่า สงฺขานสิปฺปํ ได้แก่ ศิลปะในการนับเป็นก้อน ด้วยการบวกและการลบเป็นต้น. ผู้ที่กล่าวคล่องแคล่วศิลปะนั้น พอเห็นต้นไม้ก็นับได้ว่า ต้นไม้นี้มีใบเท่านี้.

บทว่า เลขาสิปฺปํ ได้แก่ ศิลปะในเพราะเขียนอักษรโดยอาการต่างๆ หรือความรู้ในการเขียน.

บทว่า กาเวยฺยสิปฺปํ ความว่า ศิลปะการแต่งกาพย์ของกวี ๔ จำพวก มีจินตกวี

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 357

เป็นต้น ด้วยการคิดของตน ด้วยการฟังที่ได้จากคนอื่น ด้วยประโยชน์อย่างนี้ว่า สิ่งนี้มีประโยชน์ เราจักประกอบสิ่งนี้อย่างนี้ หรือด้วยการเห็นกาพย์อะไรๆ แล้วเกิดปฏิภาณขึ้นในฐานะว่า เราจักแต่กาพย์ให้เหมือนกับกาพย์นั้น. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กวี ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ จินตกวี สุตกวี อัตถกวี และปฏิภาณกวี.

บทว่า โลกายตสิปฺปํ ความว่า ศิลปะในวิตัณฑศาสตร์ ที่ปฏิเสธปรโลก และนิพพานเป็นไป โดยนัยมีอาทิว่า กาขาวเพราะกระดูกขาว นกยางแดงเพราะเลือดแดง.

บทว่า ขตฺตวิชฺชาสิปฺปํ ความว่า ศิลปะในนิติศาสตร์มีการอารักขากษัตริย์เป็นต้น. ได้ยินว่า ศิลปะทั้ง ๑๒ นี้ ชื่อว่ามหาศิลปะ ด้วยเหตุนั้น จึงกล่าวไว้ในที่นั้นๆ ว่า สิปฺปานํ อคฺคํ ดังนี้.

บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบโดยอาการทั้งปวง ซึ่งความไม่สลัดออกจากวัฏทุกข์ เพื่อประโยชน์แก่การเป็นอยู่แห่งสิปปายตนะทั้งปวงนี้ แต่ก็ทรงทราบความไม่สลัดออกแห่งความบริสุทธิ์มีศีลเป็นต้น และความเป็นภิกษุแห่งผู้พรั่งพร้อมด้วยศีลเป็นต้นนั้น จึงทรงเปล่งอุทานนี้อันประกาศเนื้อความนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสิปฺปชีวี ความว่า ชื่อว่าอสิปปชีวี เพราะอรรถว่า ไม่ไปอาศัยศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งเลี้ยงชีพ เพราะความหวังในปัจจัยเหือดแห้งไป โดยข่มตัณหุปปาทาน ๔ ให้อยู่ไกลแสนไกล. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงอาชีวปริสุทธิศีล.

บทว่า ลหุ ได้แก่ ชื่อว่า เบา คือ ไม่มีสัมภาระมาก เพราะมีกิจน้อยและมีความประพฤติเบาพร้อม. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงความเป็นผู้เลี้ยงง่าย อันสำเร็จด้วยความสันโดษในปัจจัย ๔.

บทว่า อตฺถกาโม ความว่า ชื่อว่าอัตถกามะ เพราะอรรถว่า ใคร่

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 358

คือ ปรารถนาเฉพาะประโยชน์ของโลกพร้อมเทวโลกเท่านั้น. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงปาติโมกขสังวรศีล เพราะประกาศถึงความงดเว้นสิ่งไม่ใช่ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย เพราะแสดงถึงความงดเว้นความพินาศ มีปาณาติบาตเป็นต้น.

บทว่า ยตินฺทฺริโย ความว่า ชื่อว่ามีอินทรีย์สำรวมแล้ว เพราะสำรวมอินทรีย์ ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้น โดยไม่ให้อกุศลธรรม มีอวิชชาเป็นต้นเกิดขึ้น. ด้วยคำนี้ ตรัสถึงอินทรียสังวร.

บทว่า สพฺพธิ วิปฺปมุตฺโต ความว่า ผู้มีศีลบริสุทธิ์ดีอย่างนี้ ตั้งมั่นอยู่ในความสันโดษด้วยปัจจัย ๔ กำหนดนามรูปพร้อมปัจจัย พิจารณาสังขารด้วยลักษณะ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น บำเพ็ญวิปัสสนา ต่อจากนั้น ก็ชื่อว่า เป็นผู้หลุดพ้นในธรรมทั้งปวง คือ ในภูมิทั้งปวง มีภพเป็นต้น เพราะละสังโยชน์ได้ด้วยอริยมรรค ๔ ที่เป็นไปตามลำดับ.

บทว่า อโนกสารี อมโม นิราโส ความว่า ชื่อว่าอโนกสารี เพราะไม่มีความซ่านไปแห่งตัณหาในอายตนะทั้ง ๖ กล่าวคือ โอกะ (น้ำ) เหตุหลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวงเช่นนั้นทีเดียว ชื่อว่าอมมะ เพราะไม่มีมมังการในอารมณ์ไหนๆ มีรูปารมณ์เป็นต้น ชื่อว่านิราสะ เพราะไม่มีความหวังโดยประการทั้งปวง.

บทว่า หิตฺวา มานํ เอกจโร ส ภิกฺขุ ความว่า ก็ภิกษุนั้นผู้เป็นอย่างนั้น ละมานะได้ไม่เหลือ พร้อมกับเวลาที่ได้บรรลุอรหัตมรรคทีเดียว จึงไม่คลุกคลีด้วยหมู่เหมือนภิกษุเหล่านี้ เป็น ผู้เดียวเที่ยวไปในอิริยาบถทั้งปวง เพราะประสงค์ความสงัดและเว้นจากเพื่อนคือตัณหา ผู้นั้นโดยทางปรมัตถ์ ชื่อว่าภิกษุ เพราะทำลายกิเลสโดยประการทั้งปวง. ก็ในที่นี้ตรัสถึงคุณฝ่ายโลกิยะ โดยนัยมีอาทิว่า อสิปฺปชีวี ผู้ไม่อาศัยศิลปเลี้ยงชีพ. ด้วยคำมีอาทิว่า สพฺพธิ วิปฺปมุตฺโต

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 3 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 359

ตรัสถึงคุณฝ่ายโลกุตระ. ในคำนั้น ทรงแสดงว่า ธรรมนี้สำหรับผู้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้ไม่อาศัยศิลปะเลี้ยงชีพเป็นต้นเท่านั้น ไม่ใช่เป็นของผู้อาศัยศิลปเลี้ยงชีพด้วยมิจฉาชีพ เพราะฉะนั้น พวกเธอจงเว้นการถือในศิลปว่าเป็นสาระ แล้วศึกษาในอธิศีลเป็นต้นเท่านั้น.

จบอรรถกถาสิปปสูตรที่ ๙