พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 มิ.ย. 2564
หมายเลข  34442
อ่าน  2,014

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 631

อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร

ที่มาของคําว่ากุรุ หน้า 631

ที่มาของคําว่ากัมมาสธัมมะ หน้า 634

ทําไมจึงตรัสสติปัฏฐานสูตรที่กุรุรัฐ หน้า 636

นกแขกเต้าเจริญสติปัฏฐาน หน้า 638

ความหมายของเอกายนะ หน้า 639

ศิษย์กับอาจารย์สนทนากัน หน้า 642

อธิบายมรรค หน้า 644

พระเถระทุบเท้า หน้า 647

พระได้บรรลุพระอรหัตในปากเสือโคร่ง หน้า 648

พระเถระถูกแทงบรรลุพระอรหัต หน้า 649

ท้าวสักกะจุติแล้วอุบัติทันที หน้า 650

เทวดาตกนรก หน้า 651

อธิบายศัพท์ว่ายทิทํ หน้า 655

แก้สติปัฏฐาน หน้า 656

เหตุที่ตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง หน้า 658

มติของอรรถกถา หน้า 660

ข้อเปรียบเทียบ หน้า 661

ความหมายของภิกษุ หน้า 662

อธิบายคําว่ากาย หน้า 663

พิจารณากาย หน้า 665

อธิบายบท อาตาปีสติมา สมฺปชาโน หน้า 668

อธิบายบท วิเนยฺยโลเกอภิชฺฌาโทมนสฺสํ หน้า 669

อธิบายบท อนุปสฺสี หน้า 671

อธิบายเวทนานุปัสสนา หน้า 673

สมาธิ ๔ หน้า 675

อุปมาจิตเหมือนลูกวัว หน้า 677

เสียงเป็นข้าศึกต่อฌาน หน้า 678

ทรงเปรียบพระเหมือนเสือเหลือง หน้า 679

เจริญอานาปานสติ หน้า 680

อริยสัจ ๔ ในอานาปานะ หน้า 683

พิจารณาดูกายโดยอิริยาบถ หน้า 684

วาโยธาตุเกิดจากจิต หน้า 685

อริยสัจในอิริยาบถ หน้า 688

พิจารณาดูกายโดยสัมปชัญญะ ๔ หน้า 688

สัมปชัญญะ ๔ หน้า 689

๑. สาตถกสัมปชัญญะ หน้า 689

๒. สัปปายสัมปชัญญะ หน้า 690

เรื่องภิกษุหนุ่ม หน้า 691

๓. โคจรสัมปชัญญะ หน้า 692

ภิกษุนําไปนํากลับ หน้า 692

ภิกษุไม่นําไปไม่นํากลับ หน้า 695

ภิกษุทั้งนำไปนํากลับ หน้า 696

เรื่องพระมหาปุสสเทวเถระ หน้า 697

เรื่องพระมหานาคเถระ หน้า 698

เรื่องพระ ๕๐ รูป หน้า 698

๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ หน้า 701

หน้าที่ของจิตแต่ละขณะ หน้า 704

เรื่องพระมหาเถระ หน้า 709

ปฏิกูล ๑๐ หน้า 715

อริยสัจในสัมปชัญญะ หน้า 719

ปฏิกูลมนสิการบรรพ หน้า 720

ธาตุมนสิการบรรพ หน้า 721

เปรียบพระเหมือนคนฆ่าวัว หน้า 721

นวสีวถิกาบรรพ หน้า 723

ป่าช้า ๙ หน้า 726

อริยสัจในนวสีวถิกา หน้า 727

เวทนานุปัสสนา หน้า 728

ความรู้ที่ไม่เป็นสติปัฏฐานภาวนา หน้า 729

ความรู้ที่เป็นสติปัฏฐานภาวนา หน้า 729

เรื่องพระเถระรูปใดรูปหนึ่ง หน้า 730

รูปกรรมฐาน-อรูปกรรมฐาน หน้า 731

เวทนาคืออรูปกรรมฐาน หน้า 734

เวทนาคืออรูปกรรมฐานมีในพระสูตรหลายแห่ง หน้า 735

สุขเวทนาแปรปรวน หน้า 736

อริยสัจในเวทนา หน้า 738

แก้จิตตานุปัสสานา หน้า 739

อริยสัจในจิตตานุปัสสานา หน้า 741

แก้ธรรมานุปัสสานา หน้า 741

นีวรณบรรพ หน้า 742

อธิบายสุภนิมิต หน้า 742

อธิบายอสุภนิมิต หน้า 743

ละกามฉันทะด้วยธรรม ๖ ประการ หน้า 743

อธิบายปฏิฆนิมิต หน้า 744

ละพยาบาทด้วยธรรม ๖ ประการ หน้า 745

อธิบายอรติเป็นต้น หน้า 746

อธิบายอารัพภธาตุเป็นต้น หน้า 747

ละถีนมิทธะด้วยธรรม ๖ ประการ หน้า 748

อธิบายอุทธัจจกุกกุจจะ หน้า 749

ละอุทธัจจกุกกุจจะด้วยธรรม ๖ ประการ หน้า 750

อธิบายวิจิกิจฉา หน้า 751

ละวิจิกิจฉาด้วยธรรม ๖ อย่าง หน้า 752

อริยสัจในนิวรณ์ หน้า 753

ขันธบรรพ หน้า 753

อริยสัจในเบญจขันธ์ หน้า 754

อายตนบรรพ หน้า 755

การเกิดของสังโยชน์ หน้า 756

อริยสัจในอายตนะ หน้า 758

โพชฌงคบรรพ หน้า 758

ความหมายของสัมโพธิ หน้า 759

การเกิดของสติสัมโพชฌงค์ หน้า 759

ธรรมที่ให้เกิดสติสัมโพชฌงค์ ๔ ประการ หน้า 760

การเกิดของธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ หน้า 760

ธรรมที่ให้เกิดธรรมวิจยสัมโพชฌงค ์๗ ประการ หน้า 760

การเกิดของวิริยสัมโพชฌงค์ หน้า 764

ธรรมที่ให้เกิดวิริยสัมโพชฌงค์ ๑๑ ประการ หน้า 765

เรื่องพระมหามิตตเถระ หน้า 767

การเกิดขึ้นของปิติสัมโพชฌงค์ หน้า 770

ธรรมที่ให้เกิดปีติสัมโพชฌงค์ ๑๑ ประการ หน้า 771

การเกิดขึ้นของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ หน้า 772

ธรรมที่ให้เกิดปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ๗ ประการ หน้า 772

การเกิดขึ้นของสมาธิสัมโพชฌงค์ หน้า 774

ธรรมที่ให้เกิดสมาธิสัมโพชฌงค์ ๑๑ ประการ หน้า 774

การเกิดขึ้นของอุเบกขาสัมโพชฌงค์ หน้า 776

ธรรมที่ให้เกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ๕ ประการ หน้า 777

อริยสัจในโพชฌงค์ หน้า 779

สัจจบรรพ หน้า 779

อริยสัจในอริยสัจ หน้า 780

อานิสงส์การเจริญสติปัฏฐาน หน้า 782

จบ อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร หน้า 782


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 17]


Tag  กัมมาสธัมมะ  กามฉันทะ  กาย  กุรุ  กุรุรัฐ  ขันธบรรพ  คนฆ่าวัว  จิตตานุปัสสานา  ฌาน  ถีนมิทธะ  ท้าวสักกะ  ธรรมานุปัสสานา  ธาตุมนสิการบรรพ  นวสีวถิกา  นวสีวถิกาบรรพ  นิวรณ  นีวรณบรรพ  ปฏิกูล ๑๐  ปฏิกูลมนสิการบรรพ  ปฏิฆนิมิต  ปัสสัทธิสัมโพชฌงค  ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  ปิติสัมโพชฌงค์  ป่าช้า ๙  พยาบาท  พระ ๕๐ รูป  พระมหานาคเถระ  พระมหาปุสสเทวเถระ  พระมหามิตตเถระ  พระมหาเถระ  มรรค  รูปกรรมฐาน-อรูปกรรมฐาน  วาโยธาตุ  วิจยสัมโพชฌงค์  วิจิกิจฉา  วิริยสัมโพชฌงค์  สติปัฏฐานภาวนา  สติสัมโพชฌงค์  สมาธิ  สมาธิสัมโพชฌงค์  สัปปายสัมปชัญญะ  สัมปชัญญะ ๔  สัมโพธิ  สาตถกสัมปชัญญะ  สุขเวทนา  สุภนิมิต  อรติ  อริยสัจ ๔  อสัมโมหสัมปชัญญะ  อสุภนิมิต  อายตนบรรพ  อายตนะ  อารัพภธาตุ  อิริยาบถ  อุทธัจจกุกกุจจะ  อุเบกขาสัมโพชฌงค์  เจริญอานาปานสติ  เวทนานุปัสสนา  เสือเหลือง  เสือโคร่ง  เอกายนะ  โคจรสัมปชัญญะ  โพชฌงคบรรพ  
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 631

อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร

[๑๓๑] สติปัฏฐานสูตร มีคําเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้

ที่มาของคําว่า กุรุ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุรูสุ วิหรติ ความว่า ชนบทแม้แห่งหนึ่ง เป็นที่อยู่ของราชกุมารผู้อยู่ในชนบทชื่อว่า กุรุ เขาเรียกว่า กุรู ด้วยรุฬหิศัพท์ (คําที่งอกไปจากคำเดิม) (พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ) ที่กุรุชนบทนั้น

แต่พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า ในรัชสมัยของพระเจ้ามันธาตุราช มนุษย์ใน ๓ ทวีป ได้ยิน (คําเล่าลือ) ว่า ขึ้นชื่อว่า ทวีปชมพู เป็นดินแดนที่อุบัติของยอดคน (อุดมบุรุษ) จําเดิมแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย เป็นถิ่นอภิรมย์อุดมทวีป จึงได้พากันมาพร้อมด้วยพระเจ้าจักรพรรดิมันธาตุราช ผู้ทรงส่งจักรแก้วออกหน้าแล้วเสด็จติดตามมายังทวีปทั้ง ๔

จากนั้นมา พระราชาได้ตรัสถามปริณายกแก้วว่า ยังมีหรือไม่สถานที่ๆ เป็นรมณียสถานยิ่งกว่ามนุษยโลก

ปริณายกแก้วได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระอาชญาไม่พ้นเกล้า ไฉนใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจึงตรัสอย่างนี้ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทมิได้ทอดพระเนตรอานุภาพของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์หรือ สถานที่ดวง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 632

จันทร์และดวงอาทิตย์เหล่านี้ เป็นรมณียสถานยิ่งกว่ามนุษยโลกนี้แน่.

พระราชาจึงทรงส่งจักรแก้วไปก่อนแล้ว ได้เสด็จไป ณ ที่นั้น. ท้าวจาตุมมหาราชได้ทราบว่า พระเจ้ามันธาตุราชเสด็จมาแล้ว ทรงดําริว่า พระราชาผู้ทรงฤทธิ์มาก (เสด็จมาแล้ว) เราไม่อาจจะต่อต้านได้ด้วยการรบ จงได้มอบราชสมบัติของตนถวาย.

พระองค์ทรงรับราชสมบัตินั้นแล้ว ได้ตรัสถามอีกว่ายังมีอยู่หรือไม่สถานที่ที่เป็นรมณียสถานยิ่งกว่านี้

ท้าวจาตุมมหาราชได้กราบทูลถึงดาวดึงสภพแด่พระองค์ว่า พระพุทธเจ้าข้า ดาวดึงสภพเป็นรมณียสถานยิ่งกว่า (นี้) บนดาวดึงสภพนั้น มหาราชทั้ง ๔ เหล่านี้ เป็นผู้รักษาการ (ปริจาริกา) ของท้าวสักกเทวราชนั้น จะประทับยืนที่พระทวาร ท้าวสักกเทวราชทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมีอานุภาพมาก และพระองค์ทรงมีเทวสถานสําหรับใช้ เหล่านี้คือ เวชยันตปราสาทสูง ๑ โยชน์ สุธรรมาเทวสภาสูง ๕๐๐ โยชน์ เวชยันตรถสูง ๑๕๐ โยชน์ ช้างเอราวัณก็สูงเท่านั้น สวนนันทวัน สวนจิตรลดาวัน สวนปารุสกวัน สวนมิสกวัน ประดับประดาด้วยทิพยพฤกษาจํานวนพันต้น ต้นไม้สวรรค์ ชื่อปาริฉัตตกะ สูง ๑๐๐ โยชน์ ภายใต้ต้นปาริฉัตตกะนั้น มีพระที่นั่งบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีสีเหมือนดอกหงอนไก่ ยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ สูง ๕ โยชน์ ซึ่งอ่อนนุ่น เมื่อท้าวสักกเทวราชทรงประทับนั่ง พระวรกายจะจมลงครึ่ง พระองค์. ครั้นทรงสดับคํากราบบังคมทูลนั้นแล้ว พระราชามีพระราชประสงค์จะเสด็จไป ณ ดาวดึงสภพนั้น จึงทรงโยนจักรแก้วขึ้นไป.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 633

จักรแก้วนั้นประดิษฐานอยู่บนอากาศ (๑) พร้อมด้วยจตุรงคเสนา. ต่อมาจักรแก้วก็ร่อนลงจากท่ามกลางเทวโลกทั้ง ๒ ประดิษฐานอยู่ที่พื้นดิน พร้อมด้วยจตุรงคเสนา มีปริณายกแก้วเป็นประมุข. พระราชาได้เสด็จไปยังดาวดึงสภพลําพังพระองค์เดียวเท่านั้น.

ท้าวสักกะพอได้ทรงทราบว่า พระเจ้ามันธาตุเสด็จมาเท่านั้น ก็เสด็จต้อนรับพระองค์กราบบังคมทูลว่า ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จมา (นี้เป็น) ราชสมบัติของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเอง ขอทูลเชิญปกครองเถิดพระพุทธเจ้าข้า ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ แล้วได้ทรงแบ่งเทวราชสมบัติออกเป็น ๒ ส่วน พร้อมด้วยเทพธิดาฟ้อนรํา ได้น้อมถวาย ๑ ส่วน พระราชาเพียงแต่เสด็จประทับที่ดาวดึงสภพเท่านั้น ความเป็นมนุษย์ (๒) ก็หายไป ความเป็นเทวดาก็ปรากฏขึ้นแทนที่. ได้ทราบว่าพระองค์ประทับนั่งบนพระที่นั่งบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ร่วมกับท้าวสักกะ ด้วยเหตุเพียงลืมพระเนตรขึ้นจึงจะปรากฏแตกต่างกัน. ทวยเทพเมื่อไปสังเกตพระองค์ ก็จะลืมไปในความแตกต่างระหว่างท้าวสักกะกับพระองค์. พระองค์เมื่อทรงเสวยทิพยสมบัติ ในดาวดึงสภพนั้น ทรงครองเทวราชสมบัติอยู่ จนท้าวสักกะเสด็จอุบัติ แล้วจุติไปถึง ๓๖ พระองค์ ก็ไม่ทรงอิ่มด้วยกามคุณเลย ครั้นทรงจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ก็ทรงดํารง (๓) อยู่ที่พระราชอุทยานของพระองค์ มีพระ


(๑) ปาฐะ เป็น อากาเสน อุฏฺหิ ฉบับพม่าเป็น อากาเส ปติฏฺาสิ แปลตามพม่า

(๒) ปาฐะ ว่า มนุสฺสตฺตภาโว เทวตฺตภาโว ฉบับพม่าเป็น มนุสฺสภาโว เทวภาโว แปลตามพม่า.

(๓) ปาฐะว่า ปติโต ฉบับพม่าเป็น ปติฏฺิโต จึงแปลตามพม่า.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 634

วรกายถูกลมและแดด (๑) กระทบจึงได้สวรรคต. ก็เมื่อจักรแก้วประดิษฐานที่พื้นดิน ปริณายกแก้วก็ประทับฉลองพระบาทของพระเจ้ามันธาตุ ลงในพระสุพรรณบัฏ แล้วมอบถวายราชสมบัติว่า นี้เป็นราชสมบัติของพระเจ้ามันธาตุ. มนุษย์ที่มาจากทวีปทั้ง ๓ แม้เหล่านั้น ไม่อาจจะไปได้อีก ได้พากันเข้าไปหาปริณายกแก้ว แล้วร้องเรียนว่า ใต้เท้าขอรับ เหล่ากระผมมาด้วยพระบรมราชานุภาพ บัดนี้จึงไม่อาจจะไปได้ ขอใต้เท้าได้กรุณาให้ที่อยู่แก่เหล่ากระผมเถิด. ปริณายกแก้วได้มอบชนบทให้แก่เขาเหล่านั้น เพื่อประโยชน์แก่การอยู่คนละแห่ง.

ในจํานวนชนบทเหล่านั้น ถิ่นที่มีคนมาจากบุพพวิเทหทวีปอาศัยอยู่ ได้นามว่า วิเทหรัฐ ตามชื่อเก่านั้นเอง. ถิ่นที่มีตนมาจากอมรโคยานทวีปอาศัยอยู่ ได้นามว่า อปรันตชนบท. ถิ่นที่มีคนมาจากอุดรกุรุทวีปอาศัยอยู่ ได้นามว่า กุรุรัฐ. แต่คนทั้งหลายเรียกด้วยพหูพจน์ โดยหมายถึงบ้านและนิคม จํานวนมาก เพราะเหตุดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่าประทับอยู่ที่หมู่บ้านกุรุทั้งหลาย (เป็นพหูพจน์) ดังนี้.

ที่มาของคําว่า กัมมาสธัมมะ

ในบทว่า กมฺมาสธมฺมํ ในบรรดาคําว่า กมฺมาสธมฺมํ นาม กุรูนํ นิคโม นี้ อาจารย์บางพวกกล่าวอรรถาธิบายความ โดย (แปลง) ธ อักษร เป็น ท อักษร. สถานที่ชื่อว่า กัมมาสธัมมะ เพราะเป็นที่


(๑) ปาฐะว่า ผุฏฺิตคฺคตฺโต พม่าเป็น ผุฏฺคตฺโต จึงแปลตามพม่า.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 635

ถูกทรมานของคนเท้าด่าง. พระเจ้าโปริสาท ผู้มีพระบาทด่าง เขาเรียกว่า กัมมาสะ (เจ้าองค์ต่าง)

เล่ากันมาว่า แผลเป็นที่พระบาทในที่ที่ถูกตอตํา งอกขึ้นคล้ายไม้ มีลาย เพราะฉะนั้น จึงปรากฏว่ามีพระบาทด่าง. และในโอกาสนั้นพระองค์ถูกทรมาน แล้วถูกห้ามจากความเป็นมนุษย์กินคน

ใครทรมาน?

พระมหาสัตว์.

ถามว่า ในชาดกอะไร

แก้ว่า พระเถระพวกหนึ่ง (อ้างว่ามา) ในสุตตโสมชาดก.

แต่พระเถระเหล่านี้บอกว่า มาในชยทิสชาดก. จริงอย่างนั้น พระมหาสัตว์เจ้าได้ทรงทรมานพระเจ้าโปริสาท ผู้มีพระบาทด่าง. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-

ปางเมื่อเราเป็นพระบรมโอรสาธิราชของพระเจ้าชยทิส ผู้ทรงเป็นราชาธิบดีแห่งปัญจาลรัฐได้สละชีวิต ปลดเปลื้องพระราชบิดาแล้ว อีกอย่างหนึ่ง เราได้ให้พระเจ้าโปริสาทผู้มีพระบาทด่างเลื่อมใสแล้ว ดังนี้.

แต่ลางอาจารย์อรรถาธิบายด้วย ธ อักรษรอย่างเดียว. ดังที่เล่ากันมาว่า ชาวกุรุรัฐมีขนบธรรมเนียมประจํากุรุรัฐ แต่เกิดความด่างพร้อยขึ้นในขนบธรรมเนียมนั้น เพราะฉะนั้น ที่ที่ด่างพร้อยนั้นจึงถูกเรียกว่า กัมมาสธัมมะ เพราะมีธรรมคือความด่างพร้อยเกิดขึ้น.

ถามว่า เหตุไฉนท่านจึงไม่กล่าวซึ่งนิคมที่อยู่อาศัยกันแห่งนี้เท่านั้น ไว้ด้วยสัตตมีวิภัตติ ในคําว่า กัมมาสธัมมะ นั้น

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 636

แก้ว่า เพราะ (พระผู้มีพระภาคเจ้า) ไม่มีโอกาสที่จะประทับ

ได้ทราบว่า ไม่มีวิหารอะไรที่เป็นโอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับในนิคมนั้น. แต่ห่างออกจากนิคมไป ได้มีไพรสณฑ์ใหญ่ในภูมิภาคแห่งหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยน้ําเป็นรมณียสถาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับที่มหาไพรสณฑ์นั้น ทรงเอานิคมนั้นเป็นโคจรคาม (บ้านรับบิณฑบาต). เพราะฉะนั้น ควรเข้าใจความหมายในเรื่องนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับที่หมู่บ้าน กุรุ ทรงเอานิคมของชาวกุรุที่ชื่อว่า กัมมาสธัมมะ เป็นโคจรคาม.

[๑๓๒] พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค ดังต่อไปนี้ :-

ทําไมจึงตรัสสติปัฏฐานสูตรที่กุรุรัฐ

ถามว่า เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสพระสูตรนี้ในแคว้นกุรุรัฐนั้น?

ตอบว่า เพราะชาวกุรุสามารถจะรับเอาพระธรรมเทศนาที่ลึกซึ้งได้.

ได้ทราบว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย ชาวกุรุรัฐ เป็นผู้มีร่างกายและจิตใจเหมาะสมเป็นนิจ ด้วยสามารถแห่งปัจจัยคือฤดูเป็นที่สบาย เพราะรัฐนั้นสมบูรณ์ด้วยปัจจัยคือฤดู. คนเหล่านั้นมีกําลังปัญญา อันความเหมาะสมแห่งจิตใจและร่างกายอนุเคราะห์แล้ว จะเป็นผู้สามารถรับ (ฟัง) ถ้อยคําที่ลึกซึ้งได้. เพราะฉะนั้น พระผู้ มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเล็งเห็นว่าคนเหล่านั้นสามารถจะรับ (ฟัง)

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 637

พระธรรมเทศนาอันลึกซึ้งนี้ได้ จึงได้ตรัสสติปัฏฐานสูตรที่มีอรรถลึกล้ํานี้ โดยเพิ่มพระกรรมฐานเข้าในพระอรหัตในฐานะ ๑๙ อย่าง

อุปมาเหมือนบุรุษได้ผอบทองคําแล้ว บรรจุดอกไม้นานาชนิดไว้ในนั้น หรือได้หีบทองคําแล้ว เก็บรัตนะทั้ง ๗ ไว้ (ในนั้น) ฉันใด. พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น ครั้นทรงได้ชาวกุรุรัฐ (๑) บริษัท จึงได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่ลึกซึ้ง. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ในมัชฌิมนิกายมูลปัณณาสก์นี้ จึงได้ทรงแสดงพระสูตรที่มีเนื้อความลึกซึ้งไว้อย่างหนึ่งในทีฆนิกาย ได้ทรงแสดงไว้อีกอย่างหนึ่งคือ มหานิทานสูตร ๑ มหาสติปัฏฐานสูตร ๑ (และ) ในมัชฌิมนิกายนี้ ได้ทรงแสดงพระสูตรไว้ อีกอย่างหนึ่ง คือ สาโรปมสูตร ๑ รุกขูปมสูตร ๑ รัฏฐปาลสูตร ๑ มาคันทิยสูตร ๑ อานัญชสัปปายสูตร ๑

อีกอย่างหนึ่ง ในชนบทนั้น ตามปกติแล้ว บริษัททั้ง ๔ พากันประกอบความเพียรเนืองๆ ในสติปัฏฐานภาวนาอยู่ โดยที่สุดแม้พวกทาส, กรรมกร และบริวารชน ก็พูดจากันเกี่ยวกับสติปัฏฐานนั้น. แม้แต่ที่ท่าน้ําและสถานที่ปันด้ายกันเป็นต้น ขึ้นชื่อว่าการพูดกันในเรื่องไร้ประโยชน์จะเป็นไปไม่ได้เลย.

ถ้าหญิงคนใดคนหนึ่งถูกถามว่า คุณแม่จา คุณแม่มนสิการสติปัฏฐานภาวนาข้อไหน? แล้วตอบว่า ไม่ได้มนสิการข้อไหนเลย. คนทั้งหลายจะตําหนิเธอว่า ชีวิตของเธอไร้ประโยชน์ เธอถึงจะมีชีวิตอยู่ก็เช่นกับคนตายแล้ว. จึงได้ให้โอวาทเธอว่า ทีนี้อย่าได้ทําอย่างนี้ แล้วให้เรียนเอาสติปัฏฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง. แต่ (ถ้า) หญิงใดพูดว่า ฉันมนสิการ


(๑) ปาฐะว่า กุรุรฏวาสีนํ ฉบับพม่าเป็น กุรุรฏฺวาสีปริสํ แปลตามพม่า.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 638

สติปัฏฐานชื่อโน้น. คนทั้งหลายจะพากันให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ แล้วสรรเสริญด้วยถ้อยคําทั้งหลายมีอาทิว่า ชีวิตของเธอเป็นชีวิตที่ดีแล้ว เธอชื่อว่าเป็นมนุษย์สมบูรณ์แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา เพื่อประโยชน์แก่เธอ. ก็ในเรื่องนี้ไม่เฉพาะแต่มนุษย์ชาติอย่างเดียวเท่านั้น ที่พากันประกอบมนสิการสติปัฏฐาน แม้แต่พวกสัตว์เดียรัจฉานที่อาศัยเขาอยู่ (ก็มนสิการสติปัฏฐาน) ในการทํามนสิการสติปัฏฐานของสัตว์นั้น มีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้ :-

นกแขกเต้าเจริญสติปัฏฐาน

เล่ากันมาว่า นักฟ้อนรําคนหนึ่ง เที่ยวจับลูกนกแขกเต้ามาฝึก นางอาศัยสํานักภิกษุณีอยู่ เวลาไปก็ไป (แต่ตัว) ลืมลูกนกแขกเต้า เหล่าสามเณรีจึงจับมันมาเลี้ยงไว้. ตั้งชื่อให้มันว่า พุทธรักขิต (พุทธรักษา). อยู่มาวันหนึ่ง พระเถรีเห็นมันเจ่าอยู่ข้างหน้า จึงเรียกว่า พุทธรักษา.

มันขานรับว่า อะไรคะ คุณแม่

มีมนสิการภาวนา อะไรบ้างไหม พระเถรีถาม

ไม่มีคะ คุณแม่ นกตอบ.

พระเถรีพูดว่า แกเอย ธรรมดาผู้อยู่ในสํานักบรรพชิต ไม่ควรจะเป็นอยู่โดยปล่อยอัตภาพเสีย (ปล่อยตัว) ควรปรารถนามนสิการอะไรบางอย่างนะ แล้วได้บอกว่า แต่อย่างอื่นเจ้าไม่สามารถ (ทําได้) จงสาธยาย (บริกรรม) ว่า อฎฺิ อฏฺิ (กระดูก กระดูก) มันตั้งอยู่

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 639

ในโอวาทของพระเถรี เที่ยวสาธยายว่า อฏิ อฎิ (กระดูกกระดูก). อยู่มาวันหนึ่ง ตอนเช้ามันเกาะปลายเสาผึ่งแดดอ่อนอยู่ นกตัวหนึ่ง ได้เอากรงเล็บเฉี่ยวเอาไป มันส่งเสียงร้อง แจด แจด. สามเณรีทั้งหลายได้ยินเสียงร้อง จึงพูดว่า คุณแม่ขา พุทธรักษาถูกนกเฉี่ยวไป หนูจะไปช่วยให้มันปล่อย แล้วพากันถือเอาก้อนดินเป็นต้นติดตามไป ให้มันปล่อยจนได้. พระเถรีถามมัน ผู้ที่เขาช่วยนํามา เกาะอยู่ข้างหน้าว่า พุทธรักษาเวลานกเฉี่ยวเอาไปแกคิดอะไร

มันตอบว่า คุณแม่เจ้าขา ดิฉันไม่ได้คิดอย่างอื่น คุณแม่ ดิฉันคิดถึงกองกระดูกเท่านั้น อย่างนี้ว่า กองกระดูกนั้นแหละ เฉี่ยวเอากองกระดูกไป กองกระดูกจะเกลื่อนกลาดไป ไม่ว่าแม้ในที่ไหน?

ดีแล้ว ดีแล้ว พุทธรักษา (การมนสิการอย่างนั้น) จักเป็นปัจจัยของความสิ้นไปแห่งภพของเธอในอนาคต พระเถรีกล่าว.

แม้สัตว์เดียรัจฉานในชนบทนั้น ก็ประกอบมนสิการในสติปัฏฐาน ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงยังความเจริญในสติปัฏฐานนั้นเองให้เกิดแก่เขาเหล่านั้น จึงได้ตรัสพระสูตรนี้ไว้.

ความหมายของเอกายนะ

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอกายโน แปลว่า ทางเอก. เพราะว่าทางมีชื่อมากอย่าง คือ มรรคา, ปันถะ, ปถะ, ปัชชะ, อัญชสะ, วฏมะ, อายตนะ, นาวา, อุตตรเสตู, กุลละ, ภิสิ, และสังกมะ.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 640

ในสติปัฏฐานสูตรนี้ พระองค์ตรัสทางนี้นั้นไว้โดยชื่อว่า อยนะ. เพราะฉะนั้น ในคําว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางเอก) นี้ควรเข้าใจความหมายอย่างนี้ว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเดียว ไม่ใช่เป็นทาง ๒ สาย.

อีกอย่างหนึ่ง ทางชื่อว่า เอกายนะ เพราะคนคนเดียวเท่านั้นพึงไป. คําว่า คนเดียว คือควรละการคลุกคลีด้วยหมู่ ปลีกตัวออก เงียบสงัด ดําเนินไป คือปฏิบัติ (คนเดียว) หรือชื่อว่าอยนะ เพราะ เพราะเป็นเหตุดําเนินไป คือไปจากสงสาร ถึงพระนิพพาน.

ทางดําเนินของผู้เป็นเอก ชื่อว่า เอกายนะ คําว่า ผู้เป็นเอกได้แก่ ผู้ประเสริฐที่สุด. และผู้ประเสริฐที่สุดกว่าสรรพสัตว์ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายว่า ได้แก่ (ทางดําเนิน) ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

อันที่จริง ถึงคนอื่นก็ดําเนินไปตามทางนั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้น ทางนั้นก็ชื่อว่าเป็นทางเสด็จดําเนินของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระองค์ทรงสร้างขึ้น. ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ความจริงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงยังทางที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นแล้ว ดังนี้ เป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อยนะ เพราะไป คือดําเนินไป อธิบายว่าเป็นไป. มีอธิบายว่า ไปในที่เดียวกัน คือเป็นไปในธรรมวินัย (ศาสนา) นี้เท่านั้น ไม่ใช่ไปที่อื่น. ดังที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนสุภัททะ อริยมรรคมี องค์ ๘ หาได้ในพระธรรมวินัย (ศาสนา) นี้เอง. ความจริง เนื้อความ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 641

ทั้ง ๒นี้ ต่างกันเพียงเทศนา (โวหาร) เท่านั้น แต่ก็มีเนื้อความเป็น อันเดียวกัน

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เอกายนะ เพราะไปสู่จุดหมายเดียวกัน มี อธิบายว่า ในตอนต้นถึงแม้จะเป็นไปโดยนัยแห่งภาวนาที่เป็นหลักแตก ต่างกัน แต่ตอนหลัง ก็จะไปถึงนิพพานแห่งเดียวกันนั้นแหละ. ดังที่ ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวไว้ว่า :-

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเห็นที่สุดแห่งการสิ้นความเกิด ทรงอนุเคราะห์เกื้อกูล (ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ) ทรงทราบทางไปสู่ที่แห่งเดียว (พระนิพพาน) ด้วยทางสายนี้ที่คนทั้งหลายได้เคยข้ามโอฆะห้วงน้ํามาแล้ว กําลังข้ามอยู่ และจักข้ามต่อไป.

แต่อาจารย์ลางเหล่ากล่าวว่า ชื่อว่า เอกายนะ เพราะไปถึงนิพพาน ครั้งเดียว ตามนัยแห่งความว่า ไม่ไปถึงฝัง (คือพระนิพพาน) ถึง ๒ ครั้ง. คํานั้น ไม่ถูก. เพราะว่า อรรถะ (ความหมาย) อย่างนี้ พยัญชนะ ควรจะเป็นอย่างนี้ว่า สกึ อยโน (ไม่ใช่เอกายโน). แต่ถ้าจะกล่าว ประกอบความอย่างนี้ว่า ทางนั้นมีทางไปอย่างเดียว คือมีคติ ได้แก่มีความเป็นไปอย่างเดียว ดังนี้ พยัญชนะก็ใช้ได้. แต่อรรถใช้ไม่ได้ทั้ง ๒ อย่าง.

เพราะเหตุไร?

เพราะในที่นี้ทรงประสงค์เอามรรคที่เป็นบุพพภาค.

อธิบายว่า ในที่นี้พระองค์ทรงประสงค์เอามรรคเป็นที่ตั้งสติ (สติปัฏฐาน) อันเป็นส่วนเบื้องต้น เป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๔ มีกายเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 642

ไม่ใช่มรรคที่เป็นโลกุตตระ. และมรรคที่เป็นส่วนเบื้องต้นนั้นก็ไปได้ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย ทั้งมีการไปไม่ใช่อย่างเดียว.

ศิษย์กับอาจารย์สนทนากัน

อนึ่ง แม้เมื่อก่อน ในบทนี้ พระมหาเถระทั้งหลาย ก็ได้มีการสนทนากันมาแล้วเหมือนกัน. (คือ) พระตรีปิฎกจุลลนาคเถระ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นทางสติปัฏฐานที่เป็นบุพพภาค. แต่อาจารย์ของท่าน คือ พระตรีปิฎกจุลลสุมนเถระ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นทางปนกันไป (ทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ)

เป็นทางเบื้องต้น ครับ ใต้เท้า ท่านตรีปิฎกจุลลนาคเถระกล่าว

เป็นทางปนกันไป คุณ ท่านตรีปิฎกจุลลสุมนเถระค้าน.

เมื่ออาจารย์กล่าวย้ําแล้วย้ําอีก ศิษย์ก็นิ่งไม่คัดค้าน. (ทั้ง ๒ ท่าน) ก็ลุกขึ้นโดยไม่วินิจฉัย (ชี้ขาด) ปัญหาเลย. ภายหลังพระเถระผู้เป็นอาจารย์ไปที่ห้องอาบน้ํา คิดว่า เราพูดว่า เป็นทางปนกันไป แต่คุณจุลลนาคอ้างเอาว่า เป็นทางเบื้องต้น ในปัญหานี้ จะมีวินิจฉัยกันอย่างไรนะ จึงร่ายพระสูตรตั้งแต่ต้นไป กําหนด (ยุติ) ลงตรงนี้ว่า โย หิ โกจิ ภิกฺขเว อิเม จตฺตาโร สติปฏฺาเน เอวํ ภาเวยฺย สตฺต วสฺสานิ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งก็ตาม เจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ เหล่านี้อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี) ดังนี้ ท่านก็รู้ว่า ธรรมดาโลกุตตรมรรค ครั้นเกิดขึ้นแล้ว จะหยุดชะงักอยู่ตลอด ๗ ปี ไม่มี มรรคที่ปนกันไปที่เรากล่าวแล้วนั้นมีไม่ได้ ส่วนมรรคที่เป็นบุพพภาค ที่คุณจุลลนาคแสดง

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 643

แล้วมีได้ จึงได้ไป ณ ที่ที่สําหรับประกาศในวันธัมมัสสวนะ ๘ ค่ํา.

ได้ทราบว่า พระเถระในปางก่อนชอบฟังธรรม. พอได้ยินเสียงเท่านั้น ก็คิดว่า เรา (จะฟัง) ก่อน เรา (จะฟัง) ก่อนแล้ว ลงฟังกันอย่างพร้อมพรั่งทีเดียว. และวันนั้นก็เป็นวาระของท่านจุลลนาคเถระ. เมื่อท่านนั่งบนธรรมาสน์ จับพัดแล้วกล่าวอารัมภบท (บุพพกถา) พระเถระที่ยืนอยู่หลังอาสนะได้มีความคิดว่า เราจะนั่งในที่ลับ ไม่พูด (อะไร). เพราะว่า พระเถระในปางก่อน เป็นนักฟัง. จะไม่เที่ยวยกความพอใจของตนขึ้นเป็นใหญ่อย่างเดียว เหมือนคนแบกมัดอ้อยไว้ฉะนั้น ถือเหตุผลอย่างเดียว. สลัดสิ่งที่ไม่มีเหตุผลทิ้ง. เพราะฉะนั้น พระเถระจึง พูดว่า คุณ จุลลนาค

ท่าน (จุลลนาค) สงสัยว่า ดูเหมือนเสียงท่านอาจารย์ได้หยุด แสดงธรรมแล้ว เรียนว่า อะไรครับ ใต้เท้า?

คุณจุลลนาค มรรคปนกันไปที่ฉันว่านั้น ไม่มี แต่มรรคคือสติปัฏฐานที่เป็นบุพพภาค ที่คุณว่านั้น มีพระเถระพูดตอบ.

พระเถระ (จุลลนาค) คิดว่า อาจารย์ของเรา เรียนปริยัติทั่วถึง ทรงจําไตรปิฎกไว้ได้เป็นสุตพุทธ ปัญหานี้ ยังมัวสําหรับพระภิกษุถึงขนาดนี้ (ชั้นอาจารย์) พระภิกษุที่เป็นรุ่นน้องในอนาคตจักพิศวงปัญหานี้ (แน่นอน) เราจักเอาพระสูตรมาแก้ปัญหานี้ไม่ให้ดิ้นได้. จากคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค บุพพภาคสติปัฏฐานมรรค ท่านเรียกว่า เอกายนมรรค. พระเถระได้นําเอาพระสูตรมาตั้งว่า

บรรดาทางทั้งหลาย ทางมีองค์ ๘ ประเสริฐที่สุด บรรดาสัจจะทั้งหลาย บท (สัจจะ) ทั้ง ๔

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 644

ประเสริฐที่สุด บรรดาธรรมทั้งหลาย วิราคธรรมประเสริฐที่สุด และบรรดาสัตว์ ๒ เท้าทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีปัญญาจักษุประเสริฐที่สุด ทางสายนี้เท่านั้นไม่มีทางสายอื่นที่เป็นไป เพื่อความบริสุทธิ์แห่งทัสสนะ. เธอทั้งหลาย จง เดินทางสายนั้นเถิด ที่ให้มารและเสนามารหลง. เพราะว่าเธอทั้งหลายเดินทางสายนั้นแล้ว จักทําที่สุด แห่งทุกข์ได้.

อธิบายมรรค

ทางชื่อว่า มรรค เพราะหมายความว่า อย่างไร?

เพราะหมายความว่า เป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน และเพราะหมายความว่า ผู้มีความต้องการพระนิพพานจะต้องดําเนินไป.

บทว่า สตฺตานํ วิสุทฺธิยา (เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย) ความว่า เพื่อประโยชน์แก่ความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีจิตเศร้าหมองแล้ว เพราะมลทินทั้งหลาย มีราคะเป็นต้น และเพราะอุปกิเลสทั้งหลาย มีอภิชฌาวิสมโลภเป็นต้น.

จริงอย่างนั้น ก็สัตว์เหล่านี้ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จํานวนมากพระองค์ ตั้งต้นแต่พระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ตัณหังกร เมธังกร สรณังกร ทีปังกร ที่ได้เสด็จอุบัติแล้ว ในกัปกัปเดียวกัน นั้นแหละ ก่อนแต่กัปนี้ไป ๔ อสงไขย เศษแสนกัป จนถึงพระ

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 645

ศากยมุนีเป็นที่สุดก็ดี พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า หลายร้อยพระองค์ก็ดี พระอริยสาวก เหลือที่จะคณานับก็ดี ได้ทรงลอยและลอยมลทินของจิตทั้งมวลแล้ว ทรงบรรลุและบรรลุความบริสุทธิ์อย่างยอดเยี่ยม ก็ด้วยทางสายนี้. แต่ด้วยสามารถแห่งมลทินของรูป จะไม่มีการบัญญัติความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วเลย. จริงอย่างนั้น

พระมหาฤาษี (พระพุทธเจ้า) ไม่ได้ตรัสไว้ว่า มาณพ (คน) ทั้งหลายเศร้าหมอง เพราะรูปเศร้าหมอง บริสุทธิ์ในเพราะรูปบริสุทธิ์ แต่พระมหาฤาษีได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า มาณพ (คน) ทั้งหลายเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง บริสุทธิ์ในเพราะจิตบริสุทธิ์.

ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย เศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง ผ่องแผ้ว เพราะจิตผ่องแผ้ว. และความผ่องแผ้วของจิตนั้นมีได้ เพราะทางคือสติปัฏฐานนี้. เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย.

บทว่า โสกปริเทวนํ สมติกฺกมาย (เพื่อระงับโสกปริเทวะทั้งหลาย) ความว่า เพื่อระงับ อธิบายว่า เพื่อละความโศกเศร้า และ การคร่ําครวญทั้งหลาย

เพราะว่า มรรคนี้ บุคคลอบรมแล้ว เป็นไปเพื่อระงับความโศกเศร้า (ของคนทั้งหลายได้) เหมือนสันตติมหาอํามาตย์เป็นต้น และระงับการคร่ําครวญ (ของคนทั้งหลาย) ได้ เหมือนปฏาจาราเถรี

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 646

เป็นต้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะทั้งหลาย.

ความจริง สันตติมหาอํามาตย์ ถึงจะได้สดับพระคาถาบทนี้ว่า

สิ่งใดจะมีข้างหน้า เธอจงละมันเสีย เธออย่าได้มีความกังวลอะไรในภายหลัง ถ้าเธอจักไม่ยึดอะไรในท่ามกลาง เธอจักเป็นผู้สงบ เที่ยวไป ดังนี้.

แล้วได้บรรลุอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

พระปฏาจาราเถรี ได้สดับพระคาถาบทนี้ว่า

บุตรไม่มีเพื่อการต้านทาน แม้บิดาและพวกพ้องก็ไม่มีเพื่อการต้านทาน เมื่อหมู่สัตว์ถูกมัจจุครอบงํา ย่อมไม่มีการต้านทานในหมู่ญาติทั้งหลาย.

แล้วได้ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล ก็จริงแล. แต่ว่า เพราะขึ้น ชื่อว่า ภาวนา แล้ว จะไม่เกี่ยวกับธรรมะข้อไหนในกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นไม่มี เพราะฉะนั้น แม้ทั้ง ๒ ท่านนั้น ก็ต้องทราบไว้ด้วยว่า ก้าวล่วงโสกปริเทวะไปได้ เพราะทางสายนี้เหมือนกัน.

บทว่า ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย (เพื่อระงับทุกข์โทมนัสทั้งหลาย) หมายความว่า เพื่อระงับ อธิบายว่า เพื่อดับทุกข์ทั้ง ๒ อย่างนี้ คือ ทุกข์ทางกาย ๑ โทมนัสทางใจ ๑. ด้วยว่า มรรคนี้ คนอบรมแล้ว จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ของคนทั้งหลาย เหมือนของพระ

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 647

ติสสเถระ เป็นต้น และเพื่อดับโทมนัสของคนทั้งหลาย เหมือนของท้าวสักกะ เป็นต้น. ในเรื่องนั้นมีการแสดงเนื้อความดังต่อไปนี้ :-

พระเถระทุบเท้า

เล่ากันมาว่า ในนครสาวัตถี บุตรชาวกุฏมพี ชื่อว่า ติสสะ ละทิ้งเงิน ๔๐ โกฏิ ออกบวช แล้วอยู่ในป่า ที่ไม่มีบ้าน. ภรรยาน้องชายคนสุดท้องของเขา ส่งโจร ๕๐๐ คนไปโดยสั่งว่า ไปเถอะ พวกเจ้าจงปลงชีวิตพระรูปนั้น พวกเขาพากันไปนั่งล้อมพระเถระไว้.

พระเถระพูดว่า พากันมาทําไม อุบาสก?

พวกผมจักปลงชีวิตท่าน โจรบอก.

อุบาสก ท่านทั้งหลาย จงยึดเอาตัวอาตมาไว้เป็นประกันแล้วให้ชีวิตอาตมาไว้คืนวันนี้คืนเดียวเถิด พระเถระขอร้อง.

ท่านสมณะ ใครจักเป็นผู้ค้ําประกันให้ท่านให้ที่นี้? โจรถาม.

พระเถระหยิบหินก้อนใหญ่มาทุบกระดูกขาทั้ง ๒ ข้างให้หักแล้วบอกว่า อุบาสกเอย ตัวประกัน (คนนี้) สมควร (ไหม?)

พวกเขาพากันหลีกไปก่อไฟนอนที่ต้นทางเดินจงกรม (ของท่าน). เมื่อพระเถระข่มเวทนาไว้แล้ว พิจารณาศีล เพราะอาศัยศีลบริสุทธิ์ ปีติปราโมทย์จึงเกิดขึ้น. ลําดับต่อจากนั้น ท่านก็เจริญวิปัสสนา บําเพ็ญสมณธรรมตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม เวลารุ่งอรุณ ได้บรรลุพระอรหัต แล้วได้เปล่งอุทานบทนี้ว่า

เราทุบเท้าทั้ง ๒ ข้าง สัญญากะท่านทั้งหลายไว้

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 648

เราเอือมระอาความตายทั้งๆ ที่ยังมีราคะ ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว เราก็เห็นแจ้งตามความจริง เมื่อถึงเวลาอรุณขึ้น จึงได้บรรลุพระอรหัต.

พระได้บรรลุพระอรหัตในปากเสือโคร่ง

ภิกษุแม้เหล่าอื่นอีก ๓๐ รูป เรียนเอากรรมฐาน ในสํานักของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจําพรรษาที่อรัญวิหาร พูด (ตกลงกันไว้) ว่า คุณ เราทั้งหลายต้องบําเพ็ญสมณธรรมกันตลอดราตรีทั้ง ๓ ยาม และไม่ควรไปมาหาสู่กัน ดังนี้แล้ว จึงพากันอยู่. เมื่อท่านเหล่านั้นบําเพ็ญสมณธรรมแล้ว เวลาเช้าออกไป (จากวัด) เสือโคร่งตัวหนึ่งมาคาบเอาพระไปคราวละ ๑ รูป ไม่มีใครส่งเสียงเลยว่า เสือโคร่งตะครุบผม. เมื่อภิกษุถูกเสือคาบไปกินถึง ๑๕ รูปอย่างนี้ ในวันอุโบสถ จึงถามกันว่า พระนอกนี้ไปไหนกันคุณ? พอรู้เรื่องแล้วก็พูด (ตกลงกันใหม่) ว่า ต่อไปนี้ ใครถูกเสือโคร่งตะครุบควรบอกกันว่า เสือโคร่งตะครุบผม ดังนี้แล้ว อยู่กันต่อไป. ภายหลัง เสือโคร่งได้ตะครุบภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง แบบครั้งก่อนนั้นแหละ. เธอได้บอกว่า ท่านครับ เสือโคร่ง. ภิกษุ ทั้งหลายพากันถือไม้เท้าและคบเพลิงติดตามไปด้วยหมายใจว่า จะให้มันปล่อย. เสือโคร่งได้ขึ้นไปที่ช่องเขาขาดที่พระขึ้นไปไม่ได้ เริ่มจะกินพระนั้น ตั้งแต่นิ้วเท้าขึ้นไป. พระภิกษุนอกจากนี้ได้พากันกล่าวว่า ท่านผู้เป็นสัตบุรุษเอย บัดนี้ พวกผมช่วยอะไรคุณไม่ได้แล้ว ธรรมดาคุณวิเศษของภิกษุทั้งหลายจะปรากฏ (ให้เห็น) ก็ในสถานการณ์เช่นนี้

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 649

แหละ. ท่านนอนอยู่ใกล้ปากเสือโคร่งนั้นแหละ ข่มเวทนานั้นไว้ เจริญวิปัสสนาในเวลาเสือโคร่งกินไปจนถึงข้อเท้า เป็นพระโสดา เวลากินถึงเข่า เป็นพระสกทาคามี เวลากินถึงท้องเป็นพระอนาคามี ขณะกินยังไม่ถึงหัวใจนั่นแหละ. ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ได้เปล่งอุทานบทนี้ว่า :-

เรามีศีล สมบูรณ์ด้วยวัตร มีสมาธิ มีปัญญา เผลอตัวไปชั่วครู่ ไม่ได้ระมัดระวังเสือโคร่ง เสือโคร่งตะครุบเราไว้ในกรงเล็บ นําเข้ามาที่ภูเขา จะกินเราแน่ กาย (ของเรา) ที่ไม่มีจิตใจจะเป็นอาหาร (มัน) เมื่อ (เรา) กลับได้กรรมฐาน มรณสติจะเจริญ

พระเถระถูกแทงบรรลุพระอรหัต

อีกรูปหนึ่ง ชื่อว่า ทีปมัลลเถระ เวลาเป็นคฤหัสถ์ ถือเอาผ้าที่กองขยะ ๓ กอง มายังตัมพปัณณิทวีป เฝ้าพระราชา แล้วได้รับราชานุเคราะห์. วันหนึ่ง เดินไปทางประตูศาลากิลัญชกาสนะ ได้ฟังนตุมหากวัตรว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของพวกเธอ เธอทั้งหลายจงละทิ้งมันไป รูปนั้นที่เธอทั้งหลายละได้แล้ว จักมีประโยชน์เกื้อกูลและความสุขตลอดกาลนาน แล้วคิดว่า นัยว่า รูปไม่ใช่ของตนเลย เวทนาก็ไม่ใช่ของตน. เขาทํานตุมหากวัตรนั้นให้เป็นเหมือนขอช้าง ออกไปยังมหาวิหาร ขอบรรพชา บรรพชาอุปสมบท เล่าท่องมาติกาทั้ง ๒ ได้คล่องแคล่ว แล้วพาภิกษุ ๓๐ รูปไปยังเนิน ชื่อว่า ครวาลิยะ บําเพ็ญ

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 650

สมณธรรม. เมื่อเท้าบวมก็เดินจงกรมด้วยเข่า. ในคืนวันนั้น พรานเนื้อคนหนึ่ง เข้าใจว่า ท่านเป็นเนื้อ จึงแทงท่าน. หอกทะลุเข้าไป ท่านให้เขาเอาหอกออก แล้วเอาม้วนหญ้าอุดปากแผลไว้ให้เต็ม พยุงตนนั่งเหนือลานหิน ถือโอกาสเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. พยากรณ์แก่ภิกษุผู้มาเพราะเสียงไอ (ของท่าน) แล้วได้เปล่งอุทานนี้ว่า :-

พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด (ผู้มีปกติตรัสธรรมอันเลิศแก่สรรพสัตว์) ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปนี้ไม่ใช่ของพวกเธอ เธอทั้งหลายจงละทิ้งมันไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้น และเสื่อมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป ความระงับแห่งสังขารเหล่านั้น เป็นสุข.

ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ได้พูดกะท่านว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงประชวรแล้วไซร้ พระองค์จะต้องทรงเหยียดพระหัตถ์ (ข้ามสมุทร) มาลูบศีรษะท่านเป็นแน่.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ทางสายนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนของพระติสสเถระ เป็นต้น

ท้าวสักกะจุติแล้วอุบัติทันที

ก็ท้าวสักกะจอมเทพ ครั้นทรงเห็นบุพพนิมิต ๕ อย่างของพระองค์แล้ว ทรงถูกมรณภัยคุกคาม เกิดเสียพระทัย จึงเข้าไปเฝ้า

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 651

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถามปัญหา. ในอวสานแห่งการวิสัชนาปัญหา ท้าวเธอได้บรรลุโสดาปัตติผล พร้อมด้วยเทวดา ๘ หมื่นตน ท้าวเธอ (จุติแล้ว) ได้เสด็จอุบัติขึ้นใหม่เป็นปกติดังเดิมอีก

เทวดาตกนรก

แม้สุพรหมเทพบุตร มีเทพอัปสรพันหนึ่ง เป็นบริวาร เสวยสวรรค์สมบัติ บรรดาเทพอัปสรสาวสวรรค์พันหนึ่งนั้น เทพอัปสร ๕๐๐ ตน กําลังเก็บดอกไม้ จากต้นอยู่หลัดๆ ก็จุติ (๑) แล้วเกิดในนรก ท้าวเธอทรงใคร่ครวญดูว่า สาวอัปสรเหล่านี้ เหตุใดจึงช้าอยู่? ได้ทรงเห็นว่า เขาเหล่านั้น เกิดในนรกแล้ว ทรงตรวจดูว่า อายุของเรา จะเท่าไรหนอ พอทรงทราบพระชนมายุของพระองค์ก็จักสิ้นไปเหมือนกัน ก็ทรงเห็นว่า พระองค์จะทรงเกิดในนรกนั้นแหละ จึงตกพระทัย ทรงโทมนัสเหลือเกิน ทรงดําริว่า พระศาสดาจักขจัดโทมนัสของเรานี้ได้ ผู้อื่นขจัดไม่ได้ แล้วได้ทรงพาเทพอัปสรสาวสวรรค์ ๕๐๐ ที่ยังเหลือไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามปัญหาว่า :-

จิตนี้สะดุ้งอยู่เนืองนิตย์ จิตคือใจนี้หวาดผวาเป็นประจํา เมื่อกิจ (เหตุ) เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เกิดขึ้น ถ้าหากความไม่สะดุ้งกลัวมีอยู่ ขอพระองค์ผู้อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว จงตรัสบอกความไม่สะดุ้งนั้นแก่ข่าพระองค์ด้วยเถิด

ลําดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกะท้าวเธอว่า :

เรามองไม่เห็นความสวัสดีอย่างอื่นของสัตว์ทั้งหลาย


(๑) ปาฐะเป็น จริตฺวา ฉบับพม่าเป็น จวิตฺวา จึงแปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 652

นอกจากการบําเพ็ญเพียร อันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ นอกจากการสํารวมอินทรีย์ (และ) นอกจากการ ปล่อยวางทั้งหมด.

ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ท้าวเธอ ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมด้วยเทพอัปสร ๕๐๐ ทรงทําทิพยสมบัตินั้นให้มีเสถียรภาพแล้ว ได้เสด็จไปยังเทวโลกตามเดิม

ทางนี้บุคคลผู้เจริญแล้ว พึงเข้าไว้ว่า เป็นไปเพื่อดับโทมนัสของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนของท้าวสักกะ เป็นต้น ดังที่พรรณนามานี้

อริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น ท่านเรียกว่า ญายะ ในคําว่า ายสฺส อธิคมาย เพื่อบรรลุ อธิบายว่า เพื่อถึงอริยมรรคนั้น เพราะว่ามรรค สติปัฏฐานอันเป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้นนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อบรรลุโลกุตตรมรรค. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสว่า ายสฺส อธิคมาย.

บทว่า นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย (เพื่อกระทําให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน) ความว่า เพื่อกระทําให้แจ้ง ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า เพื่อประจักษ์ด้วยตนเอง ซึ่งอมตธรรมที่ได้นามว่าพระนิพพาน เพราะเว้นจากตัณหาเครื่องร้อยรัด เพราะว่ามรรคนี้ที่บุคคลอบรมแล้ว ให้สําเร็จการทําให้แจ้งพระนิพพาน ตามลําดับ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ว่า นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย.

บรรดาคําเหล่านั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่า เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย คําว่าก้าวล่วงความโศกเป็นต้น ก็เป็นอันสําเร็จความหมายไปด้วย ก็จริง แต่ก็ยังไม่ปรากฏแก่ผู้อื่น นอกจากผู้ฉลาดในข้อยุติของ

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 653

ศาสนา. และพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ทรงทําให้คนเป็นผู้ฉลาดในข้อยุติของศาสนาก่อนแล้ว จึงทรงแสดงธรรมภายหลัง. แต่ทรงให้เข้าใจผลที่ต้องการนั้นๆ ด้วยสูตรนั้นๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น ในสติปัฏฐานสูตรนี้ เมื่อพระองค์จะทรงแสดงผลที่ต้องการซึ่งเอกายนมรรคจะให้สําเร็จได้ให้ปรากฏ จึงได้ตรัสไว้ว่า โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย เพื่อก้าวล่วงโสกะและปริเทวะทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย จะเป็นไปพร้อม ก็ด้วยเอกายนมรรค ความบริสุทธิ์จะมีได้ เพราะก้าวล่วงโสกปริเทวะ การก้าวล่วงโสกปริเทวะจะมีได้ เพราะทุกข์โทมนัสดับไป การดับทุกข์โทมนัสจะมีได้ เพราะได้บรรลุญายธรรม การบรรลุญายธรรมจะมีได้ เพราะการทําให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ฉะนั้น พระองค์เพื่อทรงแสดงลําดับนี้แล้ว จึงตรัสว่า สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย แล้วได้ตรัสคํานี้อาทินี้ไว้ว่า โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย เพื่อระงับโสกะและปริเทวะ.

อีกอย่างหนึ่ง คําว่า สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เป็นต้นนี้ เป็นคํากล่าวสรรเสริญ เอกายนมรรค เหมือนอย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรรเสริญเทศนา ๖ หมวด หมวดละ ๖ ข้อ ด้วยบท ๘ บทว่า ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จักประกาศพรหมจรรย์ (ศาสนา) ที่บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ คือพรหมจรรย์ ๖ หมวดหมวดละ ๖ ข้อ แก่เธอทั้งหลาย และได้ตรัสสรรเสริญอริยวงศ์เทศนาไว้ ด้วยบท ๙ บทว่า ภิกษุทั้งหลาย อริยวงศ์ ๔ อย่างเหล่านี้ เป็นของ

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 654

ที่ผู้รู้รู้กันว่าเลิศ รู้กันมานาน รู้กันว่าเป็นวงศ์ (ของพระอริยเจ้า) เป็นของเก่าไม่เกลื่อนกลาด ไม่เคยเกลื่อนกลาด ไม่ถูกระแวง ไม่ถูกสมณพราหมณ์ผู้รู้คัดค้านฉันใด. พระองค์ก็ได้ตรัสสรรเสริญเอกายนมรรคแม้นี้ไว้ ด้วยบท ๗ บท มีบทว่า เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลายเป็นต้นฉันนั้น.

หากจะถามว่า เพราะเหตุไร?

แก้ว่า เพื่อจะให้เกิดอุตสาหะแก่ภิกษุเหล่านั้น.

ด้วยว่า ภิกษุเหล่านั้น ครั้นได้สดับการตรัสสรรเสริญแล้ว จักเกิดอุตสาหะขึ้นว่า ทางสายนี้จะนําอุปัทวะทั้ง ๔ ออกไป คือ ความโศกที่เป็นสิ่งแผดเผาใจ ๑ ความคร่ําครวญที่เป็นการรําพันทางวาจา ๑ ความทุกข์ที่เป็นความไม่สําราญทางกาย ๑ ความเสียใจซึ่งเป็นความไม่แช่มชื่นทางใจ ๑ (และ) นําคุณวิเศษ ๓ อย่างมาให้ คือ วิสุทธิความหมดจด ๑ ญายธรรมที่ควรรู้ ๑ นิพพานความดับ (กิเลส) ๑ ดังนี้แล้ว จักสําคัญพระธรรมเทศนานี้ว่า ต้องเรียน ต้องท่อง ต้องจําทรงต้องบอกสอน และจักสําคัญทางสายนี้ว่าต้องเจริญ (ดําเนิน). พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสรรเสริญ (เอกายนมรรค) เพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดอุตสาหะ ด้วยประการดังที่พรรณนามานี้ เหมือนกับพ่อค้าผ้าขนสัตว์เป็นต้น กล่าวสรรเสริญคุณภาพผ้าขนสัตว์เป็นต้นฉะนั้น.

ความพิสดารว่า เมื่อพ่อค้าผ้าขนสัตว์สีเหลือง (ปัณฑุกัมพล) ราคาแสน โฆษณาว่า เชิญรับผ้าขนสัตว์ครับ คนทั้งหลายยังไม่ทราบก่อนว่า เป็นผ้ากัมพลชนิดโน้น. เพราะว่า แม้ผ้าเกสกัมพลและผ้าพาลกัมพลเป็นต้น ที่มีกลิ่นเหม็น เนื้อหยาบ (ห่มสาก) เขาก็เรียกว่า

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 655

ผ้ากัมพลเหมือนกัน. แต่เมื่อใดเขาโฆษณาว่า ผ้ากัมพลแดง จากคันธารราฐ เนื้อละเอียด มันเป็นเงา ห่มนุ่มนวล.

เมื่อนั้น คนที่มีทรัพย์พอ ก็จะรับ (ซื้อ) ส่วนคนที่มีไม่พอก็อยากชม ฉันใด. แม้เมื่อพระองค์ ตรัสว่า ทางสายนี้เป็นทางสายเอกก็ยังไม่ชัดแจ้งว่า เป็นทางสายโน้น ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะว่า ทางที่ไม่นําออกจากทุกข์นานัปการ เขาก็เรียกว่าทางเหมือนกัน. แต่เมื่อตรัสคํามีอาทิว่า สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เพื่อความหมดจดของสัตว์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายก็จะเกิดอุตสาหะว่า ได้ทราบว่า ทางสายนี้นําอุปัทวะทั้ง ๔ ออกไป นําคุณวิเศษ ๓ ประการมาให้ จักสําคัญพระธรรมเทศนานี้ว่า ต้องเรียน ต้องท่อง ต้องทรงจํา ต้องบอกสอนจักสําคัญทางนี้ว่าต้องเจริญ (ดําเนินตาม) ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะตรัสสรรเสริญ (เอกายนมรรค) จึงได้ตรัส ไว้ว่า สตฺตานํ วิสุทฺธิยา.

และในเรื่องนี้ ควรนําข้อเปรียบเทียบกับพ่อค้าทองชมพูนุทสีแดง พ่อค้าแก้วมณี น้ำใสสะอาด พ่อค้าแก้วมุกดาหาร ใสสะอาด และพ่อค้าแก้วประพาฬ ที่เจียระไนแล้วเป็นต้นมา เหมือนข้อเปรียบเทียบกับพ่อค้าปัณฑุกัมพลราคาแสนฉะนั้น.

อธิบายศัพท์ว่า ยทิทํ

ศัพท์ว่า ยทิทํ เป็นนิบาท มีเนื้อความเท่ากับ เย อิเม. ศัพท์ว่าจตฺตาโร เป็นการกําหนดนับ (จํานวนนับ). ด้วยศัพท์นั้น พระองค์ทรงแสดงถึงการกําหนด (จํานวน) สติปัฏฐานว่า มีไม่ต่ําไม่สูงไปกว่าจํานวนนั้น.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 656

แก้สติปัฏฐาน

บทว่า สติปัฏฐาน ได้แก่สติปัฏฐาน ๓ อย่าง คือ อารมณ์แห่งสติ ๑ การที่พระศาสดาไม่ทรงดีพระทัย และเสียพระทัย ในเมื่อสาวกทั้งหลายปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๓ อย่าง ๑ สติ ๑.

อธิบายว่า อารมณ์แห่งสติท่านเรียกว่า สติปัฏฐาน (เช่น) ในพระพุทธพจน์ทั้งหลาย มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดงการเกิด และการดับของสติปัฏฐาน ๔ อย่าง เธอทั้งหลายจงฟังเทศนานั้น ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดขึ้นแห่งกาย คืออะไร? การเกิดขึ้นแห่งอาหาร คือการเกิดขึ้นแห่งกาย.

อีกอย่างหนึ่ง อารมณ์ของสติท่านเรียกว่า สติปัฏฐาน (เช่น) ในคําทั้งหลายมีอาทิว่า กายเป็นที่เข้าไปตั้ง (ของสติ) ไม่ใช่ตัวสติ สติเป็นที่ตั้งด้วย เป็นตัวสติด้วย (ชื่อว่าสติปัฏฐาน) ดังนี้บ้าง.

สติปัฏฐานนั้นมีอรรถว่า ชื่อว่า ปัฏฐาน เพราะเป็นที่ตั้ง.อะไรตั้ง? สติตั้ง. ที่ตั้งของสติ ชื่อว่า สติปัฏฐาน. อีกอย่างหนึ่งสถานที่เป็นที่จอด (ประธาน) ฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัฏฐาน. สถานที่เป็นที่จอดของสตินั้น ชื่อว่า สติปัฏฐาน เหมือนกับสถานที่ยืนของช้างและสถานที่ยืนของม้าเป็นต้นฉะนั้น.

สติปัฏฐาน ๓ อย่าง คือ การที่พระศาสดาไม่ทรงดีพระทัย และเสียพระทัย ในเพราะสาวกทั้งหลายผู้ปฏิบัติในสติปัฏฐาน ๓ อย่าง ท่านเรียกว่า สติปัฏฐาน (เช่น) ในพระพุทธพจน์แม้นี้ว่า พระศาสดาผู้ทรงเป็นพระอริยเจ้า เมื่อทรงสร้องเสพสิ่งที่พระอริยเจ้าส้องเสพกัน ควรตามสอนหมู่คณะ ดังนี้. ข้อนั้น มีเนื้อความว่า ชื่อว่า

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 657

ปัฏฐานะ เพราะควรให้เริ่มตั้งไว้ อธิบายว่า เพราะควรให้เป็นไป (ประพฤติ).

เพราะควรให้อะไรตั้ง?

ควรให้สติตั้ง การตั้งสติ ชื่อว่าสติปัฏฐาน ดังนี้.

ก็สตินั้นเอง ท่านเรียกว่า สติปัฏฐาน ในคําทั้งหลายมีอาทิว่าสติปัฏฐาน ที่อบรมแล้ว ทําให้มากแล้ว ให้โพชฌงค์ ๗ ประการบริบูรณ์ได้. ในข้อนั้นมีเนื้อความว่า ชื่อว่า ปัฏฐาน เพราะตั้งไว้ อธิบายว่า เข้าไปตั้งไว้ คือ ก้าวลง แล่นไป เป็นไป. ปัฏฐาน คือสตินั้นเอง จึงชื่อว่า สติปัฏฐาน.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สติ เพราะอรรถว่า ระลึก ชื่อว่า ปัฏฐาน เพราะอรรถว่า เข้าไปตั้งไว้, สตินั้นด้วย การตั้งไว้ด้วย ฉะนั้น จึงชื่อว่า สติปัฏฐาน ด้วยประการดังนี้บ้าง. ในสติปัฏฐานสูตรนี้ ท่านประสงค์สติปัฏฐานข้อนี้.

ถามว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น เหตุไฉน คําว่า สติปัฏฐาน จึงเป็นพหูพจน์?

เพราะสติมีมาก.

ความจริง ว่าโดยประเภทแห่งอารมณ์ สตินั้นมีมาก.

เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร คําว่า มรรค (ซึ่งมีมากเหมือนกัน) จึงเป็นเอกพจน์.

เพราะมีอย่างเดียว โดยอรรถว่า จะต้องดําเนินไป.

จริงอยู่ สติเหล่านั้นแม้จะมี ๔ อย่าง แต่ก็ถึงความเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยอรรถว่า ต้องดําเนินไป. สมจริงดังที่ที่กล่าวไว้ว่า ทาง

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 658

ชื่อว่ามรรค เพราะหมายความว่าอะไร?

เพราะหมายความว่า เป็นเครื่องไปสู่นิพพาน และเพราะหมายความว่า ผู้มีความต้องการนิพพานจะต้องดําเนินไป.

ก็สติแม้ทั้ง ๔ อย่างเหล่านั้น เมื่อยังกิจให้สําเร็จ ในอารมณ์ทั้งหลาย มีกายเป็นต้น (จน) ถึงนิพพานในกาลภายหลัง และผู้มุ่งนิพพาน ก็ดําเนินไปตั้งแต่นั้น เพราะเหตุดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า สติแม้ทั้ง ๔ อย่างเป็นทางสายเอก.

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีเทศนาที่มีการสืบต่อกันมาตามลําดับทีเดียวด้วยการสืบต่อถ้อยคํากันมา เหมือนในพระพุทธพจน์ทั้งหลายมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดงทางสําหรับย่ํายีมารและเสนามาร เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทางสําหรับย่ํายีมารและเสนามารคืออะไร? คือโพชฌงค์ ๗ (องค์แห่งธรรมเป็นเหตุตรัสรู้) ทั้งทางสําหรับย่ํายีมาร และโพชฌงค์ ๗ โดยอรรถ ก็เป็นอันเดียว แต่พยัญชนะเท่านั้นต่างกัน ฉันใด เอกายนมรรค กับสติปัฏฐานสูตร ๔ ก็ฉันนั้น โดยอรรถเป็นอันเดียวกัน ในที่นี้ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น. เพราะฉะนั้น ควรเข้าใจว่า (มรรค) เป็นเอกพจน์ เพราะเป็นอย่างเดียวกัน โดยอรรถว่า จะต้องดําเนินไป (และ) ควรเข้าใจ (สติปัฏฐาน) ว่าเป็นพหูพจน์ เพราะสติมีมากโดยประเภทแห่งอารมณ์.

เหตุที่ตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่าง

แต่เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสสติปัฏฐานไว้ ๔ อย่างเท่านั้น ไม่ยิ่งไม่หย่อน (ไปกว่านั้น) ?

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 659

เพราะทรงเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์.

อธิบายว่า บรรดาเวไนยสัตว์ทั้งหลาย พวกตัณหาจริต พวกทิฏฐิจริต พวกสมถยานิกะ และวิปัสสนายานิกะ (แยก) เป็นพวกละ ๒ ตามอ่อนและแก่กล้า ผู้มีตัณหาจริตอย่างอ่อน มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์หยาบเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์. แต่ผู้มีตัณหาจริตแก่กล้า มีเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานที่ละเอียด เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์.แม้ผู้มีทิฏฐิจริตอย่างอ่อน มีจิตตานุปัสสนาสติปักฐาน ที่มีอารมณ์แยกออกไม่มากนักเป็นทางแห่งความบริสุทธิ์. แต่ผู้มีทิฏฐิจริตแก่กล้า มีธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่มีอารมณ์แยกประเภทออกไปมาก เป็นทางแห่งวิสุทธิ. และสติปัฏฐานข้อแรกที่มีนิมิตจะที่พึงประสบได้ไม่ยาก เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ของสมถยานิกบุคคลประเภทยังอ่อน. ข้อที่ ๒ เป็นทางแห่งวิสุทธิสมถยานิกบุคคลประเภทแก่กล้า. เพราะท่านดํารงอยู่ได้ไม่มั่นคงในอารมณ์ที่หยาบ. ข้อที่ ๓ ที่มีอารมณ์แยกประเภทออกไปไม่มากนัก เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์แม้ของวิปัสสนายานิกบุคคลประเภทยังอ่อน. ข้อที่ ๔ ที่มีอารมณ์แยกประเภทออกไปมาก เป็นทางแห่งความบริสุทธิ์ของวิปัสสนายานิกบุคคลประเภทแก่กล้า. สติปัฏฐานจึงตรัสไว้ ๔ อย่างเท่านั้น ไม่ยิ่งไม่หย่อน ด้วยประการดังที่พรรณนามาน ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง (ที่ทรงแสดงไว้ ๔ อย่างเท่านั้น) เพื่อละวิปลาสคือความงาม ความสุข ความเที่ยง และความเป็นตน. ความจริง กายเป็นของไม่งาม แต่สัตว์ทั้งหลายดํารงอยู่อย่างวิปริต สําคัญผิดในกายนั้นว่างาม สติปัฏฐานข้อที่ ๑ ตรัสไว้สําหรับสัตว์เหล่านั้น เพื่อให้ละสุภวิปลาสนั้น ด้วยการเห็นว่าไม่งามในกายนั้น. และในเวทนาเป็นต้น แม้ที่สัตว์

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 660

ทั้งหลายยึดถือว่า เป็นสุข เที่ยง เป็นอัตตา (ก็มีนัยนี้คือ) เวทนาเป็นทุกข์ จิตไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่สัตว์เหล่านั้นดํารงอยู่อย่างวิปริต สําคัญผิดในเวทนา จิต และธรรมเหล่านั้นว่า เป็นสุข เที่ยงและเป็นอัตตา ตรัส ๓ อย่างที่เหลือไว้สําหรับสัตว์เหล่านั้น เพื่อให้ละวิปลาสที่เหลือเหล่านั้น ด้วยการเห็นเวทนาเป็นต้นเหล่านั้นว่า เป็นทุกข์เป็นต้น ดังนี้.

เมื่อเป็นเช่นนี้ สติปัฏฐาน ก็ควรเข้าใจไว้ว่า พระองค์ตรัสไว้ ๔ อย่างเท่านั้น ไม่ยิ่งไม่หย่อน (ไปกว่านี้) ก็เพื่อให้ละสุภวิปลาส สุขวิปลาส นิจจวิปลาส และอัตตวิปลาส. และไม่ใช่เพียงตรัสไว้เพื่อให้ละวิปลาสอย่างเดียวเท่านั้น แต่ควรเข้าใจไว้ว่า ตรัสไว้ ๔ อย่างเท่านั้น ก็เพื่อให้ละโอฆะ ๔ โยคะ ๔ อาสวะ ๔ คันถะ ๔ และอุปทานทั้ง ๔ และอคติ ๔ ด้วย เพื่อให้กําหนดรู้อาหารทั้ง ๔ ด้วย. นี้เป็นนัยตามปกรณ์ก่อน.

มติของอรรถกถา

ส่วนในอรรถกถา ท่านกล่าวไว้เท่านี้เท่านั้นแหละว่า โดยระลึกและโดยการประมวลลงสู่จุดเดียวกันแล้ว สติปัฏฐานก็มีอย่างเดียวเท่านั้นแต่โดยอารมณ์ ๔ อย่าง. อุปมาเสมือนหนึ่งว่าในพระนครที่มีประตู ๔ ประตู คนมาจากทิศตะวันออก ถือเอาสิ่งของที่มีขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วเข้าพระนครนั้นเอง ทางประตูด้านตะวันออก คนมาจากทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศอุดร ถือเอาสิ่งของที่มีขึ้นทางทิศอุดรแล้ว เข้าสู่พระนคร

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 661

นั้นเอง ทางทิศอุดรฉันใด ข้ออุปไมยที่ให้อุปมาถึงพร้อมนี้ ก็ควรทราบฉันนั้น.

ข้อเปรียบเทียบ

ความจริง พระนิพพาน เหมือนพระนคร.

โลกุตตรมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เหมือนประตูพระนครหลวง.

กายเป็นต้น เหมือนทิศตะวันออก เป็นต้น.

และพระโยคาวจรทั้งหลาย เมื่อมาด้วยอํานาจกายานุปัสสนาเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานโดยวิธี ๑๔ อย่างแล้ว จะไปรวมลงสู่ทีเดียวกัน คือพระนิพพานนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของกายานุปัสสนา เหมือนคนทั้งหลายที่มาจากทิศตะวันออก ถือเอาสิ่งของที่มีขึ้นทางทิศตะวันออกแล้ว ก็เข้าถึงพระนครได้เหมือนกันทางประตูทิศตะวันออกได้ฉะนั้น.

พระโยคาจร เมื่อดําเนินมาทางประตูเวทนานุปัสสนา เจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยวิธี ๙ อย่าง ก็ไปรวมลงสู่ทีเดียวกันคือพระนิพพานนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เหมือนผู้มาจากทิศใต้ ถือเอาสิ่งของที่มีขึ้นจากทิศใต้ก็เข้าถึงพระนครเหมือนกันทางประตูทิศใต้ฉะนั้น.

พระโยคาวจรทั้งหลาย เมื่อดําเนินมาทางประตูจิตตานุปัสสนาเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยวิธี ๑๖ อย่าง จะไปรวมที่เดียวกันคือพระนิพพานนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เหมือนผู้มาจากทิศตะวันตก ถือเอาสิ่งของที่มีขึ้น

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 662

จากทิศตะวันตก ก็เข้าถึงพระนครเหมือนกันทางทิศตะวันตกฉะนั้น.

และพระโยคาวจรทั้งหลาย เมื่อดําเนินมาทางประตูธัมมานุปัสสนาเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยวิธี ๕ อย่างแล้วจะไปรวมที่เดียวกันคือ พระนิพพานนั่นเอง ด้วยอริยมรรคที่เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เหมือนกับผู้มาจากทิศเหนือ ถือเอาสิ่งของที่มีขึ้นจากทิศเหนือ ก็เข้าถึงพระนครเหมือนกันทางประตูทิศเหนือได้ฉะนั้น.

สติปัฏฐาน พึงทราบว่า ตรัสไว้อย่างเดียวเท่านั้น โดยการระลึกและโดยการรวมลงสู่จุดเดียวกัน พึงทราบว่า ตรัสไว้ ๔ อย่างนั้นแหละโดยอารมณ์ ด้วยประการฉะนี้.

ความหมายของภิกษุ

บทว่า กตเม จตฺตาโร (๔ อย่าง คืออะไร) เป็น กเถตุกมฺมยตาปุจฺฉา (คําถามเพื่อจะตอบเอง)

บทว่า อิธ ได้แก่ อิมสฺมิํ โยก สาสเน แปลว่า ในศาสนานี้.คําว่า ภิกฺขเว นี้เป็นคําเรียกบุคคลผู้จะรับธรรมะ. คําว่า ภิกฺขุ เป็นคําแสดงถึงบุคคล ผู้จะยังข้อปฏิบัติให้ถึงพร้อม อีกอย่างหนึ่ง เทวดาและมนุษย์แม้เหล่าอื่น ก็ยังข้อปฏิบัติให้ถึงพร้อมได้เหมือนกัน.

แต่พระองค์ตรัสเรียกว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ประเสริฐ และเพราะทรงแสดงถึงภิกขุภาวะด้วยข้อปฏิบัติ.

เพราะว่า เมื่อภิกษุทั้งหลาย ปฏิบัติตามอนุศาสนี ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็จะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด เพราะเป็น (เสมือน) ภาชนะ (รองรับ) อนุศาสนีทุกประการ. เพราะฉะนั้น

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 663

พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุ เพราะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด.

ก็ทรงระบุถึงภิกษุนั้นแล้ว เทวดาและมนุษย์ที่เหลือก็เป็นอันทรงระบุถึงด้วยเหมือนกัน เหมือนบริษัทที่เหลือถูกระบุถึงด้วยราชศัพท์ในกิจทั้งหลายมีการเสด็จพระราชดําเนินเป็นต้น.

และผู้ใดปฏิบัติข้อปฏิบัตินี้ ผู้นั้น ก็ชื่อว่า ภิกษุ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุ เพราะทรงแสดงถึงภิกขุภาวะ. ด้วยข้อปฏิบัติบ้าง. ผู้ปฏิบัติจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม เข้าถึงการนับว่าเป็นภิกษุทั้งนั้น. สมดังที่ตรัสไว้ว่า

ถึงผู้ที่ประดับประดาแล้ว หากประพฤติธรรมสม่ําเสมอ สงบแล้ว ฝึกแล้ว มีคติที่แน่นอน ประพฤติพรหมจรรย์ เขาเว้นอาชญาในสัตว์ทั้งมวลเสียแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ.

อธิบายคําว่า กาย

บทว่า กาเย ได้แก่ในรูปกาย. ความจริง รูปกายพระองค์ทรงประสงค์ว่า กายในพระสูตรนี้ เหมือนกายช้าง และกายม้าเป็นต้น.เพราะอรรถว่า เป็นที่รวมของอวัยวะน้อยใหญ่ และของรูปธรรมทั้งหลายมีผมเป็นต้น.

ก็ (รูปกาย) ชื่อว่า กาย เพราะอรรถว่า เป็นที่ชุมนุม (แห่งอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลาย) ฉันใด ชื่อว่า กาย เพราะอรรถว่า เป็นที่มาถึง แห่งสิ่งที่น่าเกลียดทั้งหลาย ฉันนั้น.

เพราะว่า รูปกายนั้น เป็นที่มาถึง แห่งสิ่งที่น่าเกลียดทั้งหลาย

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 664

คือสิ่งที่น่าขยะแขยงอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่ากายบ้าง.

บทว่า อาโย ได้แก่แดนเกิด (ของสิ่งน่าเกลียด) ในบทว่ากาโยนั้น มีอรรถพจน์ดังต่อไปนี้ :-

ชื่อว่า อายะ เพราะเป็นแดนเกิด.

อะไรเกิด?

อวัยวะทั้งหลายมีผมเป็นต้น ที่น่าเกลียดเกิด ชื่อว่า กาย เพราะเป็นแดนเกิด แห่งสิ่งที่น่าเกลียดทั้งหลาย ด้วยประการอย่างนี้.

บทว่า กายานุปสฺสี ได้แก่ผู้พิจารณา เห็นกายเนืองๆ เป็นปกติหรือผู้พิจารณาเห็นอยู่เนืองๆ ซึ่งกาย.

แลควรทราบไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงแม้ตรัสไว้แล้วว่า กาเยแต่ก็ทรงทํา (ตรัส) กายศัพท์ไว้เป็นครั้งที่ ๒ อีกว่า กายานุปสฺสีเพื่อจะทรงแสดงถึงการแยกก้อน (ฆนสัญญา) ออกไปด้วยการกําหนดด้วยจตุธาตุววัตถานกรรมฐาน โดยไม่ให้ปะปนกัน พระโยคาวจรไม่ใช่เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในกาย หรือพิจารณาเห็นจิตและธรรมในกาย.โดยที่แท้แล้ว เป็นผู้พิจารณาเห็นกาย (ในกาย) นั้นเอง. เพราะฉะนั้นด้วยบทว่า กายานุปสฺสี นั้น จึงเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงการกําหนดโดยมิให้ปนกัน ด้วยการทรงแสดงเฉพาะอาการคือการพิจารณาเห็นกายในวัตถุกล่าวคือกายนั้นเอง.

อนึ่ง ไม่ใช่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมอย่างเอก นอกเหนือไปจากอวัยวะน้อยใหญ่ในกาย ทั้งไม่ใช่เป็นผู้พิจารณาเห็นหญิงหรือบุรุษนอกเหนือไปจากผม ขน เป็นต้น ในกาย.

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 665

พิจารณากาย

และในคําว่า กาเย กายานุปสฺสี นี้ ไม่ใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างเอกนอกเหนือจาก (มหา) ภูตรูป และอุปาทายรูป แม้ในกายกล่าวคือชุมนุม (มหา) ภูตรูป และอุปาทายรูป มีผม ขน เป็นต้น.โดยที่แท้แล้ว ก็เป็นผู้พิจารณาเห็นชุมนุมแห่งองคาพยพ เหมือนผู้มองเห็นเครื่องประกอบของรถฉะนั้น เป็นผู้พิจารณาเห็นชุมนุมแห่งผม ขนเป็นต้น เหมือนผู้เห็นส่วนต่างๆ ของตัวเมืองฉะนั้น และเป็นผู้พิจารณาเห็นชุมนุมแห่ง (มหา) ภูตรูป และอุปาทายรูปนั้นแหละ เหมือนคนลอกกาบกล้วยออกจากต้นกล้วยฉะนั้น และเหมือนคนแบกํามือเปล่าออกอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น โดยการทรงแสดงวัตถุ กล่าวคือกายด้วยอํานาจแห่งชุมนุม โดยประการต่างๆ นั้นเอง เป็นอันพระองค์ทรงแสดงกายแยกฆนสัญญาออกไปแล้ว. เพราะว่า ในคําว่า กาเย กายานุปสฺสี นี้ จะไม่เห็นเป็นกาย เป็นหญิง เป็นชาย หรือเป็นธรรมอะไรอื่น นอกเหนือไปจากชุมนุมแห่งธรรมตามที่กล่าวแล้ว. แต่สัตว์ทั้งหลาย ทําความเชื่อมั่นผิดๆ อย่างนั้นอย่างนั้น ในสภาวะเพียงการชุมนุมธรรมตามที่กล่าวแล้วเท่านั้น. เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวไว้ว่า :-

สิ่งใดที่บุคคลเห็นอยู่ สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นแล้ว สิ่งใดที่บุคคลเห็นแล้ว สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเห็นอยู่ เมื่อไม่เห็น (ตามความเป็นจริง) จึงหลงติดอยู่ เมื่อ (หลง) ติดอยู่ ย่อมไม่หลุดพ้น.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 666

มีอธิบายว่า เพื่อแสดงถึงการแยก ความเป็นก้อน (ฆนสัญญา) ออกไปเป็นต้น.

และด้วยอาทิศัพท์ ในคําว่า ฆนวินิพฺโภคาทิทสฺสนตฺถํ นี้ ก็ควรทราบอรรถาธิบายดังต่อไปนี้ :-

ความจริง พระโยคาวจรนี้พิจารณาเห็นกายอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่น.

มีอธิบายไว้อย่างไร?

มีอธิบายไว้ว่า คน (ทั่วไป) มองเห็นพยับแดด ที่ไม่ใช่น้ำเลยว่าเป็นน้ำฉันใด พระโยคาวจรไม่ใช่เหมือนอย่างนั้น คือไม่เห็นกายนี้ที่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และไม่งามเลยว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา และเป็นของงามไป โดยที่แท้แล้ว พิจารณาเห็นเป็น (แต่สักว่า) กาย คือพิจารณาเห็นว่า เป็นที่ประชุมของกายที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และเป็นของไม่งาม เท่านั้น.

อีกอย่างหนึ่ง ควรทราบเนื้อความแม้อย่างนี้ว่า กายนี้ใด มีลมหายใจออก หายใจเข้าเป็นเบื้องต้น มีกระดูกที่กลายเป็นผุยผงไปเป็นที่สุด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ก่อนแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุนี้ในศาสนานี้ไปสู่ป่าหรือ ฯลฯ ภิกษุนั้น มีสติ หายใจออกและกายใดที่พระสารีบุตรกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทามรรค ว่า พระโยคาวจรลางรูปในศาสนานี้ พิจารณาเห็นกายคือดิน กายคือน้ำ กายคือไฟ กายคือลม กายคือผม กายคือขน กายคือผิว กายคือหนัง กายคือเนื้อ กายคือเลือด กายคือเอ็น กายคือกระดูก และกายคือเยื่อในกระดูก โดยเป็นของไม่เที่ยง เพราะพิจารณาเห็นกายนั้นทั้งหมดใน

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 667

กายนี้นั่นแล พระโยคาวจรจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกาย

อีกอย่างหนึ่ง ควรทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า พิจารณาเห็นกายกล่าวคือที่ประชุมรูปธรรมมีผม เป็นต้น ในกายต่างๆ เพราะไม่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งในกายที่จะต้องยึดถืออย่างนี้ว่า เราหรือของเรา แต่เพราะพิจารณาเห็นชุมนุมของรูปธรรมต่างๆ นั้นๆ เอง มีผมและขนเป็นต้น

อีกอย่างหนึ่งควรเข้าใจเนื้อความอย่างนี้ว่า เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย แม้เพราะพิจารณาเห็นกาย กล่าวคือชุมนุมอาการมีอนิจจลักษณะเป็นต้น ทั่วทุกอย่างในกายนี้ มีนัยดังที่มาแล้วในปฏิสัมภิทามรรคโดยนัยมีอาทิว่าพิจารณาเห็น โดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่เห็นโดยความเป็นของเที่ยง.

จริงอย่างนั้น ภิกษุผู้ปฏิบัติ กาเย กายานุปัสสนาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติว่าด้วยการพิจารณากายในกาย) นี้ พึงทราบว่า จะพิจารณาเห็นกายนี้ ด้วยอํานาจของอนุปัสสนา ๗ ประการ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น คือจะพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่จะพิจารณาเห็นโดยความเป็นของเที่ยง จะพิจารณาเห็นโดยเป็นทุกข์ไม่ใช่จะพิจารณาเห็นโดยเป็นสุข จะพิจารณาเห็นโดยเป็นอนัตตา ไม่ใช่จะพิจารณาเห็นโดยเป็นอัตตา จะเบื่อหน่าย ไม่ใช่จะเพลิดเพลิน จะคลายความกําหนัดยินดี ไม่ใช่จะกําหนัดยินดี จะดับ (ตัณหา) ไม่ใช่จะให้เกิด (ตัณหา) จะสลัดออกไป ไม่ใช่จะยึดมั่นไว้ เธอเมื่อพิจารณาเห็นกายนั้นโดยความไม่เที่ยง ก็จะละนิจจสัญญาได้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ก็จะละสุขสัญญาได้ เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา ก็จะละอัตตสัญญาได้ เมื่อเบื่อหน่ายก็จะละนันทิธรรม ความเพลิดเพลินได้ เมื่อคลายกําหนัด ก็จะละราคะ

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 668

ได้ เมื่อดับ (ตัณหา) ก็จะละสมุทัยได้ เมื่อสลัดออกได้ ก็จะละการยึดมั่นได้.

อธิบายบท อาตาปี สติมา สมฺปชาโน

บทว่า วิหรติ ได้แก่การดําเนินไป.

ในบทว่า อาตาปี พึงทราบวิเคราะห์ดังนี้ ชื่อว่า อาตาปะ เพราะอรรถว่า ย่อมเผาผลาญกิเลสในภพ ๓. คําว่า อาตาปะนี้เป็นชื่อของวิริยะ. อาตาปะ ของภิกษุนั้นมีอยู่ เหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงชื่อว่า อาตาปี.

บทว่า สมฺปชาโน ได้แก่ประกอบด้วยญาณ กล่าวคือสัมปชัญญะ.

บทว่า สติมา คือประกอบด้วยสติที่ใช้กําหนดกาย.

ก็ธรรมดาว่า อนุปัสสนา นี้ จะไม่มีแก่ผู้ปราศจากสติเลย เพราะพระโยคาวจรใช้สติกําหนดอารมณ์แล้ว จึงพิจารณาเห็น (กายเป็นตน) ด้วยปัญญา เพราะเหตุนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ก็แลภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตพูดถึงสติว่ามีประโยชน์ในธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น ในพระสูตรนี้ พระองค์จึงตรัสไว้ว่า กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ (พิจารณาเห็นกายในกายอยู่). ด้วยคําเพียงเท่านี้ เป็นอันพระองค์ตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐานกรรมฐาน.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่ผู้ที่ไม่มีความเพียร ความหดหู่ภายในย่อมทําอันตรายให้ได้ ผู้ที่ไม่มีสัมปชัญญะ ย่อมเป็นผู้หลงลืมสติ ในการกําหนดอุบาย และในการเว้นสิ่งที่ไม่ใช่อุบาย คือเป็นผู้ไม่สามารถในการกําหนดอุบาย และในการสลัดทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่อุบาย (และ) กรรมฐานนั้น จะไม่สําเร็จแก่เธอด้วยวิธีนั้น ฉะนั้น พึงทราบว่า เพื่อจะทรงแสดงธรรมทั้งหลายที่มีอานุภาพเป็นเหตุสําเร็จแห่งกรรมฐานนั้น พระ

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 669

องค์จึงตรัสคํานี้ไว้ว่า อาตาปี มีความเพียร สมฺปชาโน มีสัมปชัญญะ สติมา มีสติ.

อธิบายบท วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกายานุปัสสนาสติปัฏฐานและวิธีประกอบกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ด้วยประการอย่างนี้แล้วบัดนี้ เพื่อจะแสดงองค์แห่งการละกิเลส จึงได้ตรัสว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ พึงขจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิเนยฺย ได้แก่พรากออกไปด้วยการพรากออกไปด้วยองค์นั้น หรือด้วยการพรากออกไปด้วยการข่มไว้.

บทว่า โลเก ได้แก่ในกายนั้นเอง. ความจริง กาย พระองค์ทรงประสงค์เอาว่าโลกในที่นี้ เพราะอรรถว่า แตกสลาย. แต่เพราะเหตุที่เธอไม่ใช่จะละอภิชฌาและโทมนัสได้เฉพาะเพียงแต่ในกายเท่านั้น แม้ในเวทนาเป็นต้นก็ละได้เหมือนกัน ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่า โลก คือ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕.

อีกอย่างหนึ่ง เพราะธรรมเหล่านั้นถูกนับว่าเป็นโลก คําว่า โลกนั้น ท่านจึงกล่าวไว้โดยอัตถุทธารนัย (โดยการขยายความ) ส่วนคําใดที่ท่านกล่าวไว้ว่า ในธรรมเหล่านั้น อันไหนเป็นโลก กายนั้นแหละเป็นโลก. นี้แหละเป็นอรรถาธิบายในคํานี้. พึงเห็นการสัมพันธ์ความอย่างนี้ว่ากําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกนั้นออกไปได้.

ก็เพราะเหตุที่ในสูตรนี้ กามฉันทะสงเคราะห์เข้ากับศัพท์ว่าอภิชฌา พยาบาทสงเคราะห์เข้ากับศัพท์ว่าโทมนัส ฉะนั้น พึงทราบว่า

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 670

การละนิวรณ์เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ด้วยการแสดงธรรมสองอย่างที่มีกําลังอันนับเนื่อง (กับการละ) นิวรณ์ แต่โดยพิเศษแล้วในสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละ ความยินดีที่มีกายสมบัติเป็นมูลด้วยการขจัดอภิชฌา (และ) ความยินร้ายที่มีกายวิบัติเป็นมูลอีกด้วย การกําจัดโทมนัส อนึ่ง ตรัสการละความยินดีในกาย ด้วยการกําจัดอภิชฌา (และ) ความไม่ยินดีในการเจริญกายภาวนา ด้วยการกําจัดโทมนัส ตรัสการละ การเพิ่มความสวยงาม และความสุขเป็นต้น ที่ไม่มีอยู่จริงในกายด้วยการกําจัดอภิชฌา และการนําออกซึ่งความไม่สวยงามและความเป็นทุกข์ที่มีอยู่จริงในกาย ด้วยการกําจัดโทมนัส.

ด้วยคําว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌา โทมนสฺสํ นั้น เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานุภาพแห่งการบําเพ็ญเพียร และความเป็นผู้สามารถในการบําเพ็ญเพียรของพระโยคาวจรไว้แล้ว. ความจริงอานุภาพของความเพียรนั้น ได้แก่การที่พระโยคาวจรเป็นผู้ปลอดพ้นไปจากความยินดีและความยินร้าย เป็นผู้ข่มความยินดีและความยินร้ายเสียได้และเป็นผู้เว้นจากการเพิ่มสิ่งที่ไม่เป็นจริงเข้าไป และนําสิ่งที่เป็นจริงออกมา. ก็พระโยคาวจรนี้ เมื่อปลอดพ้นจากความยินดีและความยินร้าย ข่มเสียได้ซึ่งความยินดีและไม่ยินดี ไม่เพิ่มสิ่งที่ไม่เป็นจริงเข้าไป และไม่นําสิ่งที่เป็นจริงออกมา ย่อมชื่อว่าเป็นผู้สามารถในการบําเพ็ญเพียรแล.

อีกนัยหนึ่ง พึงทราบว่า พระองค์ตรัสกรรมฐานไว้ด้วยอนุปัสสนา (การพิจารณาเนืองๆ) ในบทว่า กาเย กายานุปสฺสี นี้. ตรัสการบริหารกายไว้ สําหรับผู้บําเพ็ญกรรมฐาน ด้วยการพักผ่อนดังที่กล่าวไว้แล้วในบทว่า วิหรติ.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 671

ในบทว่า อาตาปี เป็นต้น พระองค์ตรัส สัมมัปปธาน (ความเพียรชอบ) ไว้ด้วยอาตาปะ (ความเพียรเป็นเหตุให้กิเลสเร่าร้อน) ตรัสกรรมฐานที่ให้สําเร็จประโยชน์ทุกอย่าง หรืออุบายสําหรับบริหารกรรมฐานไว้ด้วยสติสัมปชัญญะ. อีกอย่างหนึ่ง ตรัสสมถะที่ได้มาแล้วด้วยอํานาจกายานุปัสสนาไว้ด้วยสติ. ตรัสวิปัสสนาด้วยสัมปชัญญะ.ตรัสพลังแห่งภาวนาไว้ด้วยการขจัดอภิชฌาและโทมนัสออกไป.

อธิบายบท อนุปสฺสี

แต่ในคัมภีร์วิภังค์ พระองค์ตรัสไว้ว่า บทว่า อนุปสฺสี ความว่าบรรดาธรรมเหล่านั้น อนุปัสสนา คืออะไร?

คือปัญญา การรู้ทั่วถึง ฯลฯ สัมมาทิฏฐิ นี้เรียกว่า อนุปัสสนา.ภิกษุเข้าถึง เข้าถึงเรียบร้อยแล้ว เข้ามาถึงแล้ว เข้ามาถึงเรียบร้อยแล้วเข้าไปถึงแล้ว ถึงพร้อมแล้ว ประกอบแล้วด้วยอนุปัสสนานี้ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า อนุปสฺสี ผู้พิจารณาเห็นเนืองๆ

บทว่า วิหรติ ความว่า ย่อมผลัดเปลี่ยน เป็นไป รักษาไว้ดําเนินไปเอง ให้ (ร่างกาย) ดําเนินไป นําไป พักผ่อน ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสเรียกว่า วิหรติ.

บทว่า อาตาปี ความว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น อาตาปะ (ความเพียร) คืออะไร?

คือ การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ ความพยายามชอบนี้เรียกว่า อาตาปะ ภิกษุเป็นผู้เข้าถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบพร้อมแล้วด้วยอาตาปะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า อาตาปี.

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 672

บทว่า สมฺปชาโน ความว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น สัมปชัญญะคืออะไร?

คือ ปัญญา ความรู้ทั่วถึง ฯลฯ สัมมาทิฏฐิ นี้เรียกว่าสัมปชัญญะ. ภิกษุเป็นผู้เข้าถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบพร้อมแล้วด้วยสัมปชัญญะนี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สมฺปชาโน.

บทว่า สติมา ความว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น สติ คืออะไร?

คือ สติ ความระลึกได้ อนุสสติ ความระลึกถึงเนืองๆ ฯลฯ สัมมาสติ ความระลึกชอบ นี้เรียกว่า สติ. ภิกษุเป็นผู้เข้าถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบพร้อมแล้วด้วยสตินี้ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า ผู้มีสติ.

บทว่า วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ ความว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น โลก คืออะไร?

กายนั้นเอง ชื่อว่า โลก โลกคืออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นี้เรียกว่า โลก.

บรรดาธรรมเหล่านั้น อภิชฌาคืออะไร?

คือ ความกําหนัด ความกําหนัดแรงกล้า ความยินดี ความคล้อยตาม ความเพลิดเพลิน ความกําหนัดด้วยอํานาจควานเพลิดเพลิน ความกําหนัดแรงกล้าแห่งจิต นี้เรียกว่า อภิชฌา.

บรรดาธรรมเหล่านั้น โทมนัส คืออะไร? คือ ความไม่ยินดีทางใจความทุกข์ทางใจ ความไม่ยินดี ทุกขเวทนา เกิดแต่สัมผัสทางใจ นี้เรียกว่า โทมนัส.

ทั้งอภิชฌา ทั้งโทมนัสในโลก คือ กายนี้ เป็นอันถูกขจัดแล้ว ถูกกําจัดออกไปแล้ว สงบแล้ว เงียบแล้ว ระงับแล้ว ถึงการดับแล้ว ถึงการตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว ถึงการดับสูญไป ไม่อิ่มเอิบแล้ว สิ้นปรีดาแล้ว

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 673

ซูบซีดแล้ว เหี่ยวแห้งแล้ว ทําให้เสื่อมสิ้นแล้ว ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ขจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก คือกายได้ เนื้อความของบทเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วอย่างที่พรรณนามานี้ นักศึกษาพึงทราบนัยแห่งอรรถกถานี้ พร้อมด้วยเนื้อความนั้นโดยการเทียบเคียงกันเถิด

นี้เป็นกถาพรรณนาความแห่งอุเทศแห่งกายานุปัสสนาสติปัฏฐานก่อน.

อธิบายเวทนานุปัสสนา

บัดนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบประโยชน์ ในการกล่าวซ้ำ เวทนาเป็นต้นในคํามีอาทิอย่างนี้ว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ (ซึ่งมีรวมอยู่ในคํานี้ว่า เวทนาสุ... จิตฺเต... ธมฺเมสุ... ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ ฯลฯ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ โดยนัยดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในกายานุปัสสนา.

ก็ในคําว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี นี้ คําว่า เวทนา ได้แก่เวทนา ๓ และเวทนานั้น เป็นโลกิยะอย่างเดียว ถึงแม้จิตก็เหมือนกัน เป็นโลกิยะ.ธรรมก็เช่นนั้นเหมือนกัน (เป็นโลกิยะ). การจําแนกเวทนาเป็นต้นเหล่านั้น จักปรากฏในนิเทศวาร. แต่ในที่นี้ พึงทราบการจําแนกเวทนาล้วนๆ ไว้ว่า เวทนาต้องพิจารณาเห็นอย่างใด พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นอย่างนั้น ก็ชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา. ในจิตตานุปัสสนา และธรรมานุปัสสนา ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ถามว่า ก็เวทนาควรพิจารณาเห็นอย่างไร?

ตอบว่า ก่อนอื่น สุขเวทนาควรพิจารณาให้เห็นโดยเป็นทุกข์

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 674

ทุกขเวทนาควรพิจารณาให้เห็นโดยเป็นเสมือนลูกศร อทุกขมสุข เวทนา (เวทนาไม่ทุกข์ ไม่สุข) ควรพิจารณาให้เห็นโดยเป็นของไม่เที่ยง. ดังที่ตรัสไว้ว่า :-

ภิกษุรูปใดได้เห็นควานสุขโดยเป็นความทุกข์ ได้เห็นความทุกข์โดยเป็นลูกศร ได้เห็นความไม่ทุกข์ไม่สุขที่มีอยู่ โดยเป็นสิ่งไม่เที่ยง แน่นอนแล้ว ภิกษุรูปนั้นเป็นผู้เห็นชอบ จักเป็นผู้สงบ เที่ยวไป.

ก็เวทนาหมดทุกอย่างนี้ ควรพิจารณาให้เห็นว่าเป็นทุกข์. สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้เสวยแล้ว เราตถาคตกล่าวสิ่งนั้นทั้งหมดว่า (รวมลงใน) ทุกข์.

อีกอย่างหนึ่ง สุขเวทนา ก็ควรพิจารณาให้เห็นโดยเป็นทุกข์.ดังที่ตรัสไว้ว่า เวทนานี้เป็นสุข ความสุขที่ดํารงอยู่ เป็นวิปริณามทุกข์ เพราะฉะนั้น ควรขยายให้พิสดารทุกข้อ.

อีกอย่างหนึ่ง เวทนาก็ควรพิจารณาให้เห็น แม้โดยอนุปัสสนาทั้ง ๗ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น. คําที่เหลือ จักมีปรากฏในนิเทศวารนั้นแหละ.

แม้บรรดาจิต และธรรม จิตก็ควรพิจารณาให้เห็น โดยการแยกออกไปเป็นจิตมีราคะเป็นต้น ที่มาแล้ว ในนิเทศวารแห่งอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ที่จําแนกออกเป็นต่างๆ กัน มีอารมณ์ อธิบดี สหชาตธรรม ภูมิ กรรม วิบาก และกิริยา เป็นต้น. (ธรรม) ก็ควรพิจารณาให้เห็นโดยลักษณะของตน และลักษณะที่เสมอกัน ของธรรม.โดยสุญญตธรรม, โดยอนุปัสสนาทั้ง ๗ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 675

และโดยจําแนกออกเป็นสันตธรรม (ธรรมที่สงบ) และอสันตธรรม (ธรรมที่ไม่สงบ) เป็นต้น ที่มาแล้วในนิเทศวาร. คําที่เหลือ มีนัยดุจที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ.

ก็ในการละอภิชฌาและโทมนัสเป็นต้นนี้ ผู้ใด ละอภิชฌาและโทมนัสในโลก กล่าวคือกายได้แล้ว ผู้นั้น ก็ละอภิชฌาและโทมนัสแม้ในโลก คือเวทนาเป็นต้นได้อยู่นั่นเอง ก็จริง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ได้ตรัสทุกๆ นิเทศวาร โดยบุคคลแตกต่างกัน และโดยสติปัฏฐานภาวนา ที่ปรากฏขึ้นในขณะจิตแตกต่างกัน. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าโดยเหตุที่อภิชฌาและโทมนัสที่ละได้ในวาระหนึ่งแล้ว ก็เป็นอันละได้แม้ในวาระที่เหลือนั่นแหละ แม้เพื่อทรงแสดงการละอภิชฌาและโทมนัสไว้ในวาระนั้น จึงได้ตรัสไว้อย่างนี้ ดังนี้แล.

จบ อรรถกถาว่าด้วยอุเทศวาร

สมาธิ ๔

[๑๓๓] บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพุทธประสงค์จะให้สัตว์ทั้งหลายบรรลุคุณวิเศษมากประการ ด้วยพระธรรมเทศนาว่าด้วยสติปัฏฐาน จึงทรงจําแนกสัมมาสมาธิข้อเดียวนั่นแหละ ออกเป็น ๔ ข้อตามอารมณ์ โดยนัยมีอาทิว่า สติปัฏฐานมี ๔ อย่าง ๔ อย่างคืออะไร? คือ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายดังนี้แล้ว ต่อไป เมื่อจะทรงเอาสติปัฏฐานแต่ละข้อมาจําแนกออกไป (อีก) จึงได้ทรงปรารภเพื่อตรัสนิเทศวารไว้โดยนัยมีอาทิว่า กถฺจ

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 676

ภิกฺขเว (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นไฉน?) อุปมาเหมือนกับช่างจักสานผู้ฉลาด ประสงค์จะทําเครื่องใช้สอยมีเสื่อลําแพนหยาบ เสื่อลําแพนละเอียด ผอบ หีบ และลุ้ง เป็นต้น ได้ไม้ไผ่ใหญ่มา ๑ ลํา ผ่าออกเป็น ๔ ซีกเอาแต่ละซีกมาจัก (ให้เป็นตอก) แล้วสานเครื่องใช้สอยฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กถฺจ เป็นต้น เป็นคําถามโดยตรงมุ่งหมายจะตรัสตอบให้พิสดารด้วยพระองค์เอง. ก็ในบทนี้ มีอรรถาธิบายโดยสังเขปดังต่อไปนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยประการอย่างไร? ภิกษุจึงเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่. นัยนี้ จะมีในทุกวาระแห่งคําถาม.

บทว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้. เพราะว่า อิธ ศัพท์นี้ ในคําว่า อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ นี้บ่งชัดถึงศาสนาอันเป็นที่พํานักอาศัยของบุคคลผู้ให้เกิดกายานุปัสสนาทุกประการ และปฏิเสธศาสนาอื่นว่าไม่เป็นอย่างนั้น. สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในศาสนานี้เท่านั้นมีสมณะ ศาสนาอื่น (ปรัปปวาท ลัทธิที่โจมตีลัทธิอื่น) ว่างจากสมณะเหล่าอื่น. ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้ตรัสไว้ว่า ภิกษุในศาสนานี้.

คําว่า อรฺคโต วา ฯเปฯ สุฺญาคารคโต วา (ไปสู่ป่า ฯลฯ หรือไปสู่เรือนร้าง) นี้เป็นคําแสดงถึงการทรงกําหนดเสนาสนะที่เหมาะสมแก่การบําเพ็ญสติปัฏฐานไว้.

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 677

อุปมาจิตเหมือนลูกวัว

เพราะว่า จิตของภิกษุนี้ ที่ซ่านไปในรูปารมณ์ เป็นต้น มานานแล้ว ไม่ประสงค์จะเข้าร่องรอยกรรมฐานได้ วิ่งออกนอกทางถ่ายเดียวเหมือนรถที่เทียมด้วยวัวพยศก็ปานกัน เพราะฉะนั้น จึงอุปมาเสมือนหนึ่งว่า คนเลี้ยงวัว (เจ้าของ) เมื่อประสงค์จะฝึกลูกวัวพยศ ที่ดื่มนมทุกหยดจากแม่วัวพยศ เติบโตขึ้นมา ต้องพราก (มัน) ออกจากแม่ ตอกหลักใหญ่หลักหนึ่งไว้ในที่เหมาะสม แล้วเอาเชือกผูก (มัน) ไว้ที่หลักนั้น. ครั้นลูกวัวของเขาตัวนั้น ทะยานไปทางโน้นทางนี้ ก็ไม่อาจหนีไปได้ จะต้องยืนชิด หรือนอนชิดหลักนั่นเองฉันใด. ภิกษุรูปนี้เองก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อประสงค์จะฝึกจิตร้ายของตน ที่เจริญขึ้นจากการดื่มรสรูปารมณ์เป็นต้นมานานแล้ว ต้องพราก (มัน) จากรูปารมณ์เป็นต้น เข้าไปสู่ป่า หรือรุกขมูล หรือเรือนร้าง เอาเชือกคือสติผูกมันไว้ที่หลัก คืออารมณ์ของสติปัฏฐานนั้น. จิตของเธอนั้นถึงจะดิ้นรนไปทางโน้นทางนี้อย่างนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่เคยชินมาก่อน ไม่อาจจะทําลายเชือกคือสติ (ให้ขาด) แล้วหนีไป ก็จะซบเซา และเงื่องหงอย อยู่กะอารมณ์นั่นเอง ด้วยอุปจารสมาธิ. ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวไว้ว่า :-

พระโยคาวจร (ผู้บําเพ็ญเพียร) ต้องเอาสติผูกจิตของตนไว้ที่อารมณ์ (กรรมฐาน) ให้มั่น เหมือนกับคนในโลกนี้ เมื่อจะฝึกวัว (๑) ต้องผูกวัวที่จะต้องฝึกไว้ที่หลักฉะนั้น.


(๑) ปาฐะว่า ทมฺมํ แต่ฉบับพม่าเป็น ทมํ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 678

เสนาสนะนั้นเป็นเสนาสนะเหมาะสมที่จะบําเพ็ญ (กรรมฐาน) สําหรับเธอ ด้วยประการดังที่พรรณนามานี้. ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้ตรัสไว้ว่า อรฺคโต วา ฯเปฯ สุฺาคารคโต วา นี้บ่งชัดถึงการกําหนดเสนาสนะที่เหมาะสมกับการบําเพ็ญสติปัฏฐาน.

เสียงเป็นข้าศึกต่อฌาน

ก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่พระโยคาวจรยังสละเสนาสนะท้ายบ้านที่อึกทึกด้วยเสียงสตรี เสียงบุรุษ เสียงช้าง และเสียงม้า เป็นต้นไม่ได้ จะยังอานาปานสติกรรมฐาน อันเป็นยอดแห่งกายานุปัสสนาเป็นเหตุใกล้เคียงแห่งการบรรลุคุณพิเศษและทิฏฐธรรมสุขวิหารธรรมของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทุกๆ พระองค์นี้ให้สมบูรณ์ ไม่ใช่ของที่จะทําได้ง่าย เพราะฌานมีเสียงเป็นเสี้ยนหนาม (อุปสรรค). แต่ในป่าที่ไม่มีหมู่บ้าน การกําหนดเอาพระกรรมฐานนี้แล้วยังฌานที่ ๔ มีอานาปานสติเป็นอารมณ์ ทําฌานนั่นเองให้เป็นเบื้องบาท (ของวิปัสสนา) พิจารณาสังขารแล้วได้บรรลุพระอรหัตอันเป็นผลชั้นยอด เป็นสิ่งที่พระโยคาวจรทําได้ง่าย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะอันสมควรแก่พระโยคาวจรนั้นจึงตรัสว่า อรฺคโต วา ดังนี้เป็นต้น.

ด้วยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นเหมือนอาจารย์ผู้รู้พื้นที่ (นักดูที่ หรือนักธรณีวิทยา). พระองค์ ครั้นทรงใคร่ครวญเห็นเสนาสนะที่สมควรแก่พระโยคาวจรอย่างนี้แล้ว จึงทรงชี้ว่า ควรบําเพ็ญพระ

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 679

กรรมฐาน ณ ที่นี้ ต่อนั้นไป พระโยคี (ภิกษุผู้บําเพ็ญเพียร) บําเพ็ญกรรมฐานอยู่ เมื่อได้บรรลุพระอรหัตตามลําดับแล้ว พระองค์ทรงได้รับสักการะอย่างมากมายด้วยคําสรรเสริญว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ (จริงๆ) หนอ เหมือนกับอาจารย์ผู้รู้พื้นที่ ดูพื้นที่ที่จะตั้งพระนครแล้ว พิจารณาดูถี่ถ้วนแล้วชี้บอกว่า ท่านทั้งหลายจงสร้างพระนคร ณ ที่นี้ และเมื่อพระนครสร้างสําเร็จโดยสวัสดี (เรียบร้อย) แล้ว จะได้รับพระราชทานสักการะมากมายจากราชตระกูลฉะนั้น.

ทรงเปรียบพระเหมือนเสือเหลือง

แต่ภิกษุรูปนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นเช่นกับเสือเหลือง. อธิบายว่าพญาเสือเหลืองใหญ่อาศัยพงหญ้า หรือพงป่า พงเขาในป่า ซุ่มจับหมู่มฤคมีควายป่า เนื้อสมัน และหมูป่าเป็นต้น (กิน) ฉันใด ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บําเพ็ญพระกรรมฐานบ่อยๆ ในป่าเป็นต้น จะบรรลุอริยมรรค ๔ และอริยผล ๔ ตามลําดับ. เพราะฉะนั้น พระโบราณาจารย์จึงได้กล่าวไว้ว่า :-

ภิกษุผู้เป็นพุทธบุตร บําเพ็ญวิปัสนา ประกอบความเพียรนี้ เข้าไปสู่ป่า แล้วบรรลุอรหัตตผลเหมือนเสือเหลือง ซุ่มจับเนื้อกินฉะนั้น.

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 680

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะป่าอันเป็นพื้นที่ซึ่งเหมาะสมแก่การรีบเร่งในการประกอบความเพียรแก่ภิกษุนั้น จึงได้ตรัสไว้ว่า อรฺคโต วา ดังนี้เป็นต้น.

ต่อแต่นี้ไป คําใดที่ข้าพเจ้าจะต้องกล่าว (อธิบาย) ในอานาปานบรรพนี้ก่อน คํานั้นข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นแล้ว.

เจริญอานาปานสติ

ก็เมื่อพระโยคาวจรนั้น ศึกษาอยู่ด้วยอํานาจแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเหล่านี้ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ภิกษุสําเหนียกว่า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว ฌานทั้ง ๔ จะเกิดขึ้นในเพราะนิมิต คือ อัสสาสะ และ ปัสสาสะ.

เธอออกจากฌานแล้ว กําหนดลมหายใจออก ลมหายใจเข้า หรือกําหนดองค์ฌาน, ในจํานวนอัสสาสะ ปัสสาสะ และองค์ฌานทั้ง ๒ อย่างนั้น. (ถ้า) เป็นผู้กําหนดอัสสาสะปัสสาสะเป็นอารมณ์ ก็กําหนดรูปอย่างนี้ว่า อัสสาสะปัสสาสะอาศัยอยู่กับอะไร? อาศัยอยู่กับวัตถุกรชกาย ชื่อว่าวัตลุ. มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป (๒๔) ชื่อว่ากรชกาย.

ต่อมา กําหนดนามรูปอย่างนี้ว่า นามมีอยู่ ในอารมณ์นั้น มีผัสสะเป็นที่ ๕ เมื่อแสวงหาปัจจัยของนามรูปนั้นจะเห็นปฏิจจสมุปบาทมีอวิชชาเป็นต้น ข้ามความสงสัยได้ว่า นี้เป็นเพียงปัจจัยและธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่มีสัตว์ หรือบุคคล อื่นต่างหาก (จากอัสสาส-

 
  ข้อความที่ 51  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 681

ปัสสาสะนั้น) ยกนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยขึ้นสู่ไตรลักษณะ เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตตามลําดับ.

นี้เป็นช่องทางแห่งการออกไป (จากทุกข์) จนถึงอรหัตของภิกษุรูปหนึ่ง.

ส่วนผู้กําหนดฌานเป็นอารมณ์ จะกําหนดนามรูปว่า องค์ฌานทั้งหลายเหล่านี้ (๑) อาศัยอยู่กับอะไร อาศัยอยู่กับวัตถุ กรชกาย ชื่อว่าวัตถุ องค์ฌานเป็นนาม กรชกายเป็นรูป เมื่อแสวงหาปัจจัยของนามรูปนั้น จะเห็นปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้น ข้ามความสงสัยเสียได้ว่า นี้เป็นเพียงปัจจัยและธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่มีสัตว์หรือบุคคลอื่นต่างหาก (จากนามรูปนั้น) ยกนามรูปพร้อมทั้งปัจจัยขึ้นสู่ไตรลักษณ์เจริญวิปัสสนา บรรลุอรหัตตามลําดับ. นี้เป็นช่องทางแห่งการออกไป (จากทุกข์) จนถึงพระอรหัตของภิกษุรูปหนึ่ง.

บทว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา ความว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายคือลมหายใจออกหายใจเข้าของตนอยู่อย่างนี้หรือ.

บทว่า พหิทฺธา วา ความว่า หรือ (พิจารณาเห็นกาย) ในกายคือลมหายใจออกหายใจเข้าของคนอื่น.

บทว่า อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา ความว่า ในกายคือลมหายใจออกหายใจเข้าของตน (และ) ของผู้อื่น ตามกาลเวลาอย่างนี้.

ด้วยบทว่า อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา นี้ พระองค์ตรัสถึงกาลเวลาที่ลมหายใจนั้นออกๆ เข้าๆ โดยไม่พักกรรมฐานที่ช่ําชองไว้. แต่ทั้ง ๒ อย่างนี้ จะมีในเวลาเดียวกันไม่ได้.


(๑) ปาฐะว่า อิทานิ พม่าเป็น อิมานิ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 52  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 682

บทว่า สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา ความว่า อุปมาเสมือนหนึ่งว่าอาศัยทั้งสูบของช่างทองทั้งก้านสูบและความพยายามอันเกิดจากทั้ง ๒ อย่างนั้น (สูบและก้านสูบ) ลมจึงเดินไปมาได้ฉันใด. กายคืออัสสาสะปัสสาสะของภิกษุก็ฉันนั้น อาศัยกรชกาย โครงจมูก และจิต จึงสัญจรไปมาได้. ธรรมทั้งหลายมีกายเป็นต้น เป็นสมุทัย ภิกษุเมื่อพิจารณาธรรมเหล่านั้น เรียกว่า พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้นในกายอยู่.

บทว่า วยธมฺมานุปสฺสี วา ความว่า เมื่อกายแตกดับ โครงจมูกโหว่ และเมื่อจิตดับ ขึ้นชื่อว่ากายคืออัสสาสะและปัสสาสะจะสัญจรไม่ได้ เหมือนกับเมื่อสูบถูกนําออกไปแล้ว เมื่อก้านสูบหัก และเมื่อไม่มีความพยายามอันเกิดแต่สูบและก้านสูบนั้น ลมนั้นจะไม่เดินฉะนั้น เพราะฉะนั้น ลมหายใจออกและหายใจเข้าดับไป เพราะกายเป็นต้นแตกดับไป ภิกษุเมื่อพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้ พระองค์จึงตรัสเรียกว่าพิจารณาเห็นธรรมคือความดับไปในกายอยู่.

บทว่า สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี ความว่า พิจารณาเห็นความเกิดตามกาลเวลา ความดับไปตามกาลเวลา.

บทว่า อตฺถิ กาโย วา ปนสฺส ความว่า สติ เป็นอันเธอเข้าไปตั้งไว้อย่างนี้ว่า กายมีอยู่ แต่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล. ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร.

คําว่า ยาวเทว นี้ เป็นคํากําหนดการชี้ขาดประโยชน์. มีคําอธิบายว่า สติที่เข้าไปตั้งไว้นั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่น. โดยที่แท้

 
  ข้อความที่ 53  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 683

แล้ว เพียงเพื่อความรู้เท่านั้น คือเพื่อประโยชน์แก่ญาณที่ยิ่งขึ้นไปเป็นประมาณต่อๆ ไป และเพื่อต้องการสติเป็นประมาณ อธิบายว่า เพื่อต้องการให้สติและสัมปชัญญะเจริญขึ้น.

บทว่า อนิสฺสิโต จ วิหรติ ความว่า เป็นผู้ไม่อาศัย (อะไร) ด้วยอํานาจแห่งตัณหานิสัยและทิฏฐินิสัย.

ข้อว่า น จ กิฺจิ โลเก อุปาทิยติ (และเธอจะไม่ยึดมั่นอะไรในโลก) ความว่า เธอจะไม่ยึดถืออะไร คือ รูป ฯลฯ หรือวิญญาณในโลกว่า นี้เป็นอัตตาหรือสิ่งที่เนื่องด้วยอัตตาของเรา.

ปิ อักษร ในคําว่า เอวํปิ ใช้ในความหมายว่า รวมเอาเนื้อความข้างหน้ามาไว้. อนึ่ง ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วยอานาปานบรรพ มอบให้ (สาวกทั้งหลาย) ดังนี้แล.

อริยสัจ ๔ ในอานาปานะ

บรรดาสัจจะเหล่านั้น สติที่กําหนด อัสสาสะ และปัสสาสะเป็นทุกขสัจ ตัณหาที่มีแต่ก่อนที่เป็นสมุฏฐานของสตินั้น เป็นทุกขสมุทัยความไม่เป็นไปแห่งสติ และตัณหาทั้ง ๒ อย่างนั้น เป็นนิโรธ อริยมรรคที่มีการกําหนดรู้ทุกข์ มีการละสมุทัย มีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ.

เธอขวนขวายด้วยอํานาจสัจจะทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว จะบรรลุความดับ (นิพพาน) ฉะนั้น ข้อนี้จึงเป็นช่องทางแห่งการออกไปจาก (ทุกข์) จนถึงอรหัต ของภิกษุผู้ไม่ยึดมั่นด้วยอํานาจอัสสาสะและปัสสาสะ รูปหนึ่ง.

จบ อานาปานบรรพ

 
  ข้อความที่ 54  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 684

พิจารณาดูกายโดยอิริยาบถ

[๑๓๔] พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจําแนกการพิจารณาดูกายโดยอัสสาสะและปัสสาสะอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกโดยอิริยาบถจึงได้ตรัสคํามีอาทิไว้ว่า ปุน จ ปรํ.

จะวินิจฉัยในบทเหล่านั้นต่อไป :-

ความรู้ที่เป็นสติปัฏฐานภาวนา

ถึงสุนัขบ้าน และสุนัขจิ้งจอก เมื่อเดินไปก็รู้โดยแท้ว่า เรากําลังเดิน. แต่การรู้นั่น พระองค์มิได้ตรัสหมายเอาการรู้แบบนี้. เพราะว่าการรู้แบบนี้ ละสัตตูปลัทธิ (การยึดถือว่าเป็นสัตว์) ไม่ได้. ถอนอัตตสัญญา (ความสําคัญว่าเป็นอัตตา) ไม่ออก. ไม่เป็นกรรมฐาน หรือสติปัฏฐานภาวนา.

แต่การรู้ของภิกษุนี้ ละสัตตูลัทธิได้ ถอนอัตตสัญญาได้ เป็นกรรมฐาน หรือเป็นสติปัฏฐานภาวนา.

ความจริง การรู้นี้ พระองค์ตรัสหมายเอาการรู้สึกตัวอย่างนี้ว่าใครเดิน? การเดินของใคร? เดินเพราะเหตุอะไร? ถึงในการยืนก็นัยนี้เหมือนกัน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ใครเดิน ความว่า ไม่ใช่สัตว์ตัวไหนหรือคนคนไหนเดิน.

บทว่า การเดินของใคร ความว่า ไม่มีการเดินของสัตว์ตัวไหน

บทว่า เดินเพราะเหตุอะไร ความว่า เดินไป โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดจากกิริยาของจิต.

 
  ข้อความที่ 55  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 685

วาโยธาตุเกิดจากจิต

เพราะฉะนั้น ภิกษุนี้ จะรู้ชัด (อิริยาบถ) อย่างนี้ว่า จิต (ความคิด) เกิดขึ้นว่า เราจักเดิน จิตนั้นจะให้วาโยเกิด จะให้การไหววาโยเกิด.การเคลื่อนไหวกายทั้งหมดไปข้างหน้า โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุอันเกิดจากกิริยาของจิต เรียกว่า การเดิน. แม้ในการยืนเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

แม้ในบรรดาการยืนเป็นต้นนั้น พึงทราบวินิจฉัยต่อไป จิต (ความคิด) เกิดขึ้นว่า เราจะยืน จิตนั้นจะให้วาโยเกิด จะให้การไหววาโยเกิด.

ภาวะที่กายทั้งหมดตั้งแต่ที่สุด (คือศีรษะถึงปลายเท้า) ยืดขึ้นโดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดจากกิริยาของจิต เรียกว่า การยืน.

จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนั่ง จิตนั้นจะให้วาโยเกิด จะให้การไหววาโยเกิด การย่อกายตอนล่างลง การยืดกายตอนบนขึ้น โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดจากกิริยาของจิต เรียกว่า การนั่ง.

จิตเกิดขึ้นว่า เราจะนอน จิตจะให้วาโยนั้นเกิด จะให้การเคลื่อนไหววาโยเกิด. การเหยียดร่างกายทั้งหมดออกไปตามทางขวาง โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดจากกิริยาของจิต เรียกว่า การนอน อาการของเขาผู้รู้เห็นอยู่อย่างนี้ เรียกว่า สัตว์เดิน สัตว์ยืน.

ถามว่า มีสัตว์อะไรเดินหรือยืนหรือ?

ตอบว่า ไม่มี.

แต่เหมือนคําที่เรียกว่า เกวียนไป เกวียนหยุด. ก็ไม่มีอะไรที่ชื่อ

 
  ข้อความที่ 56  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 686

ว่าเกวียนจะไปหรือจะหยุด. แต่เมื่อสารถีผู้ฉลาด เทียมโค ๔ ตัวขับไปจะมีก็แต่เพียงการเรียกขานกันว่า เกวียนไป เกวียนหยุด ฉันใด. กายเหมือนเกวียน เพราะอรรถว่าไม่รู้ ลมที่เกิดจากจิตเหมือนโค จิตเหมือนสารถี เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจะเดิน วาโยธาตุที่จะให้เกิดวิญญัติ ก็จะเกิดขึ้น การเดินเป็นต้น จะเป็นไปโดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดจากกิริยาของจิต จะมีแต่เพียงการเรียกขานกันว่าสัตว์เดิน สัตว์ยืน ฉันไปฉันยืน ฉันนั้นเหมือนกัน.

เรือวิ่งไปได้ เพราะกําลังของลม ลูกศรวิ่งไปได้ เพราะกําลังของสาย ฉันใด ร่างกายนี้ก็ฉันนั้น เดินไปได้ เพราะลม (ภายใน) พัดผัน. แม้กายยนต์นี้ ที่ (นายช่างคือตัณหาประกอบไว้) เดิน ยืน นั่ง ได้ ด้วยอํานาจของสายชักคือจิต เหมือนหุ่นยนต์ เคลื่อนไหวได้ ด้วยอํานาจของสายชัก. ในเรื่องนี้ จะมีสัตว์อะไร นอกจากเหตุ ปัจจัย ที่ยืนหรือเดินไป ด้วยอานุภาพของตน.

เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นกําหนดอยู่ซึ่งอิริยาบถเดิน เป็นต้น ที่เป็นไปโดยเหตุและปัจจัยเท่านั้นอย่างนี้ พึงทราบเถิดว่า บุคคลนั้นเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดิน (เมื่อยืน นั่ง หรือนอน) ก็รู้ชัดว่า เรายืนนั่งหรือนอน.

คําว่า ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ ตถาตถา นํ ปชานาติ (ก็หรือว่า เธอย่อมรู้ชัดกายนั้น ตามที่ตนดํารงอยู่

 
  ข้อความที่ 57  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 687

แล้ว) นี้ เป็นคําที่ประมวลอิริยาบถทุกอย่างไว้.

มีคําอธิบายไว้ดังต่อไปนี้ว่า กายของเธอ สถิตอยู่แล้ว โดยอาการใดๆ เธอก็รู้ชัดกายนั้น โดยอาการนั้นๆ คือ รู้ชัดกายที่สถิตอยู่โดยอาการที่เดิน ว่า กําลังเดิน รู้ชัดกายที่ดํารงอยู่โดยอาการที่ยืน นั่ง หรือนอน ว่า (กําลัง) นอนเป็นต้น.

บทว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา ความว่า หรือเธอพิจารณาเห็นกายในกาย โดยการพิจารณาอิริยาบถ ๔ ของตนอย่างนี้อยู่.

บทว่า พหิทฺธา วา ความว่า หรือโดยการกําหนดอิริยาบถ ๔ ของผู้อื่น.

บทว่า อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา ความว่า พิจารณาเห็นกายในกายโดยการกําหนดอิริยาบถ ๔ ของตน (หรือ) ของผู้อื่นตามกาลเวลา.

ส่วนในบทว่า สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา เป็นต้น ผู้ศึกษาควรนําเอาความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งรูปขันธ์ด้วยอาการ ๕ อย่างมา โดยนัยมีอาทิว่า เพราะอวิชชาเกิด รูปขันธ์จึงเกิด.

ความจริง คําว่า สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา นี้ ในอิริยาปถบรรพนี้ พระองค์ตรัสหมายเอาคํานั้น.

คําว่า อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺส เป็นต้น ก็เช่นเดียวกันกับที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ.

 
  ข้อความที่ 58  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 688

อริยสัจในอิริยาบถ

แต่ในอิริยาปถบรรพนี้ สติที่กําหนดอิริยาบถทั้ง ๔ เป็นทุกขสัจตัณหาเก่าที่เป็นสมุฏฐานของสติ เป็นสมุทยสัจ การไม่เป็นไปแห่งสติกับตัณหาทั้ง ๒ อย่างนั้น เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคที่กําหนดรู้ทุกข์ ที่ละสมุทัย ที่มีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นมรรคสัจ.

พระโยคาวจรขวนขวายด้วยอํานาจสัจจะทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว จะบรรลุความดับ (นิพพาน). ถ้อยคําดังที่พรรณนามานี้ เป็นช่องทางการนําออก (จากทุกข์) จนถึงพระอรหัต ของภิกษุผู้กําหนดอิริยาบถ ๔ รูปหนึ่ง ดังนี้แล.

จบ อิริยาปถบรรพ

พิจารณาดูกายโดยสัมปชัญญะ ๔

[๑๓๕] พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจําแนกการพิจารณาเห็นกายในกายโดยอิริยาบถอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกโดยสัมปชัญญะ ๔ จึงตรัสคํามีอาทิว่า ปุน จปรํ ไว้.

ก่อนอื่น บรรดาคําเหล่านั้น ในคําว่า อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต นี้การเดินไปพระองค์ตรัสเรียกว่า อภิกกันตะ การเดินกลับตรัสเรียกว่าปฏิกกันตะ. แม้ทั้ง ๒ อย่างนั้น ได้ในอิริยาบถทั้ง ๔.

(จะว่า) ในการเดินก่อน เมื่อโยกกายไปข้างหน้า ก็ชื่อว่าก้าวไป.เมื่อเอนกลับก็ชื่อว่าถอยกลับ. แม้ในการยืน ผู้ยืนนั้นแหละ เมื่อโยกกาย

 
  ข้อความที่ 59  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 689

ไปข้างหน้า ก็ชื่อว่าก้าวไป เมื่อเอนตัวมาข้างหลัง ก็ชื่อว่าถอยกลับ.ในการนั่ง ผู้นั่งนั่นเอง เมื่อโน้มตัวด้านหน้าไป เฉพาะหน้าอาสนะชื่อว่าก้าวไป เมื่อโยกร่างกายด้านหลังไปทางหลัง ชื่อว่าถอยกลับ. แม้ในการนอนก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า สมฺปชานการี โหติ ความว่า เป็นผู้ประกอบกิจทุกอย่างด้วยสัมปชัญญะ (ความรู้ตัว) เป็นปกติ หรือเป็นผู้ทําความรู้สึกตัวนั่นแหละเป็นปกติ เพราะว่า เธอทําความรู้สึกตัวอยู่ทีเดียว ในการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น ไม่ว่าในอิริยาบถไหนๆ ก็ไม่เว้นสัมปชัญญะ.

สัมปชัญญะ ๔

สัมปชัญญะ ในคําว่า สมฺปชานการี นั้นมี ๔ อย่างคือ สาตถกสัมปชัญญะ ๑ สัปปายสัมปชัญญะ ๑ โคจรสัมปชัญญะ ๑ อสัมโมหสัมปชัญญะ ๑.

๑. สาตถกสัมปชัญญะ

บรรดาสัมปชัญญะทั้ง ๔ อย่างนั้น การไม่ไปตามอํานาจความคิดที่เกิดขึ้นทีเดียว ในเมื่อคิดจะก้าวไป กําหนดผลได้ผลเสีย (ก่อน) ว่าการไปที่นี้ จะมีประโยชน์แก่เรา หรือไม่มี แล้วถือเอาแต่ประโยชน์ชื่อว่าสาตถกสัมปชัญญะ.

ก็บรรดาอัตถะและอนัตถะ (ผลได้ผลเสีย) ทั้ง ๒ อย่างนั้น ความเจริญทางธรรมด้วยได้เห็นพระเจดีย์ ได้เห็นต้นโพธิ์ ได้เห็นพระสงฆ์ ได้เห็นพระเถระ และได้เห็นอสุภารมณ์ เป็นต้น ชื่อว่า อัตถะ. เพราะว่าแม้ได้เห็นพระเจดีย์แล้ว ยังปีติให้เกิด มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ขึ้นได้

 
  ข้อความที่ 60  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 690

(และ) เพราะได้เห็นพระสงฆ์ ก็ให้เกิดปีติมีพระสงฆ์เป็นอารมณ์ขึ้นได้แล้ว เมื่อพิจารณาอารมณ์นั่นแหละ โดยความสิ้นไปและความเสื่อมไปก็จะบรรลุพระอรหัต. ได้เห็นพระเถระทั้งหลายแล้ว ตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน ได้เห็นอสุภารมณ์แล้ว ยังปฐมฌานให้เกิดในอสุภารมณ์นั้นขึ้นได้ เมื่อพิจารณาอสุภารมณ์นั่นแหละไป โดยความสิ้นไปและความเสื่อมไป ก็จะบรรลุพระอรหัต. เพราะฉะนั้น การเห็นสิ่งเหล่านั้น จึงชื่อว่ามีประโยชน์. แต่อาจารย์ลางพวกกล่าวว่า ความเจริญด้านอามิสเอง ก็ชื่อว่าเป็นประโยชน์ (ผล) ได้เหมือนกัน เพราะอาศัยประโยชน์นั้นแล้วได้ปฏิบัติ (ธรรม) เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์.

๒. สัปปายสัมปชัญญะ

ส่วนการกําหนด สัปปายะ และ อสัปปายะ (ความสบายหรือไม่สบาย) ในการเดินนั้นแล้วกําหนดเอาสัปปายะ ชื่อว่า สัปปายสัมปชัญญะ.

ได้แก่อะไร?

ได้แก่ การเห็นพระเจดีย์ชื่อว่ามีประโยชน์ก่อน ก็ถ้าบริษัทประชุมกัน ระยะ ๑๐ หรือ ๑๒ โยชน์ เพื่อบูชามหาเจดีย์เป็นการใหญ่ ผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง แต่งตัวด้วยเครื่องประดับ ตามควรแก่สมบัติของตน (ตามฐานานุรูป) เดินเที่ยวกันไปเหมือนกับภาพจิตรกรรม (รูปเขียน) ไซร้ เธอก็จะเกิดความอยากได้ (โลภ) ในอิฏฐารมณ์นั้น จะเกิดความขัดเคืองในเพราะอนิฏฐารมณ์ และจะเกิดความหลงใหลขึ้นในเพราะการมองไม่เหมาะสม. จะต้องอาบัติ กายสังสัคคะ (จับต้องกายหญิง) หรือ

 
  ข้อความที่ 61  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 691

จะมีอันตรายแก่ชีวิตและพรหมจรรย์. สถานที่ดังที่พรรณนามานี้นั้น ชื่อว่าเป็นอสัปปายะ. แม้การเห็นพระสงฆ์ที่เป็นสัปปายะ ชื่อว่ามีประโยชน์ในเพราะไม่มีอันตรายมีประการดังที่กล่าวมาแล้ว.

แต่ถ้าเมื่อมนุษย์พากันสร้างปะรําใหญ่ไว้ภายในหมู่บ้านแล้วฟังธรรมเทศนากันตลอดทั้งคืน การชุมนุมของประชาชนและอันตราย ก็จะมี โดยประการดังที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. สถานที่ดังกล่าวมาแล้วนี้นั้นเป็นอสัปปายะ (แต่) เป็นสัปปายะได้ เพราะไม่มีอันตราย แม้ในการเห็นพระเถระทั้งหลายผู้มีบริษัทบริวารมาก ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ถึงการเห็นอสุภารมณ์ ก็ชื่อว่ามีประโยชน์. และมีเรื่องดังต่อไปนี้เป็นการแสดงเนื้อความนั้น (ตัวอย่าง) :-

เรื่องภิกษุหนุ่ม

เล่ากันมาว่า ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งพาสามเณรไปหาไม้ชําระฟัน. สามเณรแวะออกนอกทางเดินล่วงหน้าไป เห็นอสุภารมณ์ แล้วยังปฐมฌานให้เกิดขึ้น ทําปฐมฌานนั่นแหละให้เป็นเบื้องบาทพิจารณาสังขาร ทําผลทั้ง ๓ ให้แจ้งชัดแล้ว ได้ยืนกําหนดกรรมฐาน เพื่อผลประโยชน์แก่มรรคเบื้องสูง (อรหัตตมรรค). ภิกษุหนุ่มเมื่อไม่เห็นสามเณรนั้น จึงร้องเรียกว่าสามเณร. สามเณรนั้นคิดว่า ตั้งแต่บวชแล้ว เราไม่เคยให้พระเรียกถึง ๒ ครั้งเลย เราจักให้คุณวิเศษเบื้องสูงเกิดขึ้นในวันอื่นเถอะ ดังนี้แล้วจึงให้คําตอบว่า อะไรครับท่าน? และสามเณรนั้นที่ภิกษุหนุ่มบอกว่ามาเถิดสามเณร เพียงคําเดียวเท่านั้นก็มาแล้วได้พูดว่า ท่านครับ ขอได้โปรดเดินไปตามทางนี้ก่อน แล้วยืนหันหน้ามองไปทางทิศตะวันออกสักครู่หนึ่ง ณ โอกาสที่ผมยืน. เธอได้ทําตามนั้นแล้ว ได้บรรลุคุณวิเศษ

 
  ข้อความที่ 62  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 692

ที่สามเณรนั้นได้แล้วบรรลุแล้ว. อสุภารมณ์เดียว ได้เกิดประโยชน์แก่คน ๒ คน ดังที่พรรณนามานี้.

ก็อสุภารมณ์นี้ แม้จะมีประโยชน์ดังที่พรรณนามานี้ (แต่) อสุภารมณ์คือหญิง ก็เป็นอสัปปายะของชาย และอสุภารมณ์คือชาย ก็เป็นอสัปปายะของหญิง. อสุภารมณ์ที่เป็นสภาคกันเท่านั้น จึงจะเป็นสัปปายะ เพราฉะนั้น การกําหนดสัปปายะอย่างนั้น ชื่อว่า สัปปายะสัมปชัญญะ.

๓. โคจรสัมปชัญญะ

แต่การเรียนเอา โคจระ กล่าวคือกรรมฐาน ซึ่งเป็นที่ชอบใจของตน ในจํานวนกรรมฐาน ๓๘ ประการ แล้วรับเอากรรมฐานนั้นเดินไปในที่โคจรเพื่อภิกขาจาร ชื่อว่า โคจรสัมปชัญญะสําหรับผู้มีสัปปายะที่มีประโยชน์ที่กําหนดแล้วอย่างนี้.

เพื่อความแจ่มชัดแห่งโคจรสัมปชัญญะนั้น ผู้ศึกษาควรทราบสัมปชัญญะ ๔ หมวด ดังต่อไปนี้ คือ ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ นําไปไม่นํากลับ บางรูปไม่นําไปแต่นำกลับ บางรูปไม่นำไป ไม่นำกลับ บางรูปทั้งนําไป ทั้งนํากลับ.

ภิกษุนําไปนํากลับ

บรรดาภิกษุทั้ง ๔ รูปนั้น ภิกษุรูปใด ชําระจิตให้ผ่องใสจากนิวรณธรรม ด้วยการจงกรม ด้วยการนั่งตลอดทั้งวัน ตลอดปฐมยามแห่งราตรีก็เช่นนั้น ในมัชฌิมยามจําวัด แม้ในปัจฉิมยามก็ให้เวลาผ่านไปด้วยการนั่ง การจงกรม จะป่วยกล่าวไปไยถึงจะทําวัตรที่ลานพระเจดีย์ ลานโพธิ์พฤกษ์ จะรดน้ำต้นโพธิ์ จะตั้งน้ำดื่มน้ำใช้ไว้ สมาทาน ปฏิบัติวัตร

 
  ข้อความที่ 63  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 693

ในคัมภีร์ขันธกะ (๑) ทุกอย่าง มีอาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตรเป็นต้น เธอทําธุระเกี่ยวกับร่างกายแล้ว เข้าไปยังที่นั่งที่นอน และนั่งขัดสมาธิ ๒ - ๓ ท่า พอให้อบอุ่นแล้วปฏิบัติกรรมฐาน ลุกขึ้นในเวลาภิกขาจาร ถือเอาบาตรและจีวรออกไปจากเสนาสนะ มนสิการกรรมฐานอยู่ ด้วยหัวข้อกรรมฐานนั่นเอง เดินไปสู่ลานเจดีย์แล้ว ถ้ามีกรรมฐานมีพุทธานุสสติเป็นอารมณ์ไซร้ ก็อย่าทิ้งกรรมฐานนั้นเสีย เข้าไปยังลานพระเจดีย์. ถ้ามีกรรมฐานอย่างอื่นไซร้ ควรพักกรรมฐานนั้นไว้ เหมือนกับเอามือจับสิ่งของวางไว้ที่เชิงบันได แล้วกําหนดเอาปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ขึ้นไปยังลานพระเจดีย์ (ถ้า) เป็นเจดีย์องค์ใหญ่ ควรทําประทักษิณ ๓ ครั้ง แล้วไหว้ทั้ง ๔ ด้าน (ถ้า) เป็นเจดีย์องค์เล็ก ควรทําประทักษิณาอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วไหว้ทั้ง ๘ ด้าน. ครั้นไหว้พระเจดีย์เสร็จ ไปถึงลานโพธิ์แล้ว ควรวันทาต้นโพธิ์แสดงความยําเกรง เหมือนอยู่ต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า. เธอไหว้พระเจดีย์และต้นโพธิ์อย่างนี้แล้ว ไปยังที่ที่ตนพักกรรมฐานไว้ รับเอากรรมฐานที่พักไว้ (เก็บไว้ชั่วคราว) เหมือนกับเอามือจับเอาสิ่งของที่ตนเก็บไว้ฉะนั้น แล้วห่มจีวรในที่ใกล้บ้าน โดยมีกรรมฐานเป็นสําคัญนั้นเอง เข้าบ้านไปเพื่อบิณฑบาต.

ครั้นคนทั้งหลายเห็นท่านแล้ว บอกกันว่า พระคุณเจ้าของเรามาแล้ว พากันต้อนรับท่าน รับเอาบาตรแล้วให้นั่งบนศาลาโรงฉัน หรือบนเรือน ถวายข้าวยาคู ล้างเท้าทาด้วยน้ำมันให้จนกว่าจะเสร็จภัตตกิจพากันนั่งข้างหน้า บ้างก็ถามปัญหา บ้างก็ต้องการจะฟังธรรม แต่ถ้าเขาจะให้กล่าว (ธรรมกถา) พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า ขึ้นชื่อว่า


(๑) ปาฐะ เป็น ขนฺธกวตฺตาทีนิ แต่ฉบับพม่าเป็น ขนฺธกวตฺตานิ จึงแปลตามฉบับพม่า

 
  ข้อความที่ 64  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 694

ธรรมกถา ควรแสดงทีเดียว เพื่อสงเคราะห์ประชาชน. เพราะขึ้นชื่อว่าธรรมกถา จะเหนือไปจากกรรมฐานไม่มี เพราะฉะนั้น ครั้นท่านแสดงธรรมโดยมีกรรมฐานเป็นสําคัญนั่นเอง ฉันอาหารโดยมีกรรมฐานเป็นสําคัญนั่นเอง ทําอนุโมทนาแล้ว เมื่อเขาให้กลับ ก็ให้ตามคนเขาไปแล้ว กลับ ณ ที่นั้นนั่นเอง แล้วจึงเดินทางต่อไป. ครั้นสามเณรและภิกษุหนุ่มผู้ออกไปก่อน ฉันเสร็จแล้ว เห็นท่านจึงพากันไปต้อนรับ รับบาตรและจีวรของท่าน.

ได้ทราบว่าภิกษุรุ่นเก่าดูหน้าเห็นว่า ไม่ใช่อุปัชฌาจารย์ของตนแล้วทํา (อาคันตุกะ) วัตรอยู่ แต่ทําตามกําหนดที่มาเผชิญเข้าเท่านั้น. ภิกษุเหล่านั้นจะถามท่านว่า คนเหล่านั้นเป็นอะไรกับท่าน (๑) เกี่ยวข้องกันทางโยมผู้หญิงหรือทางฝ่ายโยมผู้ชาย ท่านจะตอบว่า พวกคุณเห็นอะไรจึงถาม. สามเณรและภิกษุหนุ่มเหล่านั้นเรียนว่า คนเหล่านี้มีความรักความนับถือมาก (๒) ในเพราะใต้เท้า. คุณครับ สิ่งใด ที่แม้แต่โยมผู้หญิง โยมผู้ชาย (ของผม) ก็ทําได้ยาก คนเหล่านั้นทําสิ่งนั้นให้ผม แม้บาตรและจีวรของผม ก็เป็นของคนเหล่านั้นเหมือนกัน (ถวาย) ด้วยอานุภาพของคนเหล่านั้น เมื่อมีภัย ผมก็ไม่รู้จักภัยเลย เมื่อมีความหิว ผมก็ไม่รู้จักหิว ขึ้นชื่อว่า เหล่าชนผู้มีอุปการะแก่ผมเช่นนี้จะไม่มี เธอพูดถึงคุณของคนเหล่านั้นอยู่อย่างนี้ เดินไป ภิกษุนี้ท่านเรียกว่า ชื่อว่านําไป ไม่นํากลับ.


(๑) ฉบับพม่ามี ตุมฺหากํ แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ในระหว่างนี้ ฉบับพม่ามีศัพท์ว่า เปมํ จึงแปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 65  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 695

ภิกษุไม่นําไปไม่นํากลับ

แต่ว่า จะป่วยกล่าวไปไย เมื่อภิกษุใด ทําวัตรปฏิบัติมีประการดังที่กล่าวมาแล้ว เดชที่เกิดแต่กรรม จะสําแดงออก จะปล่อยวางอนุปาทินนกสังขาร ยึดอุปาทินนกสังขาร เหงื่อจะไหลออกจากร่างกาย จะไม่ขึ้นสู่วิถีทางของกรรมฐาน. จะป่วยกล่าวไปไย ถึงภิกษุนั้นจะถือเอาบาตรและจีวร จะรีบไปไหว้พระเจดีย์ เข้าบ้าน เพื่อข้าวยาคูและภิกษา ในเวลาที่โคทั้งหลายออกไป (หากิน) นั่นเอง ได้ข้าวยาคูแล้ว ไปยังอาสนศาลา (หอฉัน) แล้วดื่ม. ภายหลังด้วยเหตุเพียงการดื่มข้าวยาคู. ๒ - ๓ อึกของท่านเท่านั้น เดช (ความร้อน) ที่เกิดแต่กรรมจะปล่อยวางอุปาทินนกสังขาร ยึดอนุปาทินนกสังขาร. เธอจะดับความกระวนกระวายที่เกิดแต่เตโชธาตุ เหมือนอาบน้ำร้อยหม้อ ฉันข้าวยาคูโดยมีกรรมฐานเป็นสําคัญ ล้างบาตรและบ้วนปากแล้ว มนสิการกรรมฐานในระหว่างภัต เที่ยวไปบิณฑบาตในที่ที่เหลือ ฉันอาหารโดยมีกรรมฐานเป็นสําคัญ ตั้งแต่นั้นไปจะรับเอากรรมฐานที่ปรากฏขึ้นติดต่อกันไป แล้วเดินไป ภิกษุนี้เรียกว่าไม่นําไป แต่นํากลับ. ก็ขึ้นชื่อว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ดื่มข้าวยาคูปรารภวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัตในพระพุทธศาสนา เช่นนี้นับจํานวนไม่ถ้วน. ในเกาะสีหลนั่นเอง บนอาสนศาลา อาสนะสําหรับนั่ง ดื่มข้าวยาคูก็ไม่มี ภิกษุที่ดื่มข้าวยาคูแล้ว บรรลุอรหัต ก็ไม่มี.

แต่ภิกษุใดเป็นผู้อยู่อย่างประมาทเป็นปกติ ทอดทิ้งธุระ ทําลายวัตรทุกอย่าง มีจิตผูกพันอยู่กับเจโตขีลธรรม ๕ ประการ ไม่ทําสัญญาไว้บ้างว่า ขึ้นชื่อว่า กรรมฐานมีอยู่ เข้าไปบ้านเพื่อบิณฑบาตเที่ยวคลุกคลีด้วยการคลุกคลีกับคฤหัสถ์ที่ไม่เหมาะสม และฉันแล้ว (มีบาตร) เปล่าออกไป ภิกษุนี้เรียก

 
  ข้อความที่ 66  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 696

ว่าไม่นําไป และไม่นํากลับ.

ภิกษุทั้งนําไปนํากลับ

ส่วนภิกษุนี้ใด ที่ท่านกล่าวว่า นําไปด้วย นํากลับด้วย ภิกษุนั้นพึงทราบได้ด้วยคตปัจจาคติวัตรของผู้เดินกลับไปกลับมา. เพราะว่ากุลบุตรทั้งหลายผู้มุ่งประโยชน์ บวชในศาสนาแล้ว เมื่อจะอยู่โดยลําพัง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง อยู่โดยทํากติกาวัตรกันไว้ว่า ท่านครับ ท่านทั้งหลายไม่ใช่บวชหลบหนี้ ไม่ใช่บวชหลบภัย ไม่ใช่บวชเลี้ยงชีพ แต่ประสงค์จะพ้นจากทุกข์ จึงได้บวชในพระศาสนานี้ เพราะฉะนั้น ในขณะเดินนั่นแหละ ท่านทั้งหลายจงข่มกิเลสที่เกิดขึ้นในเวลาเดิน ในขณะยืน ก็ข่มกิเลสที่เกิดขึ้นในเวลายืน ในขณะนั่ง ก็จงข่มกิเลสที่เกิดขึ้นในเวลานั่ง ในขณะนอนนั่นแหละ ก็จงข่มกิเลสที่เกิดขึ้นในเวลานอน. ภิกษุเหล่านั้น ครั้นทํากติกาวัตรกันไว้อย่างนี้แล้ว เมื่อไปภิกขาจารก็เดินไปมนสิการกรรมฐานไป ตามสัญญานั้น ถ้าหากกิเลสเกิดขึ้นแก่ใคร ในขณะเดิน ในระหว่างครึ่งอุสุภะ หนึ่งอุสุภะ ครึ่งคาวุตหรือหนึ่งคาวุต มีก้อนหินอยู่ ภิกษุนั้นจะข่มกิเลสนั้นในที่นั้นเอง เมื่อไม่อาจ (ข่มได้) อย่างนั้น ก็จะหยุดยืน. ถัดนั้นภิกษุ (รูปอื่น) แม้ตามหลังเธอมาก็จะหยุดยืนตาม เธอจะเตือนตนเองว่า ภิกษุนี้รู้วิตกที่เกิดแก่เจ้าแล้ว ข้อนี้ไม่สมควรแก่เจ้า แล้วเจริญวิปัสสนาก้าวลงสู่อริยภูมิ ณ ที่นั้นนั่นเอง ในคําว่า เมื่อไม่อาจอย่างนั้น เธอก็จะนั่ง ถัดนั้น แม้ภิกษุผู้มาข้างหลัง เธอก็จะนั่งตาม ก็มีนัยนั้นเหมือนกัน. ถึงไม่สามารถก้าวลงสู่อริยภูมิได้ ก็จะข่มกิเลสนั้นไว้ เดินมนสิการกรรมฐานไปทีเดียว ไม่

 
  ข้อความที่ 67  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 697

ยกเท้าขึ้นทั้งที่มีจิตพรากจากกรรมฐาน ถ้ายก (โดยที่มีจิตพรากจากกรรมฐาน) ก็จะกลับไปยังที่เดิมนั้นเอง เหมือนมหาปุสสเทวเถระ ชาวอาลินทกะ.

เรื่องพระมหาปุสสเทวเถระ

เล่ากันมาว่า ท่านได้บําเพ็ญคตปัจจาคติกวัตร (๑) (วัตรของผู้เดินกลับไปกลับมา) อยู่ที่เดียวเป็นเวลา ๑๙ พรรษา. ได้ยินว่า แม้คนทั้งหลายกําลังไถ กําลังหว่าน กําลังนวด ทํางานกันอยู่ เห็นพระเถระเดินอย่างนั้น จึงสนทนากันว่า พระเถระรูปนี้ เดินกลับไปกลับมา คงจะหลงทางหรือไม่ก็คงลืมอะไรกระมัง? ท่านไม่คํานึงถึงคําพูดนั้น ทําสมณธรรมด้วยทั้งจิตที่ประกอบด้วยกรรมฐานนั้นแหละ ได้บรรลุอรหัตภายใน ๒๐ พรรษา. ในวันที่ท่านได้บรรลุพระอรหัตนั่นเอง เทวดาที่สิงอยู่ที่ปลายทางจงกรมของท่าน ได้ยืนชูนิ้วแทนประทีป (๒) ถึงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท้าวสักกะจอมเทพ และสหัมบดีพรหม ก็ได้พากันมายังที่ทํานุบํารุง (ท่าน). และท่านวนวาสีติสสมหาเถระ เห็นแสงสว่างนั้นแล้วในวันที่ ๒ จึงได้ถามท่านมหาปุสสเถระ ชาวอาลินทกะว่า เวลากลางคืน ที่สํานักของท่าน ได้มีแสงสว่าง แสงสว่างนั้นเป็นแสงสว่างอะไร? พระเถระเมื่อจะทําการกลบเกลื่อน จึงได้พูดคํามีอาทิอย่างนี้ว่า ธรรมดาแสงสว่าง ก็คงเป็นแสงสว่างของประทีปบ้าง เป็นแสงสว่างของแก้วมณีบ้าง ต่อมาท่านกําชับท่านวนวาสีติสสเถระไว้ว่า ท่านจงปกปิดไว้ รู้ว่าท่านรับคําแล้วจึงบอก. และเหมือนกับท่านมหานาคเถระ ชาวกาลวัลลิ-


(๑) ปาฐะว่า คตปจฺจาคตวตฺตํ ฉบับพม่าเป็น คตปจฺจาคติกวตฺตํ แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า กตฺวา พม่าเป็น อุชฺชาเลตฺวา แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 68  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 698

มณฑป

เรื่องพระมหานาคเถระ

ได้ทราบว่า แม้พระเถระรูปนั้น เมื่อบําเพ็ญคตปัจจาคติกวัตร ได้อธิษฐานจงกรมอย่างเดียว สิ้นเวลา ๗ ปี ว่าเราจักบูชาความเพียรอันยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นปฐมก่อน ได้บําเพ็ญคตปัจจาคติกวัตรอีก ๑๖ ปี จึงได้บรรลุพระอรหัต ท่านมีจิตประกอบด้วยพระกรรมฐานนั่นเอง ยกเท้าขึ้น ถอยกลับในขณะยก (เท้า) ขึ้นโดยจิตปราศจาก (กรรมฐาน) เดินไปใกล้บ้าน ยืนห่มผ้า ณ ที่ที่ชวนให้คนสงสัยว่า แม่วัวหรือพระกันแน่? ใช้น้ำจากที่ระหว่างต้นไทรล้างบาตรแล้วก็อมน้ำไว้. เพราะเหตุไร? เพราะท่านคิดว่า ขอเราอย่าได้ทอดทิ้งกรรมฐาน แม้ด้วยเหตุที่พูดกะคนที่มาถวายภิกษาหรือมนสิการว่า ขอจงมีอายุยืนเถิด. แต่ (ถ้า) ถูกถามถึงวันว่า วันนี้เป็นวันอะไรครับ หรือถามจํานวนภิกษุถามปัญหา ก็จะกลืนน้ำแล้วจึงบอก ถึงหากไม่มีผู้ถามถึงวันเป็นต้น เวลาออกไปก็จะบ้วนน้ำออก (จากปาก) ที่ประตูบ้านแล้วจึงไป เหมือนภิกษุ ๕๐ รูป ที่จําพรรษาที่กลัมพติตถวิหาร.

เรื่องพระ ๕๐ รูป

ได้ทราบว่า ในวันอาสาฬหปุณณมี (กลางเดือน ๘) ท่านเหล่านั้นได้ทํากติกาวัตรกันไว้ว่า ถ้าพวกเรายังไม่บรรลุอรหัตแล้ว จะไม่พูดคุยกัน. และเมื่อจะเข้าบ้านบิณฑบาต (แต่ละรูป) ก็อมน้ำแล้วจึงเข้าไป เมื่อถูกถามถึงวันเป็นต้น ก็ปฏิบัติดังที่กล่าวมาแล้วนั้นแหละ. คนทั้งหลายเห็นรอยบ้วนน้ำ ณ ที่นั้นแล้ว ก็รู้ว่าวันนี้พระมารูปเดียว วันนี้มา ๒ รูป

 
  ข้อความที่ 69  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 699

จึงคิดกันอย่างนี้ว่า ท่านเหล่านี้ไม่พูดเฉพาะกับพวกเราหรืออย่างไร? หรือแม้แต่พวกกันเองก็ไม่พูด? ถ้าหากท่านไม่พูดกัน ท่านจักวิวาทกันเป็นแน่ มาเถิด เราทั้งหลายจักให้ท่านขอขมากัน ทุกคนจึงพากันไปวัด ไม่ได้เห็นพระภิกษุในที่แห่งเดียวกันถึง ๒ รูป ในจํานวนพระ ๕๐ รูป.ต่อมาบรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้น ผู้มีตาดีก็จะพูดว่า พ่อคุณเอย คนทะเลาะกัน จะไม่มีโอกาสเช่นนี้ ลานเจดีย์ ลานโพธิ์ ก็กวาดเรียบร้อย ไม้กวาดก็เก็บไว้ดี น้ำฉันน้ำใช้ ก็จัดไว้เรียบร้อย. ต่อจากนั้น เขาเหล่านั้นก็พากันกลับ. ในภายในพรรษานั้นเอง พระภิกษุแม้เหล่านั้น ก็บรรลุอรหัต ในวันมหาปวารณา จึงปวารณากันด้วยวิสุทธิปวารณา.

ภิกษุมีจิตประกอบด้วยกรรมฐานนั้นเอง ยกเท้าขึ้น (เดินไป) ถึงใกล้บ้านแล้วอมน้ำไว้ พิจารณาดูทางหลายสาย ที่ไม่มีผู้คนทะเลาะกัน ไม่มีนักเลงสุรา และนักเลงการพนันเป็นต้น หรือไม่มีช้างดุ ม้าดุ เป็นต้นแล้ว เดินไปทางนั้น เหมือนท่านมหานาคเถระ ชาวกาลวัลลิมณฑปและเหมือนกับภิกษุผู้จําพรรษาในกลัมพติตถวิหาร ดังที่พรรณนามานี้.เธอเมื่อจะไปบิณฑบาตในบ้านนั้น ก็จะไม่เดินเร็ว เหมือนคนรีบร้อน.เพราะว่าไม่มีธุดงค์อะไร ที่มีชื่อว่าเป็นธุดงค์สําหรับผู้เดินบิณฑบาตเร็ว.แต่ว่าเดินไม่โคลงกายเหมือนเกวียนบรรทุกน้ำเต็ม (ไป) ถึงพื้นที่ราบเรียบ. และเข้าไปตามลําดับเรือน (ยืน) คอยเวลาพอสมควร เพื่อสังเกตดูว่าเขาประสงค์จะถวาย (ตักบาตร) หรือไม่ประสงค์จะถวาย รับภิกษาแล้ว (อยู่) ในบ้านหรือนอกบ้าน หรือมายังวิหารนั่นเอง นั่งในโอกาสที่สมควรตามสบายแล้ว มนสิการกรรมฐาน กําหนดปฏิกูลสัญญาในอาหารพิจารณาโดยเปรียบเทียบกับน้ำมันหยอดเพลา ผ้าพันแผล และเนื้อบุตร

 
  ข้อความที่ 70  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 700

นําอาหารที่ประกอบด้วยองค์ ๘ มา ไม่ใช่ฉันเพื่อจะเล่น ไม่ใช่ฉันเพื่อจะตกแต่ง ไม่ใช่ฉันเพื่อจะประดับประดา และฉันแล้ว จัดเรื่องเกี่ยวกับน้ำ (ดื่ม, ล้าง) เสร็จแล้ว ระงับความลําบากที่เกิดจากอาหาร (เมาข้าวสุก) สักครู่หนึ่งแล้ว จึงมนสิการกรรมฐานนั่นแหละ ในเวลาหลังฉันเหมือนกับเวลาก่อนฉัน และในเวลาปัจฉิมยามเหมือนกับเวลาปฐมยาม.ภิกษุรูปนี้ เรียกได้ว่า ทั้งนําไปและนํากลับ.

ก็เธอเมื่อบําเพ็ญคตปัจจาคติกวัตร กล่าวคือการนําไปและนํากลับนี้ ถ้าหากมีอุปนิสัยสมบูรณ์ไซร้ ก็จะบรรลุอรหัตในปฐมยามนั่นเอง ถ้าหากไม่บรรลุในปฐมยาม ต่อไปก็จะบรรลุในมัชฌิมยาม ถ้าหากในมัชฌิมยามไม่บรรลุไซร้ ต่อไปก็จะบรรลุในมรณสมัย ถ้าหากในมรณสมัยไม่บรรลุไซร้ ต่อไปก็จะเป็นเทพบุตรแล้วบรรลุ ถ้าหากเป็นเทพบุตรแล้วก็ยังไม่บรรลุไซร้ เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ จะเกิดขึ้นแล้วทําให้แจ้งปัจเจกโพธิญาณ ถ้าไม่ทําให้แจ้งปัจเจกโพธิญาณไซร้ ต่อไปจะเป็นผู้รู้โดยเร็ว (ขิปปาภิญญาบุคคล) ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหมือนพระพาหิยทารุจีริยเถระจะมีปัญญามาก เหมือนพระสารีบุตรเถระ จะมีฤทธิ์มากเหมือนพระโมคคัลลานเถระ จะเป็นผู้บอกธุดงค์เหมือนพระมหากัสสปเถระ จะเป็นผู้มีทิพยจักษุเหมือนพระอนุรุทธเถระ จะเป็นพระวินัยธรเหมือนพระอุบาลีเถระ จะเป็นพระธรรมกถึกเหมือนพระปุณณมันตานีบุตรเถระ จะเป็นผู้อยู่ป่าเป็นประจําเหมือนพระเรวตเถระ จะเป็นพหูสูตรเหมือนพระอานนทเถระ หรือจะเป็นผู้ใคร่การศึกษาเหมือนพระราหุลเถระพุทธบุตร ดังนี้.

ภิกษุผู้นําไปและนํากลับใน ๔ วาระนี้ จะมีโคจรสัมปชัญญะ ถึง

 
  ข้อความที่ 71  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 701

ยอด (วิปัสสนา) ด้วยประการดังที่พรรณนามานี้.

๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ

ส่วนการไม่หลงลืม ในการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น ชื่อว่าอสัมโมหสัมปชัญญะ อสัมโมหสัมปชัญญะนั้น พึงทราบอย่างนี้. ภิกษุในพระศาสนานี้ เมื่อก้าวไปข้างหน้า หรือถอยกลับ จะไม่ลืมเหมือนอันธปุถุชน (หลง) ไปว่า อัตตาก้าวไปข้างหน้า อัตตาให้เกิดการก้าวไปข้างหน้า หรือว่าเราก้าวไปข้างหน้า เราให้เกิดการก้าวไปข้างหน้า ในการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น เมื่อเกิดความคิด (จิต) ขึ้นว่า เราจะไม่หลงลืมก้าวไปข้างหน้า วาโยธาตุที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน เมื่อให้เกิดวิญญัติขึ้น จะเกิดขึ้นพร้อมกับจิตดวงนั้นนั่นเอง. โครงกระดูกที่สมมติว่ากายนี้จะก้าวไปข้างหน้าตามอํานาจของการแผ่ขยายแห่งวาโยธาตุที่เกิดแต่กิริยาจิตด้วยประการอย่างนี้ เมื่อโครงกระดูกนั้นนั่นแหละก้าวไปข้างหน้า ในการยกเท้าแต่ละข้างขึ้น ธาตุ ๒ ชนิด คือ ปฐวีธาตุ และอาโปธาตุจะหย่อนจะอ่อนลง. ธาตุอีก ๒ อย่าง นอกจากนี้ (เตโชธาตุ วาโยธาตุ) จะมีกําลังมากยิ่งขึ้น. ในการย่างเท้าไป และการสืบเท้าไป เตโชธาตุ วาโยธาตุ (ที่เป็นไปแล้ว) ในการเหวี่ยง (เท้า) ออกไปจะหย่อน จะอ่อนลง.ธาตุอีก ๒ อย่าง นอกจากนี้ (ปฐวี, อาโป) จะมีกําลังมากยิ่งขึ้น. ในการเหยียบและการยัน รูปธรรมและอรูปธรรม ที่ใช้ในการยก (เท้า) ขึ้นนั้น ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ถึงการย่างเท้าไป ที่ใช้ใน การย่างเท้าไปก็ทํานองเดียวกัน ไม่ถึงการสืบเท้าไป ที่ใช้ในการสืบเท้าไป ก็ไม่ถึงการเหวี่ยง (เท้า) ออกไป ที่ใช้ในการเหวี่ยง (เท้า) ออกไป ก็ไม่ถึงการเหยียบ ที่ใช้ในการเหยียบ ก็ไม่ถึงการยัน. ข้อทุกข้อ (และ) ที่ต่อทุกแห่ง

 
  ข้อความที่ 72  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 702

เป็นไปตามระบบในที่นั้นๆ นั่นแหละ จะลั่นเปาะแปะๆ เหมือนเมล็ดงาที่โยนลงในกะทะที่ร้อน. ในเรื่องนั้นจะมีใครคนหนึ่งก้าวไป หรือจะมีการก้าวไปของใครคนหนึ่งเล่า. ความจริง (ว่า) โดยปรมัตถ์แล้ว คือการเดินของธาตุเท่านั้น การยืน, การนั่ง, การนอน, ก็ของธาตุ (ไม่ใช่ของใคร).

เพราะว่าในส่วนนั้นๆ จิตดวงอื่นเกิด ดวงอื่นดับพร้อมกับรูป (เป็นคนละดวง ไม่ใช่ดวงเดียวกัน) เหมือนกระแสน้ำที่ไหลติดต่อไป เป็นระลอกฉะนั้น ดังนี้แล.

ความไม่หลงในการก้าวไปข้างหน้า เป็นต้น ดังที่พรรณนามานี้ชื่อว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ ดังนี้แล. เป็นอันจบอรรถาธิบายว่า เป็นผู้ทําความรู้ตัวในการก้าวไปข้างหน้าและการถอยกลับ.

ก็การมองไปข้างหน้า ชื่อว่า อาโลกิตะ (การแลทรง) ในคําว่าอาโลกิเต วิโลกิเต นี้ การมองไปตามอนุทิศ (ทิศเฉียง) ชื่อว่า วิโลกิตะ (การแลซ้ายแลขวา) มีอิริยาบถแม้อย่างอื่นอีก ชื่อว่า การก้มลง, การเงยขึ้น และการหันไปมา โดยการมองข้างล่าง มองข้างบน มองข้างๆ.อิริยาบถเหล่านี้ ไม่ทรงถือเอาในที่นี้. แต่โดยความเหมาะสม ทรงถือเอา ๒ อย่างนี้ เท่านั้น หรือโดยความสําคัญ (มุข) นี้ ทรงถือเอาแม้ทั้งหมดนั้นนั่นแหละ ดังนี้.

บรรดาสัมปชัญญะเหล่านั้น การคํานึงถึงประโยชน์โดยไม่มองดูด้วยอํานาจจิตเท่านั้น ในเมื่อเกิดความคิดขึ้นว่า เราจะมองดู ชื่อว่า สาตถกสัมปชัญญะ. สาตถกสัมปชัญญะนั้น ควรทราบโดยยกเอาท่าน

 
  ข้อความที่ 73  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 703

พระนันทะ ผู้มีกายเป็นพยาน (มาเป็นตัวอย่าง). สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากพระนันทะ จําต้องมองดูทิศตะวันออกไซร้ พระนันทะก็จะประมวลเอาทุกสิ่งทุกอย่างโดยจิต แล้วจึงมองดูทิศตะวันออก ด้วยคิดว่า เมื่อเรามองดูทิศตะวันออกอย่างนี้แล้ว อภิชฌาโทมนัส คือ อกุศลธรรมที่ลามก จักไม่ท่วมทับเรา.ด้วยประการดังนี้ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จะเป็นผู้มีความรู้ตัว ในสาตถกสัมปชัญญะนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากพระนันทะจะต้องมองดูทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ํา และทิศเฉียงทั้งหลายไซร้ พระนันทะก็จะประมวลเอาทุกสิ่งทุกอย่างโดยจิต แล้วจึงจะมองดูทิศเฉียงทั้งหลาย ด้วยคิดว่า เมื่อเรามองทิศเฉียงทั้งหลายอยู่อย่างนี้ ฯลฯ จะเป็นผู้มีความรู้ตัวในสาตถกสัมปชัญญะนั้น.

ก็อีกอย่างหนึ่ง แม้ในสัมปชัญญบรรพนี้ ควรจะทราบสาตถกสัมปชัญญะ และสัปปายสัมปชัูญะ โดยการเห็นพระเจดีย์ ที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นเป็นต้นเถิด. ส่วนการไม่ละกรรมฐานนั้นแหละ ชื่อว่าโคจรสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้น ผู้เจริญกรรมฐาน มีขันธ์ธาตุและอายตนะเป็นอารมณ์ ควรทําการแลตรงและการแลซ้ายแลขวา ด้วยอํานาจกรรมฐานของตนเท่านั้น หรือว่า ผู้เจริญกรรมฐานมีกสิณเป็นต้น (เป็นอารมณ์) ควรทําการแลตรงและการแลซ้ายแลขวา ด้วยอาการมีกรรมฐานเป็นสําคัญเหมือนกัน.ธรรมดาอัตตาในภายในชื่อว่าเป็นผู้แลตรงและแลซ้ายแลขวาไม่มีแต่เมื่อเกิดความคิดขึ้นว่า เราจักแลตรง วาโยธาตุที่เกิดแต่จิต เมื่อจะให้วิญญัติเกิด ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับจิตดวงนั้นนั่นเอง

 
  ข้อความที่ 74  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 704

ด้วยประการดังนี้ เปลือกตา (หนังตา) ข้างล่าง ก็จะร่นลง เบื้องล่าง เปลือกตา (หนังตา) ข้างบนก็จะเลิกขึ้นข้างบน โดยอํานาจการแผ่ขยายของวาโยธาตุ ที่เกิดแต่กิริยาของจิต. ไม่มีใครที่ชื่อว่าเปิด (เปลือกตา) ด้วยเครื่องยนต์กลไก. ต่อจากนั้นไป จักขุวิญญาณจะเกิดขึ้นให้สําเร็จทัสสนกิจ (การเห็น) ก็ความรู้ตัว ดังที่พรรณนามานี้ ชื่อว่า อสัมโมหสัมปชัญญะในเรื่องแห่งสัมปชัญญะนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ในเรื่องสัมปชัญญะนี้ พึงทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ แม้ด้วยอํานาจเป็นมูลปริญญา (การกําหนดรู้ขั้นต้น) เป็นอาคันตุกะ (เป็นแขก) และเป็นตาวกาลิก (เป็นไปชั่วคราว). ก่อนอื่นควรทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจมูลปริญญา (ดังต่อไปนี้) :-

ภวังค์ (จิตอยู่ในภวังค์) ๑ อาวัชชนะ (การระลึกถึงอารมณ์) ๑ ทัสสนะ (การเห็นอารมณ์) ๑ สัมปฏิจฉนะ (การรับเอาอารมณ์) ๑ สันตีรณะ (การพิจารณาอารมณ์) ๑ โวฏฐัพพะ (การตัดสินอารมณ์) ๑ ที่ ๗ คือ ชวนะ ๑.

หน้าที่ของจิตแต่ละขณะ

บรรดาจิตทั้ง ๗ นั้น ภวังค์ให้กิจคือเป็นเหตุแห่งอุปปัตติภพสําเร็จเป็นไป. กิริยามโนธาตุ ครั้นยังภวังค์นั้นให้หมุนกลับ แล้วจะให้อาวัชชนกิจสําเร็จอยู่ เพราะอาวัชชนกิจนั้นดับไป จักขุวิญญาณจะให้ทัสสนกิจสําเร็จเป็นไป เพราะทัสสนกิจนั้นดับไป วิปากมโนธาตุ

 
  ข้อความที่ 75  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 705

จะให้สัมปฏิจฉนกิจสําเร็จเป็นไป เพราะสัมปฏิจฉนกิจนั้นดับไป มโนวิญญาณธาตุที่เป็นวิบาก จะให้สันตีรณกิจสําเร็จเป็นไป เพราะสันตีรณกิจนั้นดับไป มโนวิญญาณธาตุที่เป็นกิริยาจะให้โวฏฐัพพนกิจสําเร็จเป็นไป เพราะโวฏฐัพพนกิจนั้นดับไป ชวนะจะแล่นไป ๗ ครั้ง บรรดาชวนะทั้ง ๗ นั้น ถึงในชวนะแรก การแลตรง และการแลซ้ายแลขวาด้วยอํานาจความกําหนัด ความขัดเคือง และความหลงว่า นี้เป็นหญิงนี้เป็นชาย จะไม่มี ในชวนะที่ ๒ ก็ดี ฯลฯ ในชวนะที่ ๗ ก็ดี (ก็จะไม่มี). แต่เมื่อชวนะเหล่านี้แตกดับเป็นไปแล้ว ด้วยอํานาจจิตดวงแรกจนถึงจิตดวงสุดท้าย เหมือนทหารในสนามรบ การแลตรงและการแลซ้ายแลขวา ด้วยอํานาจความกําหนัดเป็นต้นว่า นี้เป็นหญิง นี้เป็นชายก็จะมี. พึงทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจเป็นมูลปริญญา ในอิริยาบถบรรพนี้ ดังที่พรรณนามานี้ก่อน.

ก็เมื่อรูปปรากฏในจักษุทวารแล้ว ต่อจากภวังคจลนะ (ภวังค์ไหว) ไป เมื่อวิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้น เกิดขึ้นแล้วดับไปด้วยอํานาจทํากิจของตนให้สําเร็จ ในที่สุด ชวนะก็จะเกิดขึ้น ชวนะนั้นจะเป็นเหมือนชายที่เป็นแขกของวิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้นที่เกิดขึ้นก่อน (มาเยี่ยมถึง) ประตู คือตา (จักขุทวาร) ที่เท่ากับเป็นเรือน แม้เมื่อวิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้น ไม่กําหนัด ไม่ขัดเคือง ไม่ลุ่มหลงในจักขุทวาร ที่เท่ากับเป็นเรือนของอาวัชชนะเป็นต้น ชวนะนั้นจะกําหนัด จะขัดเคือง จะลุ่มหลงก็ไม่ถูก เหมือนกับชายที่เป็นแขก เข้าไปขออะไรบางอย่างที่เรือนคนอื่นเมื่อเจ้าของบ้านนั่งนิ่ง จะทําการบังคับ ก็ไม่ถูกฉะนั้น พึงทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ โดยเป็นเสมือนแขก ดังที่พรรณนามานี้.

 
  ข้อความที่ 76  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 706

อนึ่ง จิตมีโวฏฐัพพนะเป็นที่สุด ที่เกิดขึ้น ในจักขุทวารเหล่านี้ จะแตกดับไปในที่นั้นๆ นั่นแหละพร้อมกับสัมปยุตตธรรม จะไม่ประจวบกันเลย เพราะฉะนั้น จิตนอกนี้ จึงเป็นไปชั่วคราวเท่านั้น.ในข้อนั้น ผู้ศึกษาควรทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ โดยความเป็นไปชั่วคราวอย่างนี้ว่า ในเรือนหลังเดียวกัน เมื่อคนตายกันหมดแล้ว คนคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งธรรมดาก็จะตายไปอีกในไม่ช้าเหมือนกัน ชื่อว่าจะยังมีความร่าเริงในการฟ้อนและการร้องรําเป็นต้น ไม่ถูก ฉันใด เมื่ออาวัชชนจิต เป็นต้น ที่สัมปยุตแล้วในทวารเดียวกัน แตกดับไปในที่นั้นๆ นั่นเอง แม้ชวนจิตที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งก็จะมีการแตกดับไปเป็นธรรมดา ภายในไม่ช้าเหมือนกัน ชื่อว่าจะยังมีความร่าเริงอยู่ด้วยอํานาจความกําหนด ความขัดเคือง และความลุ่มหลง ไม่ถูกแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน.

เออก็ อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอสัมโมหสัมปชัญญะนี้ โดยการพิจารณาขันธ์ อายตนะ ธาตุ และปัจจัย (ดังต่อไปนี้) อธิบายว่า ในคําว่าขันธ์เป็นต้นนี้ ทั้งจักษุ ทั้งรูป ชื่อว่ารูปขันธ์ การเห็น ชื่อว่าวิญญาณขันธ์ การเสวยอารมณ์ที่สัมปยุตด้วยวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่าเวทนาขันธ์ ความจําได้หมายรู้ ชื่อว่าสัญญาขันธ์ ธรรมมีผัสสะเป็นต้น ชื่อว่าสังขารขันธ์ ในเพราะขันธ์เหล่านี้มาประจวบกันเข้า การแลตรง และการแลซ้าย แลขวาจึงปรากฏ. เมื่อการแลตรง และการแลซ้าย แลขวาปรากฏ อยู่ด้วยอํานาจเบญจขันธ์นั้น (แล้วจะมี) ใครสักคนมาแลตรง? จะมีใครสักคนมาแลขวาเล่า?.

อีกประการหนึ่ง จักษุ ชื่อว่าจักขวายตนะ รูป ชื่อว่ารูปายตนะ

 
  ข้อความที่ 77  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 707

การเห็น ชื่อว่ามนายตนะ สัมปยุตตธรรมทั้งหลาย มีเวทนาเป็นต้นชื่อว่าธรรมายตนะ ในเพราะอายตนะ ๔ เหล่านั้นมาประจวบกันอย่างนี้นั่นแหละ การแลตรง และการแลซ้ายแลขวาจึงปรากฏ. เมื่อการแลตรง และการแลซ้ายแลขวาปรากฏด้วยอํานาจอายตนะ ๔ อยู่นั้น แล้วจะมีใครสักคนมาแลตรง? จะมีใครสักคนมาแลซ้ายแลขวาเล่า?. อีกประการหนึ่ง จักษุชื่อว่าจักขุธาตุ รูป ชื่อว่ารูปธาตุ การเห็น ชื่อว่าจักขุวิญญาณธาตุ เวทนาเป็นต้นที่สัมปยุตด้วยจักษุวิญญาณธาตุนั้น ชื่อว่าธรรมธาตุ ในเพราะธาตุ ๔ เหล่านี้มาประจวบกันอย่างนี้ การแลตรง และการแลซ้ายแลขวาจึงปรากฏ เมื่อการแลตรง และการแลซ้ายแลขวาปรากฏด้วยอํานาจธาตุ ๔ อยู่นั้น แล้วจะมีใครสักคนมาแลตรง? จะมีใครสักคนมาแลซ้ายแลขวา?.

อีกประการหนึ่ง จักษุเป็นนิสสยปัจจัย รูปเป็นอารัมมณปัจจัย อาวัชชนะเป็นอนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย อุปนิสสัยปัจจัย นัตถิปัจจัย และวิคตปัจจัย อาโลกะ (แสงสว่าง) เป็นอุปนิสสยปัจจัย รูปและเวทนาเป็นต้น เป็นสหชาตปัจจัย. ในเพราะปัจจัยเหล่านั้นประจวบกันอย่างนั้น การแลตรง และการแลซ้ายแลขวาจึงปรากฏ เมื่อการแลตรงและการแลซ้ายแลขวาปรากฏด้วยอํานาจปัจจัยอยู่นั้น แล้วจะมีใครสักคนมาแลตรง? จะมีใครสักคนมาแลซ้ายแลขวาเล่า?. พึงทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ แม้โดยการพิจารณาขันธ์ อายตนะ ธาตุ และปัจจัย ในการแลตรงและแลซ้ายแลขวานี้ ดังที่พรรณนามานี้แล.

คำว่า ในการคู้เข้าและเหยียดออก (สมฺมิฺชิเต ปสาริเต) ได้แก่ ในการคู้เข้าและเหยียดข้อพับ (ศอก, เข่า) ออกไป.

 
  ข้อความที่ 78  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 708

บรรดาสัมปชัญญะทั้ง ๔ นั้น การไม่ทําการคู้เข้าและการเหยียดออกไปด้วยอํานาจจิต (ความคิด) อย่างเดียว แต่พิเคราะห์ดูผลได้ผลเสียเพราะมีการคู้เข้าและเหยียดมือหรือเท้าออกไปเป็นปัจจัยแล้ว เลือกเอาแต่ประโยชน์ ชื่อว่าสาตถกสัมปชัญญะ ในการคู้เข้าและเหยียดออกไปนั้น พึงทราบการพิเคราะห์ถึงผลเสียอย่างนี้ว่า เมื่อเธอคู้มือหรือเท้าเข้ามาวางไว้นานๆ หรือเหยียดมือ หรือเท้าออกไปวางไว้นานๆ เวทนาจะเกิดขึ้นทุกๆ ครั้ง. จิตก็จะไม่ได้อารมณ์เลิศอันเดียว (ไม่เป็นสมาธิ) กรรมฐานก็จะล้มเหลว เธอจะไม่ได้บรรลุคุณวิเศษ. แต่เมื่อคู้เข้าพอเหมาะ เหยียดออกไปพอดี เวทนาจะไม่เกิดขึ้น (เลย) จิตจะเป็นเอกัคคตา กรรมฐานก็จะถึงความเจริญ เธอจะได้บรรลุคุณวิเศษ.

ส่วนการที่เมื่อปัจจัยแม้มีอยู่ พระโยคาวจรยังพิเคราะห์สถานที่เป็นสัปปายะและไม่เป็นสัปปายะ แล้วเลือกเอาสถานที่ ที่เป็นสัปปายะชื่อว่าสัปปายสัมปชัญญะ. ในสัปปายสัมปชัญญะ มีนัยดังต่อไปนี้

ทราบมาว่า ภิกษุหนุ่มๆ พากันสวดมนต์ที่ลานพระเจดีย์ใหญ่ เบื้องหลังของภิกษุเหล่านั้น ภิกษุณีสาวๆ กําลังฟังธรรมกัน. ในจํานวนภิกษุเหล่านั้น ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเหยียดมือออกไปถูกกายภิกษุณี แล้วได้กลายเป็นคฤหัสถ์ไปเพราะเหตุนั้นนั่นเอง. ภิกษุอีกรูปหนึ่งเมื่อเหยียดเท้าออกไป ได้เหยียดไปที่ไฟ ไฟไหม้เท้าถึงกระดูก. อีกรูปหนึ่งเหยียดไปที่จอมปลวก ท่านถูกงูพิษกัด. อีกรูปหนึ่งเหยียดไปที่ด้ามกลด งูเห่าปีแก้วกัดท่าน. เพราะฉะนั้น (เมื่อจะเหยียดเท้า) ก็อย่าเหยียดไปในที่ที่ไม่เป็นสัปปายะเช่นนี้ ควรเหยียดไปในที่ที่เป็นสัปปายะ. นี้เป็น

 
  ข้อความที่ 79  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 709

สัปปายสัมปชัญญะ ในอิริยาปถบรรพนี้.

ส่วนโคจรสัมปชัญญะ ควรแสดงด้วยเรื่องพระมหาเถระ ดังต่อไปนี้.

เรื่องพระมหาเถระ

เล่ากันมาว่า พระมหาเถระนั่งในที่พักกลางวัน เมื่อจะสนทนากับเหล่าอันเตวาสิกได้กํามือเข้าแล้วแบออกอย่างเดิม (จากนั้น) จึงค่อยๆ กําเข้าอีก เหล่าอันเตวาสิกได้เรียนถามท่านว่า ใต้เท้า ขอรับ เหตุไฉนใต้เท้าจึงกํามือเข้าอย่างเร็ว แล้วกลับแบไว้อย่างเดิม จากนั้นจึงค่อยๆ กําเข้าอีก. พระมหาเถระตอบว่า คุณ ตั้งแต่ผมเริ่มใส่ใจกรรมฐาน ผมไม่เคยละกรรมฐานแล้วกํามือเลย แต่บัดนี้ผมจะพูดกับพวกคุณ ได้ละกรรมฐานแล้วจึงกํามือ เพราะฉะนั้น ผมจึงได้แบมือออกไปตามเดิมแล้วค่อยๆ กําเข้าอีก. อันเตวาสิกทั้งหลายกราบเรียนว่า ดีแล้ว ขอรับใต้เท้า ธรรมดาภิกษุควรจะเป็นแบบนี้. แม้ในอิริยาปถบรรพนี้ การไม่ละกรรมฐาน พึงทราบว่า ชื่อว่าโคจรสัมปชัญญะ ด้วยประการฉะนี้.

ไม่มีอะไรในภายในที่ชื่อว่า อัตตา คู้เข้ามาหรือเหยียดออกไปอยู่.แต่การคู้เข้าและเหยียดออก มีได้โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดแต่กิริยาจิตมีประการดังที่กล่าวมาแล้ว เหมือนการเคลื่อนไหวมือและเท้าของหุ่นโดยการชักด้วยเชือก เพราะฉะนั้น ก็การกําหนดรู้ (ดังที่กล่าวมานี้) พึงทราบเถิดว่า ชื่อว่ามีอสัมโมหสัมปชัญญะ ในอิริยาปถบรรพนี้.

การใช้ผ้าสังฆาฏิ และผ้าจีวร โดยการนุ่งการห่ม (๑) การใช้บาตรโดยการรักษาเป็นต้น ชื่อว่าธารณะ ในคําว่า สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณนี้. การได้อามิสของภิกษุผู้นุ่งและห่มแล้ว เที่ยวไปบิณฑบาต และประ


(๑) ปาฐะว่า นิวาสนปารุปนวเสน น่าจะเป็นปารุปนวเสน ซึ่งแปลว่า ห่ม เพราะเป็นผ้าห่มไม่ใช่ผ้านุ่ง, (ผู้แปล).

 
  ข้อความที่ 80  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 710

โยชน์มีประการดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นั่นแหละโดยนัยมีอาทิว่าสีตสฺส ปฏิฆาตาย (เพื่อบําบัดหนาว) ชื่อว่าประโยชน์ในการครองผ้าสังฆาฏิ และผ้าจีวรนั้น ผู้ศึกษาควรเข้าใจสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งประโยชน์นั้นก่อน.

ส่วนจีวรเนื้อละเอียด เป็นสัปปายะของผู้มีปกติร้อน (ขี้ร้อน) และผู้มีกําลังน้อย (แต่) จีวรเนื้อหยาบหนา เป็นสัปปายะของผู้มีปกติหนาวมาก (ขี้หนาว) ผิดไปจากนี้ก็ไม่เป็นสัปปายะ. จีวรเก่าไม่เป็นสัปปายะของใครๆ เลย. เพราะมันทําความกังวลใจให้ท่านโดยให้ความข้องใจเป็นต้น. ผ้าจีวรชนิดชิ้นเดียว (ไม่ได้ตัดให้เป็นขัณฑ์) และผ้าเปลือกไม้เป็นต้นที่เป็นที่ตั้งแห่งความโลภก็อย่างนั้น เพราะผ้าเช่นนั้นทําอันตรายแก่การอยู่โดดเดี่ยวในป่า หรือทําอันตรายถึงแก่ชีวิตก็มี และโดยตรงแล้วผ้าจีวรผืนใดที่เกิดขึ้น (ได้มา) ด้วยอํานาจมิจฉาชีพ มีการทํานิมิตเป็นต้น และจีวรใดเมื่อท่านใช้อยู่ อกุศลธรรมเจริญขึ้น กุศลธรรมเสื่อมลง จีวรนั้น เป็นอสัปปายะ แต่จีวรที่ผิดแผกไปจากนี้ เป็นสัปปายะ.

ในสัมปชัญญบรรพนี้ ผู้ศึกษาพึงเข้าใจสัปปายสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจของจีวรนั้น และโคจรสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจการไม่ละทิ้งกรรมฐานเลย.

ไม่มีอะไรที่ชื่อว่าอัตตาในภายในของภิกษุผู้ห่มจีวรอยู่ มีแต่การห่มจีวร โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดแต่กิริยาของจิตมีประการดังที่กล่าวแล้วเท่านั้น. บรรดาจีวรและกายทั้ง ๒ อย่างนั้น ถึงจีวรก็ไม่มีความตั้งใจ ถึงกายก็ไม่มีความตั้งใจ จีวรก็ไม่รู้ว่าเราห่มกาย. ถึงกายก็ไม่รู้ว่าจีวรห่มเรา. ธาตุทั้งหลายเท่านั้น ปกคลุมกลุ่มธาตุไว้ เหมือนเอาผ้าเก่า

 
  ข้อความที่ 81  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 711

ห่อรูปคือคัมภีร์ เพราะฉะนั้น ได้จีวรที่ดีแล้ว ก็ไม่ควรทําความดีใจเลย ได้ไม่ดี ก็ไม่ควรเสียใจ อธิบายว่า คนบางพวกพากันสักการะ นาคจอมปลวกเจดีย์และต้นไม้ (๑) เป็นต้น ด้วยดอกไม้ของหอมและผ้าเป็นต้น.แต่คนลางเหล่า ทําสิ่งที่ไม่ใช่สักการะ เช่น ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดเอาโคลนทา เอาท่อนไม้ตีและศัสตราประหาร เป็นต้น นาค จอมปลวกและต้นไม้ เป็นต้น จะไม่ทําความยินดียินร้ายด้วยสักการะหรืออสักการะนั้น (ฉันใด) ภิกษุก็เช่นนั้นเหมือนกัน ได้จีวรดีแล้ว ก็ไม่ควรทําความดีใจ ได้ไม่ดี ก็ไม่ควรเสียใจ. ในสัมปชัญญบรรพนี้ ผู้ศึกษาควรเข้าใจอสัมโมหสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจการพิจารณาที่เป็นไปแล้วดังที่พรรณนามานี้เทอญ.

แม้ในการอุ้มบาตร ก็ควรทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจประโยชน์ที่จะพึงได้ (๒) เพราะมีการถือบาตรเป็นปัจจัยอย่างนี้ว่า เราจักไม่รีบร้อนถือบาตร แต่จะถือเอาบาตร (โดยมีกรรมฐานเป็นสําคัญ) เที่ยวไปบิณฑบาต ก็จักได้ภิกษา.

ส่วนบาตรหนัก ไม่เป็นสัปปายะ สําหรับภิกษุผู้มีร่างกายผอมและแรงน้อย และบาตรที่เชื่อม (เหล็ก) เข้ากัน ๔ - ๕ แผ่น ตะไบไม่เรียบร้อย ไม่เป็นสัปปายะแก่คนใดคนหนึ่งเลย (๓) เพราะว่า บาตรที่ล้างยาก ไม่เหมาะ ก็เมื่อล้างบาตรนั่นแหละ เธอจะมีความกังวล. ส่วนบาตรที่มีสีเหมือน แก้วมณี เป็นที่ตั้งแห่งความโลภ ไม่เป็นสัปปายะ โดย


(๑) ปาฐะว่า นานาวมฺมิกเจติยรุกฺขาทีสุ ฉบับพม่าเป็น นาควมฺมิกเจติยรุกฺขาทีสุ แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า ปฏิลภิตพฺพํ อตฺตวเสน พม่าเป็น ปฏิลภิตพฺพอตฺถวเสน แปลตามฉบับพม่า.

(๓) ปาฐะว่า อสปฺปาโย จ พม่าเป็น อสปฺปาโยว แปลตามพม่า.

 
  ข้อความที่ 82  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 712

นัยที่ได้กล่าวไว้แล้วในจีวรนั่นแหละ แต่บาตรที่ได้มาโดยการทํานิมิตเป็นต้น ซึ่งเมื่อภิกษุนั้นใช้ อกุศลธรรมจะเจริญขึ้น กุศลธรรมจะเสื่อมลง บาตรนี้เป็นอสัปปายะโดยส่วนเดียวเท่านั้น บาตรที่ผิดแผกไป (จากนี้) เป็นสัปปายะ. พึงทราบสัปปายสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งบาตรนั้นพึงทราบโคจรสัมปชัญญะ โดยไม่ละกรรมฐาน.

ไม่มีอะไรที่ชื่อว่าเป็นอัตตาในภายในแก่ภิกษุอุ้มบาตรอยู่ ธรรมดาการอุ้มบาตร จะมีได้ก็โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดขึ้น เพราะกิริยาของจิตมีประการดังที่กล่าวมาแล้ว บรรดามือและบาตรทั้ง ๒ อย่างนั้น ทั้งบาตรก็ไม่มีความตั้งใจ ทั้งมือก็ไม่มีความตั้งใจ บาตรก็ไม่รู้ว่ามืออุ้มเรา ถึงมือก็ไม่รู้ว่า เราอุ้มบาตร ธาตุทั้งหลายเท่านั้นอุ้มกลุ่มธาตุเหมือนกับในเวลาเอาคีมคีบบาตรที่สุมไฟ เพราะฉะนั้น ในสัมปชัญญบรรพนี้ พึงทราบอสัมโมทสัมปชัญญะ โดยการพิจารณาที่เป็นไปแล้ว ดังที่พรรณนามานี้.

อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุใด พิจารณาเห็นจีวรเหมือนผ้าพันแผล บาตรเหมือนกระเบื้องใส่ยา และภิกษาที่ได้มาในบาตรเหมือนยาในกระเบื้องภิกษุนี้พึงทราบเถิดว่า เป็นผู้มีปกติทําความรู้ตัวสูงสุดเป็นปกติ ด้วยอสัมโมหสัมปชัญญะ ในการพาดสังฆาฏิ อุ้มบาตร และห่มจีวร เหมือนกับชายที่มีความเอ็นดู เห็นคนอนาถานอน (๑) อยู่ที่ศาลา สําหรับคนอนาถามีมือเท้าด้วน มีน้ำเหลืองและเลือดทั้งหมู่หนอนไหลออกจากปากแผล มีแมลงวันหัวเขียวตอมหึ่ง จึงได้หาผ้าพันแผลและยา พร้อมทั้งกระเบื้องใส่ยาไปมอบให้เขาเหล่านั้น ในจํานวนสิ่งของเหล่านั้น แม้ผ้าที่เนื้อ


(๑) พม่ามีศัพท์ นิปนฺเน ในระหว่างนี้ จึงแปลตามพม่า

 
  ข้อความที่ 83  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 713

ละเอียดก็ตกแก่ลางพวก ที่เนื้อหยาบก็ตกแก่ลางพวก ถึงกะลาใส่ยาที่ทรวดทรงงามก็ตกแก่ลางพวก ที่ทรวดทรงไม่งามก็ตกแก่ลางพวก พวกเขาจะไม่ดีใจหรือเสียใจในสิ่งของเหล่านั้น เพราะพวกเขามีความต้องการผ้าเพียงแต่ใช้ปิดแผลเท่านั้น และกะลาเพียงแต่ใช้รับยาเท่านั้นฉะนั้น.

พึงทราบวินิจฉัย ในการฉันเป็นต้น (ดังต่อไปนี้) :-

บทว่า อสิเต ความว่า ในการฉันบิณฑบาต.

บทว่า ปิเต ความว่า ในการดื่มข้าวยาคูเป็นต้น.

บทว่า ขาทิเต ความว่า ในการเคี้ยวของเคี้ยวที่ทําด้วยแป้งเป็นต้น.

บทว่า สายิเต ความว่า ในการดื่มของดื่มมีน้ำอ้อยเป็นต้น.

ในการฉันเป็นต้นนั้น ประโยชน์ทั้ง ๘ อย่าง ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยนัยนี้อาทิว่า เนว ทวาย (ไม่ใช่เพื่อเล่น) ชื่อว่าประโยชน์ ผู้ศึกษาพึงทราบสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งประโยชน์นั้น.

ก็ผู้ใดมีความไม่สบาย เพราะโภชนะใด โภชนะนั้นเป็นอสัปปายะสําหรับผู้นั้น ส่วนโภชนะใดได้มาโดยการทํานิมิต เป็นต้น และเมื่อเธอฉันโภชนะใด อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมสิ้นไป.

โภชนะนั้นเป็นอสัปปายะโดยถ่ายเดียวเท่านั้น. แต่ที่ผิดเพี้ยนไป (จากนี้) เป็นสัปปายะ.

ผู้ศึกษาควรเข้าใจสัปปายสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจแห่งโภชนะที่เป็นสัปปายะนั้น และพึงทราบโคจรสัมปชัญญะ โดยไม่ละทิ้งกรรมฐานเลย.

ไม่มีใครชื่อว่า อัตตา ในภายในเป็นผู้กิน มีแต่การรับบาตรธรรมดาโดยการแผ่ขยายแห่งวาโยธาตุที่เกิดแต่กิริยาของจิตมีประการดังที่กล่าวมา

 
  ข้อความที่ 84  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 714

แล้วเท่านั้น มีแต่การหย่อนมือลงในบาตรธรรมดา โดยการแผ่ขยายแห่งวาโยธาตุอันเกิดแต่กิริยาของจิตเท่านั้น มีแต่การปั้นคําข้าว การยกคําข้าวขึ้น และการอ้าปากรับ โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดแต่กิริยาของจิตเท่านั้น ไม่มีใครเอากุญแจและเครื่องยนต์เปิดกระดูกคาง มีแต่การวางคําข้าวไว้ในปาก การให้ฟันบนทําหน้าที่แทนสาก การให้ฟันข้างล่างทําหน้าที่แทนครก และการให้ลิ้นทําหน้าที่แทนมือ โดยการแผ่ขยายของวาโยธาตุที่เกิดแต่กิริยาของจิตเท่านั้น.

ด้วยเหตุอย่างนี้ น้ำลายจํานวนเล็กน้อยจากปลายลิ้น ในบรรดาปลายและโคนนั้น (และ) น้ำลายจํานวนมากจากโคนลิ้น ก็จะคลุกเคล้าคําข้าวนั้น คําข้าวนั้นจะพลิกไปมาด้วยมือคือลิ้นในครกคือฟัน (กราม) ล่าง เปียกชุ่มไปด้วยน้ำคือเขฬะ บดละเอียดด้วยสากคือฟัน (กราม) บน, ขึ้นชื่อว่าใครๆ จะเอาช้อนหรือทัพพีสอดเข้าไปข้างใน (ปาก) ไม่มี. (คําข้าว) เข้าไปได้ เพราะวาโยธาตุนั่นเอง คําข้าวที่เข้าๆ ไปแล้ว ใครๆ ชื่อว่าจะยั้งไว้ ทําให้เป็น (เหมือน) สุมกองฟางไว้ไม่มีแต่จะวางไว้ได้ด้วยอํานาจวาโยธาตุเท่านั้น, ที่วางๆ ไว้แล้ว ใครๆ ชื่อว่าจะตั้งเตาติดไฟต้มให้เปือยไม่มี แต่จะเปือยได้เพราะเตโชธาตุเท่านั้น, ที่เปือยแล้วๆ ใครๆ ชื่อว่าจะเอาไม้ถือหรือไม้เท้า เขี่ยออกไปข้างนอกก็ไม่มี, วาโยธาตุเท่านั้นจะนําออกไป. ด้วยเหตุอย่างนี้ วาโยธาตุนํา (คําข้าว) เข้าไปด้วย นําออกไปด้วย ให้หยุดอยู่ด้วย ให้พลิกไปมาด้วย ให้ย่อยไปด้วย ให้นํา (กาก) ออกไปด้วย, ปฐวีธาตุทรงไว้ด้วย ให้พลิกไปด้วย ให้ย่อยด้วย, อาโปธาตุให้เกาะกุมกันไว้ด้วย รักษาไว้ให้สดอยู่ด้วย, เตโชธาตุจะย่อยคําข้าวที่เข้าไปข้างในแล้ว อากาศธาตุ

 
  ข้อความที่ 85  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 715

เป็นช่องทาง, วิญญาณธาตุคํานึงถึงโดยอาศัยการประกอบกันโดยชอบในธาตุนั้นๆ ผู้ศึกษาพึงเข้าใจสัมโมหสัมปชัญญะ ในสัมปชัญญบรรพโดยการพิจารณาที่เป็นไปแล้ว ดังที่พรรณนามานี้เทอญ.

ปฏิกูล ๑๐

อีกอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรควรทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ ในสัมปชัญญบรรพนี้ โดยการพิจารณาถึงความปฏิกูล ๑๐ อย่างนี้คือ โดยการไป ๑ โดยการแสวงหา ๑ โดยการฉัน ๑ โดยอัธยาศัย ๑ โดยการเก็บไว้ (ในกระเพาะอาหาร) ๑ โดยส่วนที่ยังไม่ย่อย ๑ โดยส่วนที่ย่อยแล้ว ๑ โดยผล ๑ โดยซึมซาบ ๑ โดยเปรอะเปื้อน ๑ ส่วนกถาอย่างพิสดาร ในสัมปชัญญบรรพนี้ ควรถือเอาจากนิเทศแห่งอาหาเรปฏิกูลสัญญา ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเทอญ.

บทว่า อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม ความว่า ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ (เพราะว่า) ถึงเวลานั้นแล้ว เมื่อไม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ. เหงื่อจะไหลออกทั่วร่างกาย นัยน์ตาจะพร่า จิตไม่เป็นเอกัคคตา และโรคอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้น. แต่เมื่อถ่ายแล้วสิ่งทั้งหมดนั้นจะไม่มี เพราะฉะนั้น ข้อความนี้เป็นอรรถาธิบายในคําว่า อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม นี้. ผู้ศึกษาพึงเข้าใจสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยอํานาจแห่งเนื้อความนั้น.

ที่เมื่อถ่ายอุจจาระปัสสาวะในที่ไม่สมควรจะเป็นอาบัติ จะเสื่อมยศ (เสียเกียรติ) จะเป็นอันตรายแก่ชีวิต แต่เมื่อถ่ายในที่เหมาะสม สิ่งทั้งหมดนั้นจะไม่มี เพราะฉะนั้น การถ่ายในที่เหมาะสมนี้ จึงเป็นสัปปายะในอุจจารปัสสาวกรรมนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบสัปปายสัมปชัญญะ ด้วย

 
  ข้อความที่ 86  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 716

อํานาจแห่งสัปปายะนั้น ส่วนโคจรสัมปชัญญะ พึงทราบด้วยอํานาจการไม่ละทิ้งกรรมฐานนั่นแหละ.

ไม่มีใครชื่อว่าเป็นอัตตาในภายใน ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ มีแต่การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เพราะการแผ่ขยายแห่งวาโยธาตุที่เกิดแต่กิริยาของจิตเท่านั้น, ก็อุจจาระและปัสสาวะที่ขังอยู่ในไส้แก่ และกระเพาะปัสสาวะ ถูกกําลังลมดันไป ก็จะออกไปเอง โดยไม่อยากให้ออกเลยเหมือนเมื่อฝีแก่แล้ว หนองและเลือดจะไหลออกไปเอง โดยไม่อยาก (ให้ไหล) เพราะฝีแตก และเหมือนกับน้ำจะไหลออกจากภาชนะใส่น้ำที่ดันแล้ว โดยไม่อยาก (ให้ไหล) ฉะนั้น.

ก็อุจจาระและปัสสาวะนี้ใด ที่ถ่ายออกไปแล้ว อุจจาระและปัสสาวะนี้นั้นแห่งอัตตาของภิกษุนั้น จะไม่มีเลย ของผู้อื่นก็ไม่มี จะมีก็แต่การขับถ่ายของร่างกายเท่านั้น.

เหมือนอะไรหรือ?

เหมือนเมื่อเทน้ำเก่าทิ้งจากหม้อน้ำแล้ว หม้อก็ไม่มีน้ำนั้นเลย สิ่งอื่นก็ไม่มี คงมีแต่เพียงปฏิบัติการอย่างเดียวเท่านั้น ฉันใด ผู้ศึกษาพึงเข้าใจอสัมโมหสัมปชัญญะในอสัมปชัญญบรรพนี้ โดยการพิจารณากิริยาอาการที่เป็นไปแล้ว ฉันนั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในการเดินเป็นต้น (ดังต่อไปนี้) :-

บทว่า คเต ได้แก่ในการเดินไป.

บทว่า ิเต ได้แก่ในการยืน.

บทว่า นิสินฺเน ได้แก่ในการนั่ง.

บทว่า สุตฺเต ได้แก่ในการนอนหลับ.

 
  ข้อความที่ 87  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 717

บทว่า ชาคริเต ได้แก่ในการตื่น.

บทว่า ภาสิเต ได้แก่ในการกล่าว.

บทว่า ตุณฺหีภาเว ได้แก่ในการไม่พูด.

พระองค์ได้ตรัสอิริยาบถยาวนานไว้ในฐานะนี้ว่า เมื่อเดินไปก็รู้ว่าเรากําลังเดินบ้าง, ยืนแล้วก็รู้ว่าเรายืนแล้วบ้าง, นั่งแล้วก็รู้ว่าเรานั่งแล้วบ้าง นอนแล้วก็รู้ว่าเรานอนแล้วบ้าง. ตรัสอิริยาบถกลางๆ ไว้ในฐานะนี้ว่าในการก้าวไปข้างหน้า, ในการถอยกลับ, ในการแลตรง. ในการแลซ้ายแลขวา, ในการเหยียดออก แต่ในบรรพนี้ ตรัสอิริยาบถปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ ไว้ว่า ในการเดิน, ในการยืน, ในการนั่ง ในการหลับ ในการตื่น เพราะฉะนั้น พึงทราบความเป็นผู้ทําความรู้สึกตัวเป็นปกติโดยนัยที่ตรัสไว้ในฐานะเหล่านี้นั่นแหละ.

ก็ท่านมหาสิวเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดเดินไปหรือจงกรมนานๆ แล้วต่อมาจึงยืน พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า รูปธรรมและอรูปธรรมที่เป็นไปแล้วในเวลาจงกรม ได้ดับไปแล้วในเวลาจงกรมนี้เอง ผู้นี้นั้น ชื่อว่าทําความรู้สึกตัวในการเดิน.

ผู้ใด เมื่อทําการสาธยาย, แก้ปัญหา หรือมนสิการกรรมฐาน ยืนอยู่นานๆ แล้วต่อมาจึงนั่ง พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า รูปธรรมและอรูปธรรม ที่เป็นไปแล้ว ในเวลายืน ได้ดับไปแล้ว ในเวลายืนนี้เอง ผู้นี้นั้น ชื่อว่าทําความรู้สึกตัวในการยืน.

ผู้ใด นั่งนานๆ โดยทําการสาธยายเป็นต้นนั้นเอง แล้วต่อมาจึงนอน พิจารณาเห็นอย่างนี้ รูปธรรมและอรูปธรรมที่เป็นไปแล้วในเวลานั่ง ได้ดับไปแล้วในเวลานั่งนี้เอง ผู้นี้นั้น ชื่อว่าทําความรู้สึกตัว

 
  ข้อความที่ 88  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 718

ในการนั่ง.

ผู้ใด นอนอยู่นั่นแหละ ทําการสาธยายไปพลาง หรือมนสิการกรรมฐานไปพลาง ก้าวลงสู่ความหลับ ต่อมาจึงลุกขึ้น พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า รูปธรรมและอรูปธรรมที่เป็นไปแล้วในเวลานอน ได้ดับไปแล้วในเวลานอนนี้เอง ผู้นี้นั้น ชื่อว่าทําความรู้สึกตัวทั้งในการหลับ ทั้งในการตื่น. เพราะว่าจิตที่สําเร็จด้วยกิริยา ไม่มีการเป็นไป (ไม่ขึ้นสู่วิถี) ชื่อว่าหลับ มีการเป็นไป ชื่อว่าตื่น เพราะฉะนั้น (ผู้นั้นจึงชื่อว่าทําความรู้สึกตัวทั้งในการหลับ ทั้งในการตื่น).

ส่วนผู้ใด เมื่อพูด ก็พูดมีสติ รู้สึกตัวว่า ธรรมดาว่าเสียงนี้อาศัยริมฝีปาก อาศัยฟัน, ลิ้น, เพดาน และประโยคของจิต ที่เหมาะสมกับจิตนั้น แล้วจึงเกิดขึ้นได้.

อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใด ทําการสาธยายธรรม บอกธรรม แปลธรรม (สอน) กรรมฐาน หรือวิสัชนาปัญหาเป็นเวลานาน ต่อมาจึงนิ่งพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า รูปธรรมและอรูปธรรมที่เป็นไปแล้วในเวลาพูดก็ดับไปแล้วในเวลาพูดนี้เอง. ผู้นี้นั้น ชื่อว่าทําความรู้สึกตัวในการพูด.

ผู้ใด ดุษณีภาพ มนสิการถึงธรรม หรือกรรมฐาน นานๆ ต่อมาพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า รูปธรรมและอรูปธรรมที่เป็นไปในเวลานิ่งก็ได้ดับไปแล้วในเวลานิ่งนั้นเอง เมื่อมีการเป็นไปแห่งอุปาทายรูป (เขา) ก็ชื่อว่าพูด เมื่อไม่มี ก็ชื่อว่าเป็นผู้นิ่ง ผู้นี้นั้น ชื่อว่าทําความรู้สึกในดุษณีภาพ.

สัมปชัญญะที่มีอสัมโมหะเป็นธุระ ที่พระมหาเถระกล่าวไว้แล้วนี้นั้น พระองค์ทรงประสงค์เอาแล้วในสติปัฏฐานสูตรนี้. ส่วนในสามัญญ-

 
  ข้อความที่ 89  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 719

ผลสูตร ได้สัมปชัญญะหมดทั้ง ๔ อย่าง. เพราะฉะนั้น ในสามัญญผลสูตรนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบความเป็นผู้กระทําความรู้สึกตัวไว้เป็นพิเศษ ด้วยอํานาจสัมปชัญญะที่ไม่ลืมหลง. และในทุกๆ บทว่า สมฺปชานการีสมฺปชานการี ผู้ศึกษาพึงทราบอรรถาธิบาย ด้วยอํานาจสัมปชัญญะที่ประกอบด้วยสติเหมือนกัน.

ส่วนในวิภังคปกรณ์ พระองค์ทรงจําแนกบทเหล่านี้ไว้อย่างนี้เหมือนกันว่า พระโยคาวจรมีสติ มีสัมปชัญญะ ก้าวไปข้างหน้า มีสติ มีสัมปชัญญะถอยกลับ.

บทว่า อิติ (๑) อชฺฌตฺตํ วา ความว่า พระโยคาวจร ชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือของผู้อื่น คือในกายของตนตามกาล (ที่ควร) หรือกายของผู้อื่นตามกาล (ที่ควร) โดยการกําหนดด้วยสัมปชัญญะ ๔ ประการอย่างนี้.

แม้ในจตุสัมปชัญญบรรพนี้ ก็ควรนําเอาความเกิดความเสื่อมแห่งรูปขันธ์นั่นเอง ไปไว้ในคําทั้งหลายมีอาทิว่า สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา คําที่ยังเหลือ เป็นเช่นเดียวกันกับคําที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นแหละ.

อริยสัจในสัมปชัญญะ

ในที่นี้ สติที่กําหนดด้วยสัมปชัญญะ ๔ ประการ เป็นทุกขสัจ ตัณหาเดิมที่ยังสติให้ปรากฏ (เป็นสมุฏฐานของสติ) เป็นสมุทยสัจ การไม่เป็นไปของสติและตัณหาเดิมทั้ง ๒ นั้น เป็นนิโรธสัจ อริยมรรคมีประการดังที่กล่าวมาแล้ว เป็นมรรคสัจ พระโยคาวจรขวนขวาย ด้วย


(๑) ปาฐะว่า อิทานิ แต่ฉบับพม่าเป็น อิติ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 90  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 720

อํานาจสัจจะทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว จะบรรลุ ความดับ (ตัณหา) เพราะฉะนั้น จึงเป็นช่องทางแห่งธรรมเป็นเหตุนําออกจากทุกข์ จนถึงพระอรหัต ด้วยอํานาจแห่งพระโยคาวจร ผู้กําหนดด้วยสัมปชัญญะ ๔ ประการรูปหนึ่งแล.

จบ จตุสัมปชัญญบรรพ

ปฏิกูลมนสิการบรรพ

[๑๓๖] พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจําแนกกายานุปัสสนา ด้วยอํานาจแห่งสัมปชัญญะ ๔ ประการดังพรรณนานี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกด้วยอํานาจมนสิการ โดยเป็นของปฏิกูล จึงได้ตรัสคํามีอาทิว่า ปุน จปรํ ดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในปฏิกูลมนสิการบรรพ ดังต่อไปนี้ :-

คําใดที่จะต้องกล่าวในคําว่า อิมเมว กายํ เป็นต้น คํานั้นทั้งหมด (๑) ได้กล่าวไว้แล้วในกายคตาสติกรรมฐาน ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคโดยพิสดาร ด้วยอาการทุกอย่าง.

บทว่า อุภโตมุขา ความว่า (ไถ้) ประกอบด้วยปาก ๒ ทางคือทั้งทางล่างทั้งทางบน. บทว่า นานาวิหิตสฺส แปลว่า มีอย่างต่างๆ.

ก็ในเรื่องนี้มีข้ออุปมาเป็นการเทียบเคียงกันดังนี้ :-

อธิบายว่า กาย คือมหาภูตรูป ๔ พึงทราบว่า เหมือนไถ้มีปาก ๒ ทาง อาการ ๓๒ มีผมเป็นต้น พึงทราบว่า เหมือนธัญญชาตินานาชนิดที่เทปนกันในไถ้, พระโยคาวจร พึงทราบว่า เหมือนบุรุษมีตาดี,อาการปรากฏแจ่มชัดแห่งอาการ ๓๒ แก่พระโยคี พึงทราบว่า เหมือน


(๑) ฉบับพม่ามีคําว่า สพฺพํ จึงแปลตามบาลีของพม่า

 
  ข้อความที่ 91  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 721

เวลาที่ธัญญชาตินานาชนิด (๑) ปรากฏแก่บุรุษนั้นผู้แก้ไถ้นั้นแล้ว ตรวจดูฉะนั้น.

บทว่า อิติ อชฺฌตฺตํ วา ความว่า พระโยคาวจร ชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของผู้อื่น คือในกายของตนตามกาล (ที่เหมาะสม) หรือในกายของผู้อื่นตามกาล (ที่เหมาะสม) ด้วยการกําหนดในผมเป็นต้น. คําต่อจากนี้ไป มีนัยดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นแหละ. จริงอยู่ในปฏิกูลมนสิการบรรพนี้ สติที่กําหนดอาการ ๓๒ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว ผู้ศึกษาควรทําการประกอบความดังที่พรรณนามาอย่างนี้แล้วทราบมุขแห่งการออกไป (จากทุกข์). คําที่เหลือ (จากที่อธิบายมาแล้วนี้) เป็นเช่นกับคําก่อนนั้นเอง ดังนี้แล.

จบ ปฏิกูลมนสิการบรรพ

ธาตุมนนสิการบรรพ

[๑๓๗] พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจําแนกกายานุปัสสนาด้วยอํานาจปฏิกูลมนสิการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกด้วยอํานาจการมนสิการถึงธาตุ จึงตรัสคํามีอาทิว่า ปุน จปรํ ไว้. ในคําเหล่านั้นมีการพรรณนาความพร้อมกับคําอุปมาเป็นการเปรียบเทียบกัน ดังนี้

เปรียบพระเหมือนคนฆ่าวัว

คนฆ่าวัวลางคนหรือลูกมือของเขาที่เป็นลูกจ้าง ฆ่าวัวแล้ว ชําแหละแล้ว ต้องแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ นั่ง (ขาย) อยู่ที่ทาง ๔ แพร่ง


(๑) ปาฐะว่า ปกฺขิตนานาวิธชฺํ ฉบับพม่าเป็น ปกฺขิตฺตนานาวิธธฺสฺส แปลตามพม่า.

 
  ข้อความที่ 92  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 722

กล่าวคือที่ท่ามกลางถนนใหญ่ ที่แยกไป ๔ ทิศ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน พิจารณากาย ตามที่สถิตอยู่แล้วโดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งอิริยาบถทั้ง ๔ และตามที่ดํารงอยู่แล้ว เพราะตามที่ได้ทั้งปณิธานไว้อย่างนี้ว่า มีอยู่ในกายนี้ (คือ) ธาตุดิน ฯลฯ ธาตุลม.

มีพุทธาธิบายไว้อย่างไร?

มีพุทธาธิบายไว้ว่า :- คนฆ่าโค เมื่อกําลังเลี้ยงโคก็ดี กําลังจูงไปสู่ที่ฆ่าสัตว์ก็ดี ครั้นจูงไปแล้วกําลังผูกให้ยืนอยู่ที่นั้นก็ดี กําลังฆ่าก็ดี กําลังดูวัวที่เขาฆ่าแล้วก็ดี ความหมายรู้ว่า แม่โค ยังไม่จางหายไปตลอดเวลาที่ยังไม่ชําแหละแม่โคนั้นแบ่งแยกออกเป็นส่วนๆ แต่ครั้นนั่งแบ่ง (เนื้อ) แล้ว ความหมายรู้ว่า แม่โค ก็จะจางหายไป, ความหมายรู้ว่า เนื้อ ก็จะเป็นไปเข้ามาแทนที่ เขาจะไม่มีความคิดอย่างนี้ว่า เราขายแม่โค เขาเหล่านี้ซื้อแม่โค, โดยที่แท้แล้ว เขาจะมีความคิดอย่างนี้เท่านั้นว่า เราขายเนื้อ เขาเหล่านี้ซื้อเนื้อ ฉันใด. ในเวลาที่ภิกษุแม้รูปนี้ยังเป็นพาลปุถุชนอยู่ก่อนก็เช่นนั้นเหมือนกัน ความหมายรู้ว่าสัตว์หรือบุคคลของท่านผู้เป็นคฤหัสถ์ก็ดี ผู้บวชแล้วก็ดี ยังไม่อันตรธานไป ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ทํากายนี้นั้นเอง ตามที่สถิตอยู่แล้ว ตามที่ตั้งอยู่แล้วให้เป็นการแยกออกไปจากก้อนแล้วเห็นโดยเป็นธาตุ แต่เมื่อท่านพิจารณาเห็นอยู่โดยเป็นธาตุ สัตตสัญญา (ความหมายรู้ว่าสัตว์) ของท่านก็จะอันตรธานไป จิตจะตั้งอยู่ด้วยอํานาจของธาตุนั้นเอง.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า เธอจะพิจารณาเห็นกายนี้ ตามที่สถิตอยู่แล้ว ตามที่ตั้งอยู่แล้วโดยเป็นธาตุว่า ในกายนี้มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นายโคฆาตก์

 
  ข้อความที่ 93  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 723

ผู้ขยัน หรือ ฯลฯ วาโยธาตุ แม้ฉันใด.

อธิบายว่า ภิกษุผู้บําเพ็ญเพียร (โยคี) เหมือนคนฆ่าโค ความหมายรู้ว่าสัตว์ เหมือนความหมายรู้ว่า แม่โค อิริยาบถ ๔ เหมือนทางใหญ่ ๔ แพร่ง การพิจารณาเห็น (กาย) โดยเป็นธาตุ เหมือนนายโคฆาตก์ผู้นั่งแบ่ง (เนื้อ) ออกเป็นส่วนๆ. นี้คือการพรรณนาความตามพระบาลีในธาตุมนสิการบรรพนี้. ส่วนกถาว่าด้วยกรรมฐาน ได้ให้พิสดารไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค

บทว่า อิติ อชฺณตฺตํ วา ความว่า พระโยคาวจรมีปกติพิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของผู้อื่น คือมีปกติพิจารณาเห็นกายในกายของตนตามกาล หรือในกายของผู้อื่นตามกาล อยู่อย่างนี้ คือโดยการกําหนดธาตุ ๔ คําต่อจากนี้ไปมีนัยดังที่กล่าวมาแล้วนั้นแหละ.เพราะว่าในธาตุมนสิการบรรพนี้ สติที่กําหนดธาตุ ๔ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว.

บัณฑิตพึงทราบช่องทางแห่งธรรมเครื่องนําออก (จากทุกข์) ตามที่ได้อธิบายความประกอบมาอย่างนี้แล. คําที่เหลือ เช่นกับคําก่อนนั้นเอง ดังนี้แล.

จบ ธาตุมนสิการบรรพ

นวสีวถิกาบรรพ

[๑๓๘] พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจําแนกกายานุปัสสนาด้วยอํานาจการมนสิการถึงธาตุอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกด้วย

 
  ข้อความที่ 94  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 724

นวสีวถิกาบรรพ (ข้อธรรมที่ว่าด้วยป่าช้า ๙) จึงตรัสคําเป็นต้นว่า ปุน จปรํ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถาปิ ปสฺเสยฺย ได้แก่ ยถาปสฺเสยฺย (แปลว่า พึงเห็นฉันใด).

บทว่า สรีระ (สรีรํ) ได้แก่ ร่างกายของคนที่ตายแล้ว

บทว่า สีวถิกาย ฉฑฺฑิตํ ความว่า ที่เขาทอดทิ้งไว้ที่ป่าช้า

ร่างกายของคนที่ตายแล้ววันเดียว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ตายแล้ววันหนึ่ง (เอกาหมตะ).

ร่างกายของคนที่ตายแล้ว ๒ วัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ตายแล้ว ๒ วัน (ทวีหมตะ).

ร่างกายของคนที่ตายแล้ว ๓ วัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ตายแล้ว ๓ วัน (ตีหมตะ).

ศพที่พองลมเหมือนสูบ ชื่อ ขึ้นพอง (อุทธุมาตกะ) เพราะขึ้นพอง โดยอืดขึ้นไปตามลําดับหลังจากสิ้นชีวิตแล้ว.

สีช้ำดําเขียว เขาเรียกว่า วินีละ. วินีลกะก็คือวินีละนั้นเอง

อีกอย่างหนึ่ง ศพที่มีสีเขียวปัด น่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วินีลกะ. คําว่า วินีลกะ นี้ เป็นชื่อของซากศพที่มีสีแดง ในที่ที่มีเนื้อนูน มีสีขาวในที่ที่หนองคั่งอยู่ แต่โดยมากมีสีเขียวในที่ที่มีสีเขียว ก็เหมือนคลุมด้วยผ้าสีเขียว.

อีกอย่างหนึ่ง หนองที่ไหลออกจากปากแผลทั้ง ๙ แห่ง แม้ในที่ที่แตกปริแล้ว ชื่อว่า น้ำเหลือง (วิปุพพะ). วิปุพพะก็คือวิปุพพกะนั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง หนองที่ช้ำน่าเกลียด เพราะปฏิกูล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าวิปุพพกะ. ศพที่กลายเป็นช้ำหนอง คือถึงภาวะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วิปุพพกชาตะ.

คำว่า สู่กายนี้ (โส อิมเมว กายํ) ความว่า ภิกษุนั้น น้อมกายของตน

 
  ข้อความที่ 95  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 725

นี้เข้าไป (เปรียบเทียบ) กับกายนั้นด้วยญาณ.

คำว่า อุปสํหรติ แปลว่า น้อมนําเข้าไป.

น้อมนําเข้าไปอย่างไร? น้อมนําเข้าไปอย่างนี้ว่า ถึงกายนี้ก็เถอะ เป็นธรรมดาอย่างนี้ มีสภาพอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.

ท่านกล่าว อธิบายไว้อย่างไร?

ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า เพราะมีธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ คือ อายุ ไออุ่น วิญญาณ กายนี้จึงทนต่อ (การผลัดเปลี่ยน อิริยาบถ) มียืนและเดินเป็นต้นได้ แต่เพราะไม่มีธรรม ๓ เหล่านี้ ร่างกายแม้นี้จึงมีอย่างนี้เป็นธรรมดา คือมีสภาพเป็นของเน่าเปือยอย่างนี้เหมือนกัน.

คำว่า คงเป็นอย่างนี้ (เอวํ ภาวี) ความว่า (กายนี้) จักเป็นอย่างนี้เหมือนกันคือ จักเป็นประเภท (ต่างๆ) มีเป็นร่างกายที่พองอืดเป็นต้น.

คำว่า ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้ (เอวํ อนตีโต) ความว่า ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ คือความเป็นร่างกายที่พองอืดเป็นต้นไปได้

คำว่า ด้วยเหตุพรรณามานี้... ภายในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พระโยคาวจรมีปกติพิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของผู้อื่น คือมีปกติพิจารณาเห็นกายของตนตามกาล หรือในกายของผู้อื่นตามกาลอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ คือด้วยการกําหนดร่างกายมีเป็นร่างกายที่พองอืดเป็นต้น.

คำว่า จิกกินอยู่ (ขชฺชมานํ) ความว่า ร่างกายที่ถูกสัตว์ทั้งหลายมีกากับแร้งเป็นต้น จิกกิน โดยจับอยู่ที่อวัยวะมีท้องเป็นต้น แล้วจิกเอาเนื้อท้องเนื้อริมฝีปาก (และ) กระบอกตาเป็นต้น ออกมา (กิน).

คำว่า ยังมีเนื้อและเลือด (สมํสโลหิตํ) ความว่า ร่างกายที่ประกอบไปด้วยเนื้อและ

 
  ข้อความที่ 96  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 726

เลือดอันเหลือเศษติดอยู่.

คำว่า ยังเปื้อนเลือดแต่ปราศจากเนื้อ (นิมฺมํสโลหิตมกฺขิตํ) ความว่า ถึงเมื่อเนื้อหมดไปแล้วเลือดก็ยังไม่แห้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาเลือดนั้น จึงตรัสว่าโลหิตมกฺขิตํ ดังนี้.

คำว่า ทางหนึ่ง (อฺเน) ได้แก่โดยทิสาภาคอื่น.

คำว่า กระดูกมือ (หตฺถฏิกํ) ความว่ากระดูกมือทั้ง ๖๔ ชิ้น กระจัดกระจายไปต่างทิศต่างทางกัน. แม้ในกระดูกเท้าเป็นต้น ก็นัยเดียวกันนี้.

คำว่า เก่าเกินปีหนึ่งไปแล้ว (เตโรวสฺสิกานิ) ได้แก่ (กระดูก) ค้างปี.

คำว่า ผุ (ปูตีนิ) ความว่า กระดูกที่อยู่ในที่กลางแจ้ง เมื่อต้องลมแดดและฝนจึงผุ กระดูกค้างปียังไม่ผุ แต่กระดูกที่ฝังอยู่ภายในดิน ย่อมอยู่ได้นานกว่า.

คำว่า ละเอียด (จุณฺณกชาตานิ) ได้แก่ แหลกละเอียดกระจัดกระจายไป.

ในทุกคำ บัณฑิตพึงแต่งถ้อยคําประกอบความด้วยอํานาจแห่งกายที่ถูกกากับแร้งจิกกินเป็นต้น ตามนัยที่กล่าวไว้แล้วว่า ภิกษุน้อมมาสู่กายนี้แหละ (โส อิมเมว) ดังนี้

คำว่า ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้... ภายในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พระโยคาวจรมีปกติพิจารณาเห็นกายในกายของตน หรือในกายของผู้อื่น คือมีปกติพิจารณาเห็นกายในกายของตนตามกาล หรือในกายของผู้อื่นตามกาลอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ คือด้วยการกําหนดกายมีกายที่ถูกแร้งกาเป็นต้น จิกกินเป็นอาทิ จนกระทั่งถึงเป็นของแหลกละเอียดเป็นผุยผง.

ป่าช้า ๙

ก็ป่าช้า ๙ พึงประมวลไว้ในที่ตรงนี้ (คือ) :-

ป่าช้าทั้งหมดที่ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ซากศพที่ตายได้แล้ว ๑ วัน (เอกาหมตํ วา) บ้าง ๑.

 
  ข้อความที่ 97  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 727

ศพที่ตายได้แล้ว ๑ วัน) บ้าง ๑,

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) เป็นต้นว่า ซากศพที่ถูกพวกกาจิกกิน (กาเกหิ วา ขชฺชมานํ) บ้าง ๑,

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) ว่า ซากศพที่มีแต่ร่างกระดูกยังมีเนื้อและเลือดติดอยู่ยังมีเส้นเอ็นร้อยรัด (อฏฺิสงฺขลิกํ สมํสโลหิตํ นหารุสมฺพนฺธํ) ๑,

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) ว่า ซากศพที่ไม่มีเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเส้นเอ็นร้อยรัด (นิมฺมํสโลหิตมกฺขิตํ นหารุสมฺพนฺธํ) ๑.

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) ว่า ซากศพที่ไม่มีเนื้อและเลือดติดอยู่ แต่ยังมีเส้นเอ็นร้อยรัด (อปคตมํสโลหิตํ นหารุสมฺพนฺธํ) ๑,

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) เป็นต้นว่า กระดูกที่ไม่มีเส้นเอ็นร้อยรัด (อฏฺิกานิ อปคตสมฺพนฺธนานิ) ๑,

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) ว่า กระดูกขาวดังสีสังข์ (อฏฺิกานิ เสตานิ สงฺขวณฺณปฏิภาคานิ) ๑,

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) ว่า กระดูกที่รวมอยู่เป็นกอง ค้างปี (ปุฺชกิตานิ เตโรวสฺสิกานิ) ๑,

ป่าช้า (ที่ตรัสไว้) ว่า กระดูกผุแหลกเป็นผุยผง (ปูตีนิ จุณฺณกชาตานิ) ๑,

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงบ่าช้า ๙ อย่างไว้ในที่นี้แล้วเมื่อจะจบกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายแม้อย่างนี้ (เอวํ โข ภิกฺขเว) ดังนี้.

อริยสัจในนวสีวถิกา

สติเป็นเครื่องกําหนดป่าช้า ๙ ในนวสีวถิกาบรรพนั้น เป็นทุกขสัจ

 
  ข้อความที่ 98  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 728

ตัณหาเก่าที่เป็นตัวการให้เกิดสตินั้น เป็นสมุทยสัจ ความไม่เป็นไปแห่งทุกขสัจและสมุทยสัจ ทั้ง ๒ เป็นนิโรธสัจ. อริยมรรคที่เป็นตัวการกําหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย มีนิโรธ (นิพพาน) เป็นอารมณ์ เป็นมัคคสัจ. พระโยคาวจร ย่อมก้าวบรรลุถึงนิพพานด้วยอํานาจสัจจะ ๔ ดังพรรณนามานี้ เพราะฉะนั้น ถ้อยคำที่พรรณนามานี้จึงเป็นช่องทางแห่งธรรมเครื่องนําออก จนถึงพระอรหัตของภิกษุผู้กําหนดป่าช้า ๙ แล.

นวสีวถิกาบรรพ จบ

ก็กายานุปัสสนา ๑๔ บรรพ คือ

อานาปานบรรพ ๑ อิริยาปถบรรพ ๑ จตุสัมปชัญญบรรพ ๑ ปฏิกูลมนสิการบรรพ ๑ ธาตุมนสิการบรรพ ๑ นวสีวถิกาบรรพ ๙ เป็นอันจบลงแล้ว ด้วยคํามีประมาณเท่านี้.

บรรดาบรรพเหล่านั้น เฉพาะ ๒ บรรพนี้คือ อานาปานบรรพ ๑ ปฏิกูลมนสิการบรรพ ๑ เป็นอัปปนากัมมัฏฐาน (กัมมัฏฐานที่ให้บรรลุอัปปนาสมาธิ) ส่วนที่เหลือทั้ง ๑๒ บรรพ เป็นอุปจารกัมมัฏฐาน (กัมมัฏฐานที่ให้บรรลุอุปจารสมาธิ) เท่านั้น เพราะตรัสป่าช้าทั้งหลายไว้ด้วยอํานาจอาทีนวานุปัสสนาแล.

กายานุปัสสนา จบ

เวทนานุปัสสนา

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสกายานุปัสสนาสติปัฏฐานด้วยวิธี ๑๔ อย่างดังพรรณนามานี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะตรัสเวทนานุปัสสนาด้วยวิธี ๙ อย่าง จึงตรัสคํามีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย... อย่างไรเล่า (กถฺจ ภิกฺขเว) เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 99  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 729

ความรู้ที่ไม่เป็นสติปัฏฐานภาวนา

บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า สุขเวทนา (สุขํ เวทนํ) มีอธิบายว่า พระโยคาวจรเมื่อเสวยสุขเวทนาที่เป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต ย่อมรู้ชัดว่าเรากําลังเสวยสุขเวทนา ดังนี้. ในข้อนั้น แม้เด็กอ่อนยังนอนหงายอยู่ เมื่อเสวยความสุขในเวลาดื่มน้ำมันเป็นต้น ก็รู้ชัดว่า เรากําลังเสวยสุขก็จริงถึงกระนั้น คํานี้ พระองค์ก็มิได้ตรัสหมายเอาความรู้อย่างนี้ เพราะว่า ความรู้แบบนี้ ละสัตตูปลัทธิไม่ได้ ถอนสัตตสัญญาไม่ได้ ไม่เป็นกัมมัฏฐาน หรือไม่เป็นสติปัฏฐานภาวนา.

ความรู้ที่เป็นสติปัฏฐานภาวนา

ส่วนการรู้ของภิกษุนี้ ละสัตตูปลัทธิได้ ถอนสัตตสัญญาได้เป็นทั้งกัมมัฏฐาน เป็นทั้งสติปัฏฐานภาวนา. ก็ความรู้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาการเสวยโดยการรู้สึกตัวอย่างนี้ว่า ใครเสวย การเสวยของใคร เพราะเหตุไรจึงเสวย.

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ใครเสวย (โก เวทยติ) ความว่าไม่ใช่ใคร คือสัตว์หรือบุคคลเสวย.

คำว่า การเสวยของใคร (กสฺส เวทนา) ความว่า ไม่ใช่การเสวยของใคร คือของสัตว์หรือบุคคล.

คำว่า เพราะเหตุไรจึงเสวย (กึการณา เวทนา) ความว่าก็เพราะมีวัตถุเป็นอารมณ์ เขาจึงมีการเสวย.

เพราะเหตุนั้น เขารู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า เวทนานั้นเองเสวย โดยทํา

 
  ข้อความที่ 100  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 730

วัตถุแห่งความสุขเป็นต้นนั้นๆ ให้เป็นอารมณ์. แต่เพราะหมายเอาความเป็นไปแห่งเวทนานั้น. คําว่า เราเสวยเวทนา (อหํ เวทยามิ) จึงเป็นเพียงโวหารเท่านั้น.

พระโยคาวจรนั้น เมื่อกําหนดอยู่ว่า เวทนานั้นเองเสวย โดยทําวัตถุให้เป็นอารมณ์อย่างนี้ ผู้ศึกษาพึงเข้าใจว่า เธอรู้ชัดว่า เรากําลังเสวยสุขเวทนา. เหมือนพระเถระรูปใดรูปหนึ่ง ที่จิตตลดาบรรพตฉะนั้น

เรื่องพระเถระรูปใดรูปหนึ่ง

ได้ยินว่า พระเถระในเวลาที่ท่านไม่สบาย ถอนหายใจพลาง นอนกลิ้งไปมาอยู่.

ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งถามท่านว่า ท่านขอรับ ที่ตรงไหนของท่านที่โรคเสียดแทง?

พระเถระตอบว่า คุณ ชื่อว่าที่ซึ่งโรคเสียดแทงเฉพาะแห่งไม่มี เวทนาต่างหากเสวย โดยกระทําวัตถุให้เป็นอารมณ์.

ภิกษุหนุ่มเรียนว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านควรจะยับยั้งไว้ตั้งแต่เวลาที่รู้ มิใช่หรือ ท่านขอรับ?

พระเถระตอบว่า ผมกําลังยับยั้ง คุณ.

ภิกษุหนุ่มเรียนว่า ท่านขอรับ การยับยั้งไว้เป็นของประเสริฐ.

พระเถระได้ยับยั้งไว้แล้ว.

ลําดับนั้นลมเสียดแทงถึงหัวใจ. ไส้ใหญ่ได้ออกมากองอยู่บนเตียงพระเถระได้ชี้ให้ภิกษุหนุ่มดูว่า ยับยั้งไว้ขนาดนี้ สมควรหรือยัง คุณ.ภิกษุหนุ่มนิ่ง. พระเถระประกอบความเพียรสม่ําเสมอ แล้วได้บรรลุพระ

 
  ข้อความที่ 101  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 731

อรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา เป็นพระอรหันต์ (ประเภท) ชีวิตสมสีสีปรินิพพานแล้ว.

ก็เมื่อพระโยคาวจร รู้ชัด (ว่า) สุขอย่างไร ทุกข์อย่างนั้น ฯลฯ เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่อิงอามิส ก็รู้ชัดว่า เรากําลังเสวยอทุกขมสุขเวทนา ไม่อิงอามิส.

รูปกัมมัฏฐาน - อรูปกัมมัฏฐาน

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสบอกรูปกัมมัฏฐานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อจะตรัสบอกอรูปกัมมัฎฐาน จึงได้ตรัสบอกด้วยอํานาจแห่งเวทนา. เพราะว่า กัมมัฏฐานมี ๒ อย่าง คือ รูปกัมมัฏฐาน ๑ อรูปกัมมัฏฐาน ๑. รูปกัมมัฏฐาน และอรูปกัมมัฏฐาน นี้นั่นแหละ ตรัสเรียกว่า รูปปริคคหะ (การกําหนดรูป) อรูปปริคคหะ (การกําหนดอรูป) ก็มี. บรรดารูปกัมมัฏฐาน และอรูปกัมมัฏฐาน นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสบอกรูปกัมมัฏฐาน จึงตรัสจตุธาตุววัตถาน (การกําหนดธาตุ ๔) ไว้ด้วยอํานาจแห่งมนสิการโดยสังเขปบ้าง ด้วยอํานาจการมนสิการโดยพิสดารบ้าง. กัมมัฏฐานแม้ทั้ง ๒ อย่างนั้นได้แสดงไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค โดยอาการทั้งปวงนั่นแหละ.

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสบอกอรูปกัมมัฏฐาน โดยมากก็จะตรัสบอกด้วยอํานาจแห่งเวทนา. เพราะว่า ความฝังใจในอรูปกัมมัฏฐาน มี ๓ อย่าง คือ (ฝัง) ด้วยอํานาจแห่งผัสสะ ๑ ด้วยอํานาจแห่งเวทนา ๑ ด้วยอํานาจแห่งจิต ๑. ฝังอย่างไร? (ฝังอย่างนี้ คือ) จริงอยู่ ผัสสะ เมื่อถูกต้องอารมณ์นั้น เกิด

 
  ข้อความที่ 102  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 732

ขึ้นในขณะที่จิตและเจตสิกตกไปเฉพาะครั้งแรกในอารมณ์นั้น จะปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูปในรูปกัมมัฏฐานที่ท่านกําหนดแล้วโดยย่อ หรือโดยพิสดาร. เวทนาเมื่อเสวยอารมณ์นั้นเกิดขึ้นจะปรากฏแก่พระโยคาวจรบางรูป วิญญาณเมื่อกําหนดอารมณ์นั้น รู้อยู่เกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรบางรูป.

บรรดาผัสสะ เวทนา วิญญาณ เหล่านั้น ผัสสะปรากฏแก่พระโยคาวจรใด ไม่เฉพาะผัสสะนั้นอย่างเดียวจะเกิดขึ้น ถึงเวทนาที่เสวยอารมณ์นั้นนั่นแหละอยู่ ก็จะเกิดขึ้นกับผัสสะนั้น ถึงสัญญาที่จําได้หมายรู้ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ ถึงวิญญาณที่รู้แจ้งอารมณ์นั้นอยู่ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับผัสสะนั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นย่อมกําหนดเจตสิกธรรม มีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง.

เวทนาใดปรากฏแก่พระโยคาวจร ไม่เฉพาะเวทนาอย่างเดียวเท่านั้นจะเกิดขึ้น ผัสสะที่ถูกต้องอยู่ ก็จะเกิดขึ้นกับเวทนานั้น ถึงสัญญาที่จำได้หมายรู้อยู่ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ ถึงวิญญาณที่รู้แจ้งอยู่ ก็จะเกิดขึ้นกับเวทนานั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้น ก็ย่อมกําหนดเจตสิกธรรม มีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง.

วิญญาณจะปรากฏแก่พระโยคาวจรใด ไม่เฉพาะแต่วิญญาณนั้นอย่างเดียวจะเกิดขึ้น ถึงผัสสะที่ถูกต้องอารมณ์นั้นนั่นแหละอยู่ ก็จะเกิดขึ้น ถึงเวทนาที่เสวยอยู่ ถึงสัญญาที่จําได้หมายรู้อยู่ ถึงเจตนาที่จงใจอยู่ ก็จะเกิดขึ้นกับวิญญาณนั้น เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้นย่อมกําหนดเจตสิกธรรม มีผัสสะเป็นที่ ๕ อยู่นั่นเอง

พระโยคาวจรนั้น เมื่อพิจารณาว่า ธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ เหล่านี้อาศัยอะไรอยู่.

 
  ข้อความที่ 103  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 733

จะทราบชัดว่า อาศัยวัตถุอยู่ กรชกายชื่อว่า วัตถุ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาว่า ก็แลวิญญาณของเรานี้อาศัยอยู่ในกรชกายนี้ ผูกพันอยู่ในกรชกายนี้. โดยเนื้อความ พระโยคาวจรนั้นย่อมเห็นทั้ง (มหา) ภูตรูปทั้งอุปาทายรูป เมื่อเป็นเช่นนี้ในเวทนาบรรพนี้ พระโยคาวจรจะเห็นเพียงนามรูปเท่านั้นว่า วัตถุเป็นรูป เจตสิกธรรมมีผัสสะเป็นที่๕ เป็นนาม.และในข้อนี้ รูปได้แก่รูปขันธ์ นามได้แก่อรูปขันธ์ทั้ง ๔ เพราะฉะนั้น จึงมีเพียงเบญจขันธ์เท่านั้น. เพราะว่า เบญจขันธ์ที่จะพ้นจากนามรูปหรือนามรูปที่จะพ้นไปจากเบญจขันธ์ไม่มี.

พระโยคาวจรนั้น เมื่อพิเคราะห์ดูว่า เบญจขันธ์เหล่านี้มีอะไรเป็นเหตุ ก็จะเห็นว่า มีอวิชชาเป็นต้นเป็นเหตุ. แต่นั้นพระโยคาวจรจะยก (เบญจขันธ์) ขึ้นสู่ไตรลักษณ์ ด้วยอํานาจนามรูป พร้อมทั้งปัจจัยว่านี้เป็น (เพียง) ปัจจัย และสิ่งที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ไม่มีอย่างอื่นที่เป็นสัตว์หรือบุคคล มีเพียงกองสังขารล้วนๆ เท่านั้น แล้วพิจารณาตรวจตราไปว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามลําดับแห่งวิปัสสนา.

เธอหมายมั่นปฏิเวธว่า (จะได้บรรลุ) วันนี้ วันนี้ ได้อุตุสัปปายะ (อากาศสบาย) ปุคคลสัปปายะ (บุคคลสบาย) โภชนสัปปายะ (โภชนะสบาย) ธัมมัสสวนะสัปปายะ (การฟังธรรมสบาย) ในวันเช่นนั้น นั่งขัดสมาธิท่าเดียว ยังวิปัสสนาให้ถึงที่สุด แล้วตั้งอยู่ในพระอรหัตตมรรค ด้วยประการดังกล่าวมานี้ เป็นอันตรัสบอกพระกัมมัฏฐานแก่ชนทั้ง ๓ แม้เหล่านี้ จนถึงพระอรหัต.

 
  ข้อความที่ 104  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 734

เวทนาคืออรูปกัมมัฏฐาน

แต่ในสติปัฏฐานสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะตรัสบอกอรูปกัมมัฏฐาน จึงได้ตรัสไว้ด้วยอํานาจแห่งเวทนา. เพราะว่า เมื่อตรัสบอกด้วยสามารถแห่งผัสสะ หรือด้วยสามารถแห่งวิญญาณ กัมมัฏฐานจะไม่ปรากฏ จะปรากฏเหมือนความมืด. ส่วนที่ตรัสบอกด้วยสามารถแห่งเวทนา กัมมัฏฐานจะปรากฏ. เพราะเหตุไร? เพราะกัมมัฏฐานจะปรากฏ ก็เพราะเวทนาเกิดขึ้น. จริงอยู่ ความเกิดขึ้นแห่งสุขเวทนา และทุกขเวทนา จะปรากฏ ต่อเมื่อความสุขเกิดขึ้น ได้แก่ความสุขที่เกิดขึ้นทําให้สิ้นไปทั้งร่าง ไหลเอิบอาบไปจนท่วมท้น (หัวใจ) เหมือนการได้ดื่มเนยใสที่กวนตั้งร้อยครั้ง เหมือนให้ทาน้ำมันที่หุงแล้วร้อยครั้ง และเหมือนให้ดับความเร่าร้อนด้วยน้ำพันหม้อ ทําให้เปล่งวาจาออกไปว่า สุขหนอ สุขหนอ ดังนี้ทีเดียว (และ) ต่อเมื่อทุกข์เกิดขึ้น ได้แก่ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ทําให้สั่นไปทั้งร่าง ไหลเอิบอาบไปจนท่วมท้น (หัวใจ) เหมือนให้เข้าไปสู่เปลวไฟที่ร้อนระอุ เหมือนถูกลาดด้วยน้ำทองแดงที่ละลายคว้าง และเหมือนโยนดุ้นไฟเข้าไปในป่าที่มีหญ้าแห้งและต้นไม้ยืนต้นตาย ถึงกับให้ร้องครวญครางว่า ทุกข์จริง ทุกข์จริง. การเกิดขึ้นแห่งสุขเวทนา และทุกขเวทนา จะปรากฏขึ้นได้ด้วยอาการอย่างนี้.

ส่วนอทุกขมสุขเวทนา แสดง (ให้เห็น) ได้ยาก มืดมน ไม่แจ่มชัด. อทุกขมสุขเวทนานั้น จะปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้ยึดถือ โดยนัยว่าอทุกขมสุขเวทนา มีอาการเป็นกลาง โดยการทิ้งความสําราญและไม่สําราญ

 
  ข้อความที่ 105  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 735

ในเมื่อสุขและทุกข์หมดไป. เปรียบเหมือนอะไร? เปรียบเหมือนนายพรานเนื้อ ตามรอยเนื้อตัวที่กระโดดขึ้นลานหินในระหว่างทาง แล้วหนีไปได้ (เขา) เห็นรอยเท้า ทั้งฟากนี้ ทั้งฟากโน้นของลานหิน แม้จะไม่เห็น (รอยเท้า) ตรงกลาง (บนลานหิน) ก็ทราบได้โดยนัยว่า เนื้อตัวที่ขึ้นทางฟากนี้ แล้วไปลงทางฟากโน้นคงจะผ่านไปด้านนี้บนลานหินตรงกลาง ฉันใด ความเกิดขึ้น แห่งสุขเวทนา ก็ฉันนั้น จะปรากฏเหมือนรอยเท้า (ของเนื้อปรากฏ) ในที่ที่มันจะขึ้นไป ความเกิดขึ้นแห่งทุกขเวทนา จะปรากฏเหมือนรอยเท้า (ของเนื้อปรากฏ) ในที่ๆ มันลงแล้วฉะนั้น. อทุกขมสุขเวทนาจะปรากฏแก่พระโยคาวจรผู้ยึดถือโดยนัยว่า อทุกขมสุขเวทนา มีอาการเป็นกลาง โดยทิ้งความสําราญ และความไม่สําราญ ในเมื่อสุขและทุกข์หายไป เหมือนการยึดถือโดยนัยว่า ผ่านไปตรงกลางนี้แหละ โดยขึ้นทางฟากข้างนี้ แล้วลงทางฟากข้างโน้นฉะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงสติปัฏฐาน โดยตรัสรูปกัมมัฏฐานก่อนแล้ว ยังอรูปกัมมัฏฐานให้บังเกิด ด้วยอํานาจแห่งเวทนาในภายหลัง.

เวทนาคืออรูปกัมมัฏฐานมีในพระสูตรหลายแห่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้อย่างนี้ เฉพาะในสติปัฏฐานสูตรนี้แห่งเดียว ก็หามิได้ (แต่) ได้ทรงแสดงโดยตรัสรูปกัมมัฏฐานก่อนแล้วยังอรูปกัมมัฏฐานให้บังเกิด ด้วยอํานาจเวทนาในภายหลัง ในพระสูตรหลายพระสูตรหลายแห่งอย่างนี้ คือ ในจุลลตัณหาสังขยสูตร ในมหาตัณหาสังขยสูตร ในจุลลเวทัลลสูตร ในมหาเวทัลลสูตร

 
  ข้อความที่ 106  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 736

ในรัฏฐปาลสูตร ในมาคัณฑิยสูตร ในธาตุวิภังคสูตร ในอาเนญชสัปปายสูตร ในมหานิพพานสูตร ในสักกปัูหสูตร ในมหาสติ-ปัฏฐานสูตร ในทีฆนิกาย ในจุลลนิทานสูตร ในรุกโขปมสูตร ในปริวิมังสนสูตร และในเวทนาสังยุต ทั้งหมดในสังยุตตนิกาย และแม้ในสติปัฏฐานสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงโดยตรัสบอกรูปกัมมัฏฐานก่อนแล้ว จึงทรงยังอรูปกัมมัฏฐานให้บังเกิด ด้วยอํานาจแห่งเวทนาในภายหลัง เหมือนในพระสูตรเหล่านั้น.

บรรดาคำเหล่านั้น ในคำว่า สุขํ เวทนํ เป็นต้น มีปริยายแห่งการรู้ชัด (เวทนา) แม้อีกอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

ข้อว่า รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนา (สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ) ความว่า เพราะไม่มีทุกขเวทนาในขณะแห่งสุขเวทนา พระโยคาวจรเมื่อเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เรากําลังเสวยสุขเวทนา. ด้วยคำว่า สุขํ เวทนํ เวทิยามีติ ปชานาติ นั้น เวทนาชื่อว่า ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะทุกขเวทนาที่เคยเสวยมาก่อน ในบัดนี้ ไม่มีแล้ว และเพราะสุขเวทนานี้ก่อนแต่นี้ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรจึงเป็นอันรู้ชัด ในสุขเวทนาและทุกขเวทนานั้น ดังพรรณนามาฉะนี้.

สมจริงดังคําที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ดังนี้ว่า

"อัคคิเวสนะ ในสมัยใด บุคคลเสวยสุขเวทนาอยู่ ในสมัยนั้นจะไม่เสวยทุกขเวทนา จะไม่เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียว อัคคิเวสนะในสมัยใดบุคคลเสวยทุกขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา

 
  ข้อความที่ 107  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 737

อยู่ ในสมัยนั้นจะไม่เสวยสุขเวทนาเลย ในสมัยนั้นเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียว อัคคิเวสนะ แม้สุขเวทนาเอง ก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายความกําหนัดเป็นธรรมดา มีความดับเป็นธรรมดา แม้ทุกขเวทนาเอง ฯลฯ อัคคิเวสนะ ถึงอทุกขมสุขเวทนาเองก็ไม่เที่ยง ฯลฯ มีความดับเป็นธรรมดา อัคคิเวสนะ พระอริยสาวกผู้ได้สดับ เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสุขเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในทุกขเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในอทุกขมสุขเวทนา เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกําหนัดเพราะคลายกําหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ก็รู้ว่าเราหลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทําได้ทําเสร็จแล้ว กิจที่ควรทําอย่างอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้ ไม่มี.

ในคําว่า สุขเวทนามีอามิส (สามิสํ วา สุขํ) เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ โสมนัสสเวทนาที่อาศัย (เกิดมาจาก) เรือน (ตัณหาอุปาทาน) ๖ อย่าง เจือด้วยอามิสคือ เบญจกามคุณ ชื่อว่า สามิสสุขเวทนา.โสมนัสสเวทนาที่อาศัย (เกิดมาจาก) เนกขัมมะ ๖ อย่าง ชื่อว่า นิรามิสสุขเวทนา.

โทมนัสสเวทนาที่อาศัย (เกิดมาจาก) เรือน (ตัณหาอุปาทาน) ๖ อย่าง ชื่อว่า สามิสทุกขเวทนา โทมนัสสเวทนา ที่อาศัย (เกิดมาจาก) เนกขัมมะ ๖ อย่าง ชื่อว่า นิรามิสทุกขเวทนา.

อุเบกขาเวทนาที่อาศัย (เกิดมาจาก) เรือน (ตัณหาอุปาทาน)

 
  ข้อความที่ 108  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 738

๖ อย่าง ชื่อว่า สามิสอทุกขมสุขเวทนา. อุเบกขาเวทนาที่อาศัย (เกิดมาจาก) เนกขัมมะ ๖ อย่าง ชื่อว่า นิรามิสอทุกขมสุขเวทนา.

การจําแนกเวทนาเหล่านั้น มาชัดแล้วในพระบาลี ในอุปริปัณณาสก์.

คำว่า ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้... ภานในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พระโยคาวจรมีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายของคนหรือในเวทนาทั้งหลายของผู้อื่น คือ ในเวทนาทั้งหลายของตนตามกาล หรือในเวทนาทั้งหลายของผู้อื่นตามกาลอยู่.

ก็ในคำว่า พิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดขึ้น ทั้งธรรมเป็นเหตุดับ (สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา) นี้ พึงทราบความว่า พระโยคาวจรเมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความดับไปของเวทนาทั้งหลาย ด้วยอาการ ๕ มีอาทิคือ เพราะอวิชชาเกิด เวทนาจึงเกิด ชื่อว่า มีปกติพิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุ เกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายอยู่ หรือมีปกติพิจารณา เห็นธรรม เป็นเหตุดับในเวทนาทั้งหลายอยู่ คือมีปกติพิจารณาเห็นธรรม เป็นเหตุเกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายตามกาลหรือมีปกติ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในเวทนาทั้งหลายตามกาลอยู่. คํานอกเหนือจากนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วในกายานุปัสสนานั่นเอง.

อริยสัจในเวทนา

ก็สติเป็นเครื่องกําหนดเวทนาในเวทนานุปัสสนา นี้เป็นทุกขสัจอย่างเดียว บัณฑิตพึงทราบช่องทางแห่งธรรมเครื่องนําออกของภิกษุผู้กําหนดเวทนาเพราะอธิบายประกอบความดังว่ามานี้แล. คําที่เหลือเป็นเช่น (คําที่กล่าวมาแล้ว) นั้นแล.

เวทนานุปัสสนา จบ

 
  ข้อความที่ 109  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 739

จิตตานุปัสสนา

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสสติปัฏฐาน คือ เวทนานุปัสสนา โดยอาการ ๙ อย่างๆ นี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะตรัสจิตตานุปัสสนาโดยอาการ ๑๖ อย่าง จึงตรัสคําว่า ภิกษุทั้งหลาย... อย่างไรเล่า (กถฺจ ภิกฺขเว) ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า มีราคะ (สราคํ) ได้แก่ จิตที่สหรคตด้วยโลภะ ๘ อย่าง. คำว่า ปราศจากราคะ (วีตราคํ) ได้แก่กุศลจิตฝ่ายโลกิยะและอัพยากตจิตะ ก็จิตที่ปราศจากราคะนี้ ในจิตตานุปัสสนานี้ ไม่ได้หมายถึงโลกุตตรจิตแม้ในบทหนึ่ง เพราะการพิจารณาไม่ใช่เป็นการประชุมธรรม (ส่วน) อกุศลจิต ๔ ดวงที่เหลือไม่จัดเข้าในบทแรก ทั้งไม่จัดเข้าในบทหลัง.

คำว่า มีโทสะ (สโทสํ) ได้แก่ จิตที่สหรคตด้วยโทมนัส ๒ ดวง.

คำว่า ปราศจากโทสะ (วีตโทสํ) ได้แก่กุศลจิตฝ่ายโลกิยะ และอัพยากตจิต.

อกุศลจิต ๑๐ ดวงที่เหลือไม่จัดเข้าในบทแรก ทั้งไม่จัดเข้าในบทหลัง.

คำว่า มีโมหะ (สโมหํ) ได้แก่อกุศลจิต ๒ ดวง คืออกุศลจิตที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ๑ ดวง อกุศลจิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ๑ ดวง. ก็เพราะโมหะย่อมเกิดขึ้นในอกุศลจิตทุกดวง ฉะนั้นอกุศลจิตทั้งหมดแม้นั้น จึงเหมาะ (ที่จะจัดเข้า) ในจิตตานุปัสสนานี้ โดยแท้ทีเดียว.จริงอยู่ ในจิตที่เป็นคู่กันนี้แหละ ท่านจัดอกุศลจิต ๑๒ ดวง เข้าไว้แล้วแล.

คำว่า ปราศจากโมหะ (วีตโมหํ) ได้แก่ กุศลจิตฝ่ายโลกิยะ และอัพยากตจิต.

คำว่า จิตหดหู่ (สงฺขิตฺตํ) ได้แก่ จิตที่ตกไปตามถีนมิทธะ, ก็จิตที่ตกไปตามถีนมิทธะนั้น ชื่อว่า จิตหดหู่.

 
  ข้อความที่ 110  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 740

คำว่า ฟุ้งซ่าน (วิกฺขิตฺตํ) ได้แก่ จิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ก็จิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะนั้น ชื่อว่า จิตฟุ้งซ่าน.

คำว่า จิตเป็นมหัคคตะ (มหคฺคตํ) ได้แก่ รูปาวจรจิต และอรูปาวจรจิต.

คำว่า จิตไม่เป็นหหัคคตะ (อมหคฺคตํ) ได้แก่ กามาวจรจิต.

คำว่า จิตมีธรรมอื่นยิ่งกว่า (สอุตฺตรํ) ได้แก่ กามาวจรจิต.

คำว่า จิตไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า (อนุตฺตรํ) ได้แก่ รูปาวจรจิต และอรูปาวจรจิต.

อนึ่ง ในบททั้ง ๒ ว่า สอุตฺตรํ อนุตฺตรํ นั้น สอุตตรจิต ได้แก่ รูปาวจรจิต อนุตตรจิต ได้แก่อรูปาวจรจิตนั่นเอง.

คำว่า จิตตั้งมั่น (สมาหิตํ) ได้แก่ จิตที่มีอัปปนาสมาธิ หรืออุปจารสมาธิ.

คำว่า จิตไม่ตั้งมั่น (อสมาหิตํ) ได้แก่ จิตที่ไม่มีสมาธิทั้ง ๒.

คำว่า จิตหลุดพ้น (วิมุตฺตํ) ได้แก่ จิตที่หลุดพ้นแล้ว ด้วยตทังควิมุติ และวิกขัมภนวิมุติ.

คำว่า จิตยังไม่หลุดพ้น (อวิมุตฺตํ) ได้แก่ จิตที่ไม่มีวิมุติทั้ง ๒.

ส่วน สมุจเฉทวิมุติ ปฏิปัสสัทธิวิมุติ และนิสสรณวิมุติ ไม่มีโอกาส (ไม่ได้พูดถึง) ในจิตตานุปัสสนานี้เลย.

คำว่า ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้... ภายในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พระโยคาวจร เมื่อกําหนดจิตที่เป็นไปอยู่ทุกขณะ ด้วยการกําหนดจิต มีสราคจิตเป็นต้นอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า มีปกติ ตามเห็นจิตในจิตของตน หรือในจิตของผู้อื่นอยู่ (บ้าง) ชื่อว่า มีปกติตามเห็นจิตในจิตของตน ตามกาล หรือในจิตของบุคคลอื่นตามกาลอยู่ (บ้าง).

ส่วนในคำว่า มีปกติตามเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดขึ้นและธรรมเป็นเหตุดับไป (สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี) นี้ควรขยายความเกิดและความดับของ

 
  ข้อความที่ 111  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 741

วิญญาณออกเป็นอย่างละ ๕ อาการ อย่างนี้ คือ เพราะอวิชชาเกิดวิญญาณจึงเกิดเป็นต้น. คํานี้นอกจากนี้ มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

อริยสัจในจิตตานุปัสสนา

ก็สติเป็นเครื่องกําหนดจิตในจิตตานุปัสสนานี้ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว บัณฑิตพึงทราบช่องทางแห่งธรรมเป็นเครื่องนําออกของภิกษุผู้กําหนดจิต ตามที่ได้อธิบายมาอย่างนี้แล. คําที่เหลือ (มีความหมาย) เช่น (กับที่กล่าวมา) นั้นแล.

จิตตานุปัสสนา จบ

ธรรมานุปัสสนา

ครั้นตรัสจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยอาการ ๑๖ อย่างดังพรรณนามานี้ บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงธรรมานุปัสสนาโดยอาการ ๕ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคําว่า ภิกษุทั้งหลายอย่างไรเล่า (กถฺจ ภิกฺขเว) ดังนี้เป็นต้น.

อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการกําหนดรูปล้วนๆ ด้วยกายานุปัสสนา ตรัสการกําหนดนานล้วนๆ ด้วยเวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนา บัดนี้ เพื่อจะต้องการกําหนดรวมกันทั้งรูปและนาม จึงตรัสคําว่า กถฺจ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเฉพาะการกําหนดรูปขันธ์ด้วยกายานุปัสสนา ตรัสเฉพาะการกําหนดเวทนาขันธ์ด้วยเวทนานุปัสสนา ตรัสเฉพาะการกําหนดวิญญาณขันธ์ด้วยจิตตานุปัสสนา. บัดนี้ เพื่อจะตรัสการกําหนดวิญญาณขันธ์ และสังขารขันธ์บ้าง จึงตรัสคําว่า กถฺจ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 112  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 742

นีวรณบรรพ

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า มีอยู่ (สนฺตํ) ได้แก่ มีอยู่โดยการเกิดขึ้นเนืองๆ คำว่า ไม่มีอยู่ (อสนฺตํ) ได้แก่ ไม่มีอยู่ โดยการไม่เกิดขึ้น หรือไม่มีอยู่เพราะละได้แล้ว. คำว่า ด้วยประการใด (ยถา จ) ความว่า กามฉันทะย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุใด.

คำว่า ย่อมรู้ชัดประการนั้น (ตฺจ ปชานาติ) ได้แก่ ย่อมรู้เหตุนั้นด้วย. พึงทราบอธิบายในทุกๆ บทโดยนัยนี้.

ในคำว่า ยถา จ เป็นต้นนั้น พึงทราบวินิจฉัยว่า :-

สุภนิมิต

กามฉันทะย่อมเกิดขึ้น เพราะการทําไว้ในใจโดยไม่แยบคายในสุภนิมิต. ที่ชื่อว่า สุภนิมิต ได้แก่สุภนิมิตที่งามบ้าง สุภนิมิตที่มีอารมณ์งามบ้าง ที่ชื่อว่าการทําไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ได้แก่การทําไว้ในใจโดยไม่ถูกอุบาย การทําไว้ในใจโดยไม่ถูกทาง คือ การทําไว้ในใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่า เที่ยงบ้าง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่า สุขบ้าง ในสิ่งที่เป็นอนัตตาว่า เป็นอัตตาบ้าง ในสิ่งที่ไม่งามว่า งามบ้าง เมื่อพระโยคาวจรยังการทําไว้ในใจโดยไม่แยบคายนั้น ให้เป็นไปในสุภนิมิตนั้นมากครั้งเข้ากามฉันทะย่อมเกิดขึ้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ สุภนิมิต การทําให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในสุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง ให้กามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วไพบูลย์ยิ่งขึ้นบ้าง

 
  ข้อความที่ 113  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 743

อสุภนิมิต

ส่วนในอสุภนิมิต การละย่อมมีได้ด้วยการทําไว้ในใจโดยแยบคาย ที่ชื่อว่า อสุภนิมิต ได้แก่อสุภนิมิตที่ไม่งามบ้าง อสุภนิมิตที่มีอารมณ์ไม่งามบ้าง ที่ชื่อว่าการทําไว้ในใจโดยแยบคาย ได้แก่การทําไว้ในใจโดยถูกอุบาย การทําไว้ในใจโดยถูกทาง คือการทําไว้ในใจในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยงบ้าง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์บ้าง ในสิ่งที่เป็นอนัตตาว่า เป็นอนัตตาบ้าง ในสิ่งที่ไม่งามว่า ไม่งามบ้าง เมื่อพระโยคาวจรยังการทําไว้ในใจโดยแยบคายนั้น ให้เป็นไปในอสุภนิมิตนั้นมากครั้งเข้า ก็ย่อมละกามฉันทะได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ อสุภนิมิต การทําให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในอสุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้นไม่ได้บ้าง ให้ละกามฉันทะที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง.

ละกามฉันทะด้วยธรรม ๖ ประการ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันทะคือการเรียนอสุภนิมิต ๑ การบําเพ็ญอสุภภาวนา ๑ ความเป็นผู้คุ้มครองทวารไว้ได้ในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณโภชนะ๑ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ๑ สนทนาเรื่องที่เป็นสัปปายะ ๑.

ก็เมื่อพระโยคาวจรแม้เรียนอสุภนิมิต ๑๐ อย่างอยู่ (ในระหว่างนี้) กามฉันทะอันเธอย่อมละได้ เมื่อเธอเจริญอสุภนิมิตอยู่ก็ดี ปิดกั้นทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่ก็ดี รู้จักประมาณในโภชนะโดยที่มีช่องจะฉันได้อีก

 
  ข้อความที่ 114  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 744

๔ - ๕ คํา (แต่เธอก็อดเสีย) แล้วดื่มน้ำแทน เป็นประจําก็ดี กามฉันทะ อันเธอย่อมละได้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวคาถาประพันธ์นี้ไว้ว่า

(เหลืออีก) ๔ - ๕ คําจะอิ่ม พระโยคาวจรอย่าฉัน ควรดื่มน้ำแทน (เพราะว่า) เพียงเท่านี้ ก็เพียงพอจะอยู่อย่างสําราญ สําหรับภิกษุผู้มีตนอันส่งไปแล้ว. (๑)

แม้เมื่อพระโยคาวจรคบหากัลยาณมิตร ผู้ยินดีในอสุภภาวนา เช่น พระติสสเถระผู้เจริญอสุภกัมมัฏฐาน กามฉันทะอันเธอย่อมละได้ เธอย่อมละกามฉันทะได้ แม้ด้วยการสนทนาถึงที่เป็นสัปปายะอันอาศัยอสุภะ ๑๐ ในอิริยาบถทั้งหลาย มีอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันทะ. ก็พระโยคาวจร ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันทะที่ละได้แล้ว ด้วยธรรม ๖ ประการนี้ ย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไปด้วยอรหัตตมรรค.

ปฏิฆนิมิต

อนึ่ง เพราะการทําไว้ในใจโดยไม่แยบคายในปฏิฆนิมิต พยาบาทย่อมเกิดขึ้นได้. ในปฏิฆะนิมิตนั้น ได้แก่ปฏิฆนิมิตที่เป็นปฏิฆะบ้าง ปฏิฆนิมิตที่มีปฏิฆะเป็นอารมณ์บ้าง. การทําไว้ในใจโดยไม่แยบคายมีลักษณะอย่างเดียวกันในทุกแห่งแล. เมื่อพระโยคาวจรยังการทําไว้ในใจโดยไม่แยบคายนั้นให้เป็นไปในนิมิตนั้นมากครั้งเข้า พยาบาทย่อมเกิดขึ้นได้. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ ปฏิฆนิมิตการกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ให้พยาบาทที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น

   .......................................

(๑) ขุ. เถร. ๒๖/๓๙๖/๔๐๑

 
  ข้อความที่ 115  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 745

ได้บ้าง ให้พยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วไพบูลย์ยิ่งขึ้นบ้าง" (๑). ก็การละพยาบาทนั้นย่อมมีได้ด้วยการทําเมตตาเจโตวิมุติไว้ในใจโดยแยบคาย ในเมตตาเจโตวิมุตินั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เมตตาย่อมควรทั้งอัปปนาสมาธิทั้งอุปจารสมาธิ เมื่อตรัสว่า เจโตวิมุตติย่อมควรเฉพาะอัปปนาอย่างเดียว การทํา (เมตตาเจโตวิมุตติ) ไว้ในใจโดยแยบคาย มีลักษณะดังกล่าวมาแล้วแล เมื่อพระโยคาวจรยังการทําไว้ในใจโดยแยบคายนั้น ให้เป็นไปในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น มากครั้งเข้า เธอก็ย่อมละพยาบาทได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุติ การกระทําให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ไม่ให้พยาบาทที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้นบ้าง ให้ละพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง." (๒)

ละพยาบาทด้วยธรรม ๖ ประการ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละพยาบาท คือการเรียนเมตตานิมิต ๑ การบําเพ็ญเมตตาภาวนา ๑ การพิจารณาว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ๑ ความเป็นผู้มากด้วยการพิจารณา ๑ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ๑ การสนทนาถึงเรื่องที่เป็นสัปปายะ ๑.

อธิบายว่า เมื่อพระโยคาวจรแม้เรียนเมตตาอยู่ ด้วยอํานาจการแผ่ไปโดยเจาะจงทิศ และไม่เจาะจงทิศ อย่างใดอย่างหนึ่ง พยาบาทอันเธอย่อมละได้.

แม้เมื่อพระโยคาวจรเจริญเมตตา โดยแผ่ไปสู่ทิศโดยเจาะจง พยาบาท

   ......................................

(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๕๙/๙๔

(๒) สํ. มหา. ๑๙/๕๓๖/๑๔๗

 
  ข้อความที่ 116  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 746

อันเธอย่อมละได้.

แม้เมื่อพระโยคาวจรเจริญเมตตา โดยแผ่ไปสู่ทิศโดยเจาะจง พยาบาทอันเธอย่อมละได้.

เมื่อพระโยคาวจร พิจารณาเห็นว่าตนและคนอื่นมีกรรมเป็นของตนอย่างนี้ว่า "เจ้าโกรธเขาแล้ว จักทําอะไรได้ เจ้าจักสามารถทําคุณธรรมมีศีลเป็นต้น ของเขาให้พินาศได้หรือ เจ้ามาตามกรรมของตนแล้ว ก็จักไปตามกรรมของตนนั่นเอง มิใช่หรือ? ชื่อว่า การโกรธคนอื่นเป็นเหมือนกับการที่บุคคลประสงค์จะคว้าเอาเถ้าที่ปราศจากเปลว หลาวเหล็กที่ร้อนและคูถเป็นต้นขว้างปาบุคคลอื่น ถึงเขาโกรธเจ้าแล้ว ก็จักทําอะไรให้ได้ เขาจักสามารถให้คุณธรรมมีศีลเป็นต้น ของเจ้าพินาศได้หรือ? เขามาตามกรรมของตน ก็จักไปตามกรรมของตนเหมือนกัน ความโกรธนั้น ก็จักตกรดหัวเขานั่นแหละ เหมือนของที่ส่งไป ไม่มีใครรับ (ก็จะกลับมาหาผู้ส่ง) และเหมือนกําฝุ่นที่ซัดไป ทวนลม (ก็จะปลิวกลับมาถูกผู้ขว้าง) ฉะนั้นบ้าง" ดีงนี้บ้าง ครั้นพิจารณาเห็น ทั้งตนทั้งคนอื่น มีกรรมเป็นของตนแล้วดํารงอยู่ในการพิจารณาบ้าง คบหากัลยาณมิตรผู้ยินดีในเมตตาภาวนาเช่น พระอัสสคุตตเถระบ้าง, พยาบาทอันเธอย่อมละได้. เธอย่อมละพยาบาทได้ แม้ด้วยการสนทนาถึงสิ่งที่เป็นสัปปายะเกี่ยวเนื่องด้วยเมตตา ในอิริยาบถทั้งหลาย มีอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไปเพื่อละพยาบาท.ก็พระโยคาวจรย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทที่ละได้แล้ว ด้วยธรรม ๖ ประการนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ต่อไป ด้วยอนาคามิมรรค.

อรติเป็นต้น

เพราะทําไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ในธรรมทั้งหลายคืออรติ เป็นต้น ถีนมิทธะย่อมเกิดขึ้นได้.

 
  ข้อความที่ 117  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 747

ที่ชื่อว่า ความเอือมระอา (อรติ) ได้แก่ ความเป็นผู้ระอา.

ที่ชื่อว่า ความอืดอาด (ตนฺติ) ได้แก่ความเป็นผู้อืดอาดทางกาย.

ที่ชื่อว่า ความบิดขี้เกียจ (วิชมฺภิกา) ได้แก่การเอี้ยวบิดกาย.

ที่ชื่อว่า เมาอาหาร (ภตฺตสมฺมโท) ได้แก่ความเซื่องซึมที่เกิดจากอาหาร และความกระวนกระวายที่เกิดจากอาหาร.

ที่ชื่อว่า ความหดหู่แห่งจิต (เจตโส ลินตฺตํ นาม) ได้แก่การที่จิตหงอยเหงา.

ก็เมื่อพระโยคาวจรยังการทําไว้ในใจโดยไม่แยบคาย ให้เป็นไปในธรรมทั้งหลายมีอรติเป็นต้นนี้มากครั้งเข้า ถีนมิทธะย่อมเกิดขึ้นได้.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มีอยู่นะ ภิกษุทั้งหลาย ความเอือมระอา ความอืดอาด ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร และความที่จิตหดหู่ การกระทําให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลาย มีความเอือมระอาเป็นต้นนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นได้บ้าง ให้ถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ไพบูลย์ยิ่งขึ้นบ้าง." (๑)

อารัพภธาตุเป็นต้น

ก็การละถีนมิทธะนั้น ย่อมมีได้โดยโยนิโสมนสิการในเพราะธาตุทั้งหลาย มี อารัพภธาตุ เป็นต้น.

ที่ชื่อว่า อารัพภธาตุ ได้แก่ความเพียรที่เริ่มครั้งแรก.

ที่ชื่อว่า นิกกมธาตุ ได้แก่ความเพียรที่มีพลังมากกว่าความเพียรที่เริ่มครั้งแรกนั้น เพราะออกไปแล้วจากความเกียจคร้าน.

ที่ชื่อว่า ปรักกมธาตุ ได้แก่ความเพียรที่มีพลังมากกว่านิกกมธาตุ

   .......................................

(๑) สํ.มหา. ๑๙/๓๖๐/๙๕.

 
  ข้อความที่ 118  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 748

แม้นั้น เพราะก้าวไปสู่ฐานะยิ่งๆ ขึ้นไป.

เมื่อพระโยคาวจรยังการทําไว้ในใจโดยแยบคายให้เป็นไปในความเพียร ๓ ประเภทนี้มากครั้งเข้า เธอย่อมละถีนมิทธะได้.

ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า "มีอยู่นะ ภิกษุทั้งหลาย อารัพภธาตุ นิกกมธาตุ (และ) ปรักกมธาตุ การกระทําให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในอารัพภธาตุเป็นต้นนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ไม่ให้ถีนมิทธะที่ยังไม้เกิดเกิดขึ้นบ้าง ให้ละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง." (๑)

ละถีนมิทธะด้วยธรรม ๖ ประการ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ คือ การเอานิมิตในการบริโภคมากเกินไป ๑ การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ๑ มนสิการถึงอาโลกสัญญา๑ การอยู่ในที่กลางแจ้ง ๑ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ๑ การสนทนาถึงเรื่องที่เป็นสัปปายะ ๑.

ก็เมื่อพระโยคาวจรฉัน (มากเกินไป) อย่างอาหารหัตถกพราหมณ์ ภุตตวมิตกพราหมณ์ ตัตรวฏกพราหมณ์ อลังสาฏกพราหมณ์ และกากมาสกพราหมณ์ แล้วนั่งบําเพ็ญสมณธรรมอยู่ ในที่พักกลางคืน และในที่พักกลางวัน ถีนมิทธะย่อมมาครอบงําได้ เหมือนช้างใหญ่มาเหยียบฉะนั้น.

แต่สําหรับภิกษุผู้งดโอกาสที่จะฉันได้อีก ๔ - ๕ คําเสีย แล้วดื่มน้ำแทนอยู่เป็นประจํา ถีนมิทธะนั้นย่อมไม่มี เมื่อพระโยคาวจร แม้ถือเอานิมิตในการฉันมากเกินไปอย่างว่ามานี้แล เธอย่อมละถีนมิทธะได้.

   .......................................

(๑) สํ. มหา ๑๙/๓๖๗/๙๖

 
  ข้อความที่ 119  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 749

ในอิริยาบถใด พระโยคาวจรตกอยู่ใต้อํานาจถีนมิทธะ เมื่อเธอเปลี่ยนเป็นอิริยาบถอื่นจากอิริยาบถนั้นก็ดี มนสิการถึงแสงจันทร์ แสงประทีป และแสงคบเพลิงในตอนกลางคืน (และ) แสงพระอาทิตย์ในตอนกลางวันก็ดี อยู่ในที่กลางแจ้งก็ดี คบหากัลยาณมิตรผู้ละถีนมิทธะได้แล้ว เช่นกับพระมหากัสสปเถระก็ดี ถีนมิทธะอันเธอย่อมละได้.

เธอย่อมละถีนมิทธะได้ แม้ด้วยการสนทนา ถึงเรื่องที่เป็นสัปปายะเกี่ยวกับธุดงค์ในอิริยาบถทั้งหลายมีอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้น.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธรรม ๖ ประการย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ. ก็พระโยคาวจรย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะที่ละได้แล้วด้วยธรรม ๖ ประการนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไปด้วยอรหัตตมรรค.

อุทธัจจกุกกุจจะ

เมื่อใจไม่สงบ อุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิดขึ้นได้ โดยการไม่ได้กระทําไว้ในใจโดยแยบคาย (ไม่มีโยนิโสมนสิการ). อาการที่จิตไม่สงบชื่อว่า อวูปสมะ. โดยอรรถ คําว่า อวูปสมะนั้น คืออุทธัจจกุกกุจจะนั่นเอง. เมื่อพระโยคาวจร ยังอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปในอวูปสมะนั้นมากครั้งเข้า อุทธัจจกุกกุจจะย่อมเกิดขึ้น.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบใจ การกระทําให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในความไม่สงบใจนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) เพื่อให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นไปแห่งอุทธัจจ-

 
  ข้อความที่ 120  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 750

กุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง." (๑)

ก็การละอุทธัจจกุกกุจจะนั้น มีได้ด้วยโยนิโสมนสิการในเพราะจิตสงบ กล่าวคือสมาธิ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ความสงบใจ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบใจนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) เพื่อไม่ให้อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง." (๒)

ละอุทธัจจกุกกุจจะด้วยธรรม ๖ ประการ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้ง ๖ อย่าง ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธจัจกุกกุจจะ คือ ความเป็นพหูสูต ๑ ความเป็นผู้สอบถาม ๑ ความเป็นผู้รู้ปกติในพระวินัย ๑ การคบหาคนเจริญแล้ว ๑ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ๑ การกล่าวถ้อยคําที่เป็นสัปปายะ ๑.

อธิบายว่า เธอแม้เรียนนิกาย ๑ บ้าง ๒ นิกายบ้าง ๓ นิกายบ้าง ๔ นิกายบ้าง ๕ นิกายบ้าง ทั้งโดยพระบาลีทั้งโดยอรรถกถา ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้. เธอผู้มากไปด้วยการสอบถามซึ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปยยะก็ดี ผู้รู้ความเป็นปกติในวินัยบัญญัติ เพราะความเป็นผู้เป็นไปในอํานาจวินัยที่ตนช่ําชองแล้วก็ดี เข้าไปหาท่านผู้เจริญ คือพระเถระผู้ใหญ่ก็ดี คบหาสมาคมกับกัลยาณมิตรผู้ทรงวินัย เช่น พระอุบาลีเถระก็ดี ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้.

ในอิริยาบถทั้งหลาย มีการยืนและการนั่งเป็นต้น เธอย่อมละได้ด้วยการกล่าวถ้อยคําที่เป็นสัปปายะเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ.

   ......................................

(๑) สํ. มหา. ๑๙/๑๓๖/๙๕.

(๒) สํ. มหา. ๑๙/๕๓๘/๑๔๗.

 
  ข้อความที่ 121  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 751

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธรรม ๖ อย่างย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ. เธอย่อมรู้ว่า (๑) บรรดาอุทธัจจกุกกุจจะที่ละได้แล้ว ด้วยธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ อุทธัจจะจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยอรหัตตมรรค กุกกุจจะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป ด้วยอนาคามิมรรค.

วิจิกิจฉา

วิจิกิจฉาย่อมเกิดขึ้นได้ โดยไม่มนสิการในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา. ที่ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา ก็ได้แก่วิจิกิจฉานั่นเอง เพราะเป็นเหตุแห่งความสงสัยบ่อยๆ. เมื่อเรายังอโยนิโสมนสิการในวิจิกิจฉานั้นให้เป็นไปมากครั้งเข้า วิจิกิจฉาย่อมเกิดขึ้น.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา การกระให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) เพื่อให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้นบ้าง เพื่อความไพบูลย์ยิ่งขึ้นแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง." (๒)

ก็การละวิจิกิจฉาแม้นั้น ย่อมมีได้ด้วยโยนิโสมนสิการในธรรมทั้งหลายมีกุศลเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษธรรมที่ควรส้องเสพและไม่ควรส้องเสพ ธรรมที่เลวและประณีต ธรรมที่มีส่วนคล้ายกับธรรมคําและธรรมขาว การกระทําทําให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) เพื่อให้


(๑) ปาฐะว่า อิเมหิ ปน ฉหิ ธมฺเมหิ ปหีนสฺส อุทฺธจฺจสฺส อรหตฺตมคฺเคน ฯเปฯ ปชานาติ.ฉบับพม่าเป็น อิเมหิ ปน ฉหิ ปหีเน อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺเจ อุทฺธจฺจ ฯเปฯ ปชานาติแปลตามฉบับพม่า.สํ. มหา. ๑๙/๓๖๒/๙๕.

(๒) สํ. มหา. ๑๙/๓๖๒/๙๕.

 
  ข้อความที่ 122  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 752

วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความไพบูลย์ยิ่งขึ้นแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง (๑)

ละวิจิกิจฉาด้วยธรรม ๖ อย่าง

อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้ง ๖ อย่าง ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉาคือความเป็นพหูสูต ๑ ความเป็นผู้สอบถาม ๑ ความเป็นผู้รู้ปกติในพระวินัย ๑ ความเป็นผู้มากด้วยอธิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร ๑ การกล่าวถ้อยคําที่เป็นสัปปายะ ๑.

อธิบายว่า เธอแม้เรียน นิกาย ๑ บ้าง ฯลฯ ๕ นิกายบ้าง ทั้งโดยพระบาลี ทั้งโดยอรรถกถา ย่อมละวิจิกิจฉาได้แม้ด้วยพาหุสัจจะ.ผู้มากด้วยการสอบถามโดยการปรารภพระรัตนตรัยก็ดี ผู้มีความชํานาญช่ําชองในพระวินัยก็ดี ผู้มากไปด้วยอธิโมกข์ กล่าวคือมีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยก็ดี ผู้คบหากัลยาณมิตร ผู้เป็นสัทธาวิมุตติเช่นพระวักกลิเถระก็ดี ย่อมละวิจิกิจฉาได้.

ในอิริยาบถทั้งหลายมีการยืนการนั่งเป็นต้น เธอย่อมละวิจิกิจฉาได้ แม้ด้วยถ้อยคําที่เป็นสัปปายะเกี่ยวกับคุณของพระรัตนตรัย. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ธรรม ๖ อย่าง ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา ก็พระโยคาวจรย่อมทราบชัดว่า วิจิกิจฉาที่ละได้ด้วยธรรม ๖ อย่าง เหล่านี้จะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป เพราะโสดาปัตติมรรค.

คำว่า ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้... ภายในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พระโยคาวจรพิจารณาเห็น


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๕๓๙/๑๔๗.

 
  ข้อความที่ 123  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 753

ธรรมในธรรมทั้งหลายของตน หรือในธรรมทั้งหลายของผู้อื่น คือในธรรมทั้งหลายของตนตามกาล (ที่เหมาะสม) หรือของผู้อื่นตามกาล (ที่เหมาะสม) ด้วยการกําหนดเห็นนิวรณ์ ๕ อย่างนี้อยู่.แต่ในนิวรณบรรพนี้ พระโยคาวจรควรนําความเกิดขึ้นและความเสื่อมออกไปด้วยอโยนิโสมนสิการ หรือโยนิโสมนสิการในสุภนิมิตเป็นต้น โดยนัยที่ตรัสไว้แล้วในนิวรณ์๕. ข้อความต่อจากนี้ไปมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.

อริยสัจในนิวรณ์

ก็สติเป็นเครื่องกําหนดนิวรณ์ ในนิวรณบรรพนี้ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว บัณฑิตพึงประกอบความดังที่พรรณหามานี้ แล้วทราบช่องทางแห่งธรรมเป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กําหนดนิวรณ์เป็นอารมณ์ข้อความที่เหลือก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันแล.

จบ นิวรณบรรพ

ขันธบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงจําแนกธรรมานุปัสสนาโดยนิวรณ์ ๕ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกโดยเบญจขันธ์ จึงตรัสคํามีอาทิว่า อีกประการหนึ่ง (ปุน จปรํ).

บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า อุปาทานขันธ์ ๕ (ปฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ) ความว่า กองแห่งอุปาทาน ชื่อว่าอุปาทานขันธ์ อธิบายว่า กลุ่มแห่งธรรมคือกองแห่งธรรมอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน ชื่อว่าธัมมราสี ความสังเขปในเบญจขันธ์

 
  ข้อความที่ 124  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 754

นี้มีเท่านี้. ส่วนความพิสดารเรื่องขันธ์กล่าวไว้แล้วในคันภีร์วิสุทธิมรรค.

คำว่า อย่างนี้รูป (อิติ รูปํ) ความว่า รู้รูปโดยสภาวะว่า นี้รูป รูปเท่านี้รูปอื่นจากนี้ไม่มี. แม้ในเวทนาเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน. ความสังเขปในคํานี้มีเท่านี้. ส่วนโดยพิสดาร รูปเป็นต้น ท่านกล่าวไว้แล้วในเรื่องขันธ์ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นแหละ.

คำว่า อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป (อิติ รูปสฺส สมุทโย) ความว่า ความเกิดแห่งรูปโดยอาการ ๕ โดยมีอวิชชาเป็นที่เกิดเป็นต้นอย่างนี้.

คำว่า อย่างนี้ความดับแห่งรูป (อิติ รูปสฺส อตฺถงฺคโม) ความว่า ความดับแห่งรูป โดยอาการ ๕ โดยมีความดับแห่งอวิชชาเป็นต้นอย่างนี้. แม้ในเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. นี้เป็นความสังเขปในข้อนี้ ส่วนความพิสดารกล่าวไว้แล้วในเรื่องอุทยัพพยญาณ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.

คำว่า ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้... ภายในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าของตนหรือของคนอื่น ไม่ว่าตามกาลของตนหรือคนอื่นด้วยการกําหนดเบญจขันธ์เป็นอารมณ์อย่างนี้อยู่. ก็ในคํานี้ สมุทยธรรมและวยธรรม พึงยกขึ้นพิจารณาลักษณะ ๕๐ ที่ท่านกล่าวไว้ในขันธ์ทั้งหลาย มีอาทิว่า เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิด. (๑) ต่อจากนี้ ก็มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

อริยสัจในเบญจขันธ์

ก็สติเป็นเครื่องกําหนดขันธ์เป็นอารมณ์ ในขันธบรรพนี้ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว พึงประกอบความดังกล่าวมานี้ แล้วพึงทราบช่องทางแห่งธรรมเป็นเครื่องนําออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กําหนดถือขันธ์เป็นอารมณ์. คําที่


(๑) ขุ. ปฏิ. ๓๑/๑๐๖/๗๙.

 
  ข้อความที่ 125  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 755

เหลือ ก็อย่างนั้นเหมือนกัน.

ขันธบรรพ จบ

อายตนบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงจําแนกธรรมานุปัสสนาโดยเบญจขันธ์อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกโดยอายตนะ จึงตรัสคํามีอาทิว่า อีกประการหนึ่ง (ปุน จปรํ).

บรรดาคำเหล่านั้น ข้อว่า อายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ (ฉสุ อชฺฌตฺติกพาหิเรสุ อายตเนสุ) ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ เหล่านี้คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (และ) อายตนะภายนอก ๖ เหล่านั้นคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์.

คำว่า ย่อมรู้จักตา (จักษุประสาท) (จกฺขุํ จ ปชานาติ) ได้แก่ รู้ชัดจักขุปสาท ตามลักษณะอำนาจหน้าที่ของตน (๑) ตามความเป็นจริง

คำว่า รู้จักรูป (รูเป จ ปชานาติ) ความว่า รู้ชัดรูปที่มีสมุฏฐาน ๔ อย่าง ภายนอกด้วย ตามลักษณะอำนาจหน้าที่ของตนจตามความเป็นจริง.

ข้อว่า รู้จักสังโยชน์ที่อาศัยตาและรูปทั้งสองนั้นเกิดขึ้น (ยฺจ ตทุภยํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชาติ สฺโญชนํ) ความว่า ก็เพราะอาศัยอายตนะทั้ง ๒ อย่าง คือทั้งตาด้วย ทั้งรูปด้วย สังโยชน์ ๑๐ อย่างคือ กามราคสังโยชน์, ปฏิฆะ, มานะ, ทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส, ภวราคะ, อิสสา, มัจฉริยะ และอวิชชา สังโยชน์อันใดย่อมเกิดขึ้น เธอรู้ชัดสังโยชน์นั้น ตามลักษณะอำนาจหน้าที่ของตนตามความเป็นจริงด้วย.


(๑) ขุ. ปฏิ. ๓๑/๑๐๖/๗๙.

 
  ข้อความที่ 126  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 756

การเกิดของสังโยชน์

ถามว่า ก็สังโยชน์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

แก้ว่า จะกล่าวในจักษุทวารก่อน เมื่อเธอชอบใจเพลิดเพลินยินดีอิฏฐารมณ์ที่มาสู่คลอง (จักษุ) ด้วยอํานาจแห่งความพอใจในอิฏฐารมณ์กามราคสังโยชน์จะเกิดขึ้น. เมื่อโกรธในเพราะอนิฏฐารมณ์ ปฏิฆสังโยชน์จะเกิดขึ้น. เมื่อสําคัญว่า นอกจากเราแล้วไม่มีใครอื่นจะสามารถสําแดงอารมณ์ (๑) นี้ให้แจ่มแจ้งได้ มานสังโยชน์จะเกิดขึ้น. เมื่อยึดถือว่ารูปารมณ์นี้ (๒) เที่ยง ยั่งยืน ทิฏฐิสังโยชน์จะเกิดขึ้น. เมื่อสงสัยว่า รูปารมณ์นี้ (๓) เป็นสัตว์หรือหนอ หรือเป็นของสัตว์ วิจิกิจฉาสังโยชน์จะเกิดขึ้น เมื่อปรารถนาภพว่า ภพ (การเกิด) นี้มิใช่จะหาได้ง่าย ในสัมปัตติภพเลย (๓) ภวราคสังโยชน์ (๔) จะเกิดขึ้น, เมื่อยึดมั่นศีลและพรตว่า เราสมาทานศีลและพรตแบบนี้แล้วอาจจะได้ (บรรลุคุณวิเศษ) ต่อไป สีลัพพตปรามาสสังโยชน์จะเกิดขึ้น. เมื่อริษยาว่า ไฉนหนอ คนอื่นๆ จึงจะไม่ได้รูปารมณ์นี้ อิสสาสังโยชน์จะเกิดขึ้น. เมื่อตระหนี่รูปารมณ์อันตนได้แล้วต่อผู้อื่น มัจฉริยสังโยชน์จะเกิดขึ้น. เมื่อไม่รู้ โดยไม่รู้ธรรมที่เกิดขึ้นพร้อมกับธรรมเหล่านั้นทั้งหมดนั่นแหละ อวิชชาสังโยชน์จะเกิดขึ้นได้.

คำว่า อนึ่ง... ที่ยังไม่เกิดขึ้นด้วยประการใด (ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺส) ความว่า สังโยชน์ทั้ง ๑๐ อย่างนั้น ที่ยังไม่ได้เกิด จะเกิดขึ้นด้วยเหตุ คือด้วยการไม่ฟุ้งขึ้นอันใด เธอรู้ชัดเหตุนั้นด้วย.


(๑) ปาฐะว่า เอกํ ฉบับพม่าเป็น เอตํ แปลตามฉบับพม่า.

(๒) ปาฐะว่า เอวํ ฉบับพม่าเป็น เอตํ แปลตามฉบับพม่า.

(๓) ปาฐะว่า สมฺปตฺติภเว อตฺตโน พม่าเป็น สมฺปตฺติภเว วน โน แปลตามฉบับพม่า.

(๔) ปาฐะว่า ภวสํโยชนํ ฉบับพม่เป็น ภวราคสํโยชนํ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 127  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 757

คำว่า อนึ่ง... ที่เกิดขึ้นแล้ว (ยถา จ อุปฺปนฺนสฺส) ความว่า ส่วนการละสังโยชน์แม้ทั้ง ๑๐ อย่างนั้น ที่เกิดขึ้นแล้วโดยความหมายว่า ยังละไม่ได้ก็ดี โดยการฟุ้งขึ้นก็ดี ด้วยเหตุใด เธอย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุนั้นด้วย.

คำว่า ที่ละได้แล้ว (ยถา จ ปหีนสฺส) ความว่า สังโยชน์ ๑๐ อย่างนั้นแม้ที่ละได้แล้วโดยตทังคปหานและวิกขัมภนปหาน จะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป เพราะเหตุใด เธอก็รู้เหตุนั้นด้วย. อธิบายว่า ก็สังโยชน์นั้นจะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป คือสังโยชน์ ๕ อย่าง ต่างด้วยทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อิสสา และ มัจฉริยะ จะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป เพราะโสดาปัตติมรรคก่อน.

สังโยชน์ทั้งคู่ คือกามราคะและปฏิฆะอย่างหยาบจะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป เพราะสกทาคามิมรรค สังโยชน์ทั้งคู่คือ กามราคะและปฏิฆะที่ไปด้วยกันอย่างละเอียด จะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป เพราะอนาคามิมรรค,สังโยชน์ ๓ อย่างคือ มานะ ภวราคะ และอวิชชา จะไม่มีการเกิดขึ้นต่อไป เพราะอรหัตตมรรค ด้วยเหตุใด เธอก็รู้เหตุนั้นด้วย.แม้ในคำว่า ในเสียงเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. อีกอย่างหนึ่ง ในข้อนี้ พึงทราบกถาว่าด้วยอายตนะ โดยพิสดารตามนัยที่ได้กล่าวไว้แล้วในอายตนนิเทศ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นเทอญ.

พระโยคาวจร พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายของตนด้วยการกําหนดอายตนะภายในหรือในธรรมทั้งหลายของผู้อื่นด้วยการกําหนดอายตนะภายนอก คือในธรรมทั้งหลายของตน ตามกาล (เหมาะสม) หรือของผู้อื่นตามกาล (เหมาะสม) อยู่ด้วยประการอย่างนี้. ก็ในอายตนบรรพนี้ สมุทยธรรม และวยธรรม ควรนําออกไปโดยนัยแห่งรูปาย-

 
  ข้อความที่ 128  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 758

ตนะที่ตรัสไว้แล้วในรูปขันธ์ แห่งมนายตนะในบรรดาอรูปายตนะทั้งหลาย ที่ตรัสไว้ในวิญญาณขันธ์ แห่งธรรมายตนะ ที่ตรัสไว้ในขันธ์ที่เหลือว่าเพราะอวิชชาเกิด จักษุจึงเกิด. ไม่ควรหมายถึงโลกุตตรธรรม. คําต่อแต่นี้ไป มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.

อริยสัจในอายตนะ

ก็สติเป็นเครื่องกําหนดอายตนะ ในอายตนบรรพนี้ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว พึงประกอบความดังกล่าวมานี้ แล้วทราบช่องทางแห่งธรรมที่เป็นเหตุนําออก (จากทุกข์) แห่งภิกษุผู้กําหนดถืออายตนะเป็นอารมณ์.คําที่เหลือก็อย่างนั้นเหมือนกันแล.

อายตนะบรรพ จบ

โพชฌงคบรรพ

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงจําแนกธรรมานุปัสสนา โดยอายตนะที่เป็นไปในภายในและภายนอก ๖ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกโดยโพชฌงค์ จึงตรัสคํามีอาทิว่า อีกประการหนึ่ง (ปุน จปรํ).

บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า โพชฌงค์ (โพชฺฌงฺเคสุ) ได้แก่ องค์แห่งบุคคลผู้ตรัสรู้.

คำว่า มีอยู่ (สนฺตํ) ได้แก่ มีอยู่โดยการได้มา.

คำว่า สติสัมโพชฌงค์ (สติสมฺโพชฺณงฺคํ) ได้แก่ องค์แห่งธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้กล่าวคือสติ.

 
  ข้อความที่ 129  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 759

อธิบายว่า พระโยคาวจรย่อมรู้พร้อมสรรพในธรรมทั้ง ๗ นี้ จําเดิมแต่ปรารภวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ธรรมทั้ง ๗ นั้นจึงชื่อว่า สัมโพธิ. อีกอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรนั้น. ตื่น คือลุกขึ้นจากกิเลสนิทรา หรือแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย ด้วยธรรมสามัคคี ๗ ประการใด มีสติเป็นต้น ธรรมสามัคคีนั้น ชื่อว่า สัมโพธิ. ชื่อว่า สัมโพชฌงค์ เพราะเป็นองค์แห่งสัมโพธิธรรมหรือสัมโพธิธรรมสามัคคีนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สัมโพชฌงค์ กล่าวคือสติ. แม้ในสัมโพชฌงค์ที่เหลือก็พึงทราบอรรถพจน์โดยนัยนี้เหมือนกัน.

คำว่า ไม่มีอยู่ (อสนฺตํ) ความว่า ไม่มีโดยการไม่กลับได้. ก็ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ที่ยังไม่เกิด... ด้วยประการใด (ยถา จ อนุปฺปนฺนสฺส) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

การเกิดของสติสัมโพชฌงค์

อันดับแรก สติสัมโพชฌงค์ จะมีการเกิดขึ้นอย่างนี้ "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ การกระทําไว้ให้มากในใจโดยแยบคายในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ย่อมเป็นไป เพื่อให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความบริบูรณ์แห่งการเจริญสติสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง." (๑) ในธรรมเหล่านั้น เมื่อสตินั้นมีอยู่นั่นเอง ชื่อว่าธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์ มีอยู่ โยนิโสมนสิการมีลักษณะดังกล่าวแล้วนั่นแหละ เมื่อพระโยคาวจร ยังโยนิโสมนสิการนั้นให้เป็นไปในธรรมเหล่านั้นบ่อยครั้งเข้า สติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้น.


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๖๕/๙๖.

 
  ข้อความที่ 130  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 760

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อการเกิดขึ้นแห่งสติสัมโพชฌงค์ คือ สติสัมปชัญญะ ๑ การเว้นจากบุคคลผู้มีสติหลงลืม ๑ การคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น ๑ ความเป็นผู้น้อมไปหาสตินั้น ๑.

จริงอยู่ สติสัมโพชฌงค์ จะเกิดขึ้นในที่ ๗ สถาน มีการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น เพราะมีสติสัมปชัญญะ เพราะเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืมเช่นกับการเก็บอาหารไว้ เพราะคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มีสติตั้งมั่นเช่นพระติสสทัตตเถระ และพระอภยเถระเป็นต้น และเพราะเป็นผู้มีจิตโอนเอียงโน้มน้อมไปเพื่อให้สติตั้งขึ้นในอิริยาบถทั้งหลาย มีการนั่ง การนอนเป็นต้น. เธอย่อมรู้ชัดว่าก็ความบริบูรณ์แห่งการเจริญสติสัมโพชฌงค์นั้น ที่เกิดขึ้นแล้วด้วยเหตุ ๔ อย่างอย่างนี้ จะมีได้ด้วยอรหัตตมรรค.

การเกิดของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

ส่วนธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มีการเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมและอกุศลธรรมทั้งหลาย ฯลฯ ธรรมที่มีส่วนคล้ายคลึงกับกัณหธรรมและสุกกธรรมเหล่าใด การกระทําไว้ในใจโดยแยบคายในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) เป็นไปเพื่อให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อภิญโญภาพ เพื่อความไพบูลย์แห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เพื่อเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เพื่อให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์บริบูรณ์บ้าง." (๑)

อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้ง ๗ ประการคือ การสอบถาม ๑ การทําวัตถุให้ผ่องใส ๑ การปรับอินทรีย์ให้สม่ําเสมอ ๑ การเว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม ๑ การคบหาสมาคมกับผู้มีปัญญา ๑ การพิจารณาความ


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๖๖/๙๖

 
  ข้อความที่ 131  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 761

ประพฤติด้วยญาณอันลึกซึ้ง ๑ การน้อมใจไปในธัมมวิจยะนั้น ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อการเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์. ความเป็นผู้มากด้วยการสอบถามเกี่ยวกับเนื้อความของ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ. อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ มรรค องค์ฌาน สมถะ และวิปัสสนา ชื่อว่า การสอบถามในบรรดาธรรม ๗ เหล่านั้น.

การกระทําวัตถุทั้งภายในและภายนอก ให้ผ่องใส ชื่อว่า การทำวัตถูให้ผ่องใส. เพราะว่า เมื่อใด ผม เล็บ และขน ของเธอยาวเกินไปหรือร่างกายของเธอมีโรค (โทส) มาก และแปดเปื้อนไปด้วยมลภาวะคือเหงื่อ เมื่อนั้น วัตถุอันมีอยู่ในภายใน (ร่างกาย) จะไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์. แต่เมื่อใด จีวรของเธอเก่า เศร้าหมอง มีกลิ่น หรือเสนาสนะ เปรอะเปื้อน เมื่อนั้น วัตถุที่มีในภายนอก จะไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น วัตถุภายใน เธอต้องกระทําให้ผ่องใส โดยการปลงผมเป็นต้นโดยการทําร่างกายให้เบาสบาย ด้วยการชําระทั้งข้างบนข้างล่าง เป็นต้น (และ) โดยการอบ อาบ.

วัตถุภายนอก ต้องทําให้ผ่องใสด้วยการเย็บ การซัก การย้อม และการทําเครื่องใช้เป็นต้น. เพราะว่า แม้ญาณในจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นในเพราะวัตถุภายใน และภายนอกนี้ที่ไม่ผ่องใส ก็จะไม่ผ่องใส (ไปด้วย) เหมือนแสงสว่างของเปลวประทีป ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยตะเกียงไส้และน้ำมันที่ไม่สะอาดฉะนั้น ส่วนแม้ญาณในจิตและเจตสิกทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วในเพราะวัตถุภายในและภายนอกที่ผ่องใส ก็จะผ่องใส (ไปด้วย) เหมือนแสงสว่างของเปลวประทีปที่เกิดขึ้น โดยอาศัยตะเกียงไส้และน้ำมันที่สะอาด ฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

 
  ข้อความที่ 132  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 762

จึงตรัสว่า การทําวัตถุให้ผ่องใส ย่อมเป็นไปเพื่อการเกิดขึ้นแห่งธัมมวิจยสัมโพชฌงค์.

การทําอินทรีย์มีศรัทธาเป็นต้นให้มีความเสมอกัน ชื่อว่า การปรับอินทรีย์ให้เสมอกัน. เพราะถ้าว่าสัทธินทรีย์ของเธอมีพลัง อินทรีย์นอกนี้อ่อน. ต่อนั้นไป วิริยินทรีย์ก็ไม่อาจจะทําหน้าที่ประคองไว้ได้ สตินทรีย์ก็ไม่อาจจะทําหน้าที่ปรากฏได้. สมาธินทรีย์ก็ไม่อาจจะทําหน้าที่ไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ ปัญญินทรีย์ก็ไม่อาจจะทําหน้าที่พิจารณาเห็นได้. เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรพึงให้สัทธินทรีย์นั้นเสื่อมไปโดยพิจารณาถึงสภาวธรรม หรือโดยไม่ใส่ใจถึง โดยทํานองที่เมื่อใส่ใจถึง สัทธินทรีย์จะมีพลัง. ก็ในข้อนี้มีเรื่องของพระวักกลิเถระเป็นตัวอย่าง. แต่ถ้าวิริยินทรีย์มีพลัง ภายหลังสัทธินทรีย์จะไม่สามารถทําหน้าที่น้อมใจเชื่อได้เลย อินทรีย์นอกนี้ก็ไม่อาจทําหน้าที่ต่างประเภทนอกนี้ได้ เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรพึงให้วิริยินทรีย์นั้นเสื่อมไปด้วยการเจริญปัสสัทธิเป็นต้น. แม้ในข้อนั้นพึงแสดงเรื่องของพระโสณเถระให้เห็น. แม้ในอินทรีย์ที่เหลือก็พึงทราบอย่างนั้น. เมื่ออินทรีย์อย่างเดียวมีพลัง พึงทราบว่า อินทรีย์นอกนี้ ก็หมดสมรรถภาพในหน้าที่ของตน.

แต่ในเรื่องนี้ ท่านสรรเสริญ ความที่ศรัทธากับปัญญาเสมอกัน และสมาธิกับวิริยะเสมอกันไว้โดยพิเศษ. เพราะว่า ผู้มีศรัทธามีพลัง แต่มีปัญญาอ่อน จะมีความเลื่อมใสอย่างงมงาย คือเลื่อมใสในสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุผู้มีปัญญามีพลัง (แต่) มีศรัทธาหย่อน ย่อมจะกระเดียดไปทางข้างเกเรแก้ไขยาก เหมือนโรคดื้อยา ไม่ทํากุศลมีทานเป็นต้น โดยคิดเลยเถิดไปว่า กุศลจะมีได้ด้วยเหตุเพียงจิตตุปบาทเท่านั้น ย่อมเกิดในนรก. (แต่)

 
  ข้อความที่ 133  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 763

เพราะศรัทธาและปัญญาทั้งคู่เสมอกัน เขาจะเลื่อมใสในพระรัตนตรัยทีเดียว. ส่วนสมาธิมีพลัง แต่วิริยะหย่อน โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน) จะครอบงํา (เธอ) เพราะสมาธิเป็นฝักฝ่ายแห่งโกสัชชะความเกียจคร้าน. (ถ้า) วิริยะมีพลัง แต่สมาธิหย่อน อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) จะครอบงําเธอ เพราะวิริยะเป็นฝ่ายแห่งอุทธัจจะ ก็สมาธิที่ประกอบไปด้วยวิริยะ จะไม่มี ตกไปในโกสัชชะ. วิริยะที่ประกอบไปด้วยสมาธิจะไม่มีตกไปในอุทธัจจะ เพราะฉะนั้น ควรทําสมาธิและวิริยะทั้งคู่นั้นให้เสมอกัน. ด้วยว่า อัปปนาจะมีได้เพราะวิริยะและสมาธิทั้งคู่นั้นเสมอกัน.

อีกอย่างหนึ่ง สําหรับผู้เริ่มบําเพ็ญสมาธิ ศรัทธาถึงจะมีพลังก็ใช้ได้. เมื่อเธออย่างนี้ กําหนดอยู่ จะถึงอัปปนา. ในสมาธิและปัญญา สําหรับผู้เริ่มบําเพ็ญสมาธิ เอกกัคคตา (สมาธิ) มีพลังย่อมใช้ได้. ด้วยว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็จะบรรลุอัปปนา. สําหรับผู้เริ่มบําเพ็ญวิปัสสนาปัญญามีพลังย่อมใช้ได้. ด้วยว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็จะถึงการแทงตลอดลักษณะ (พระไตรลักษณ์). ก็เพราะทั้งสองอย่างนั้นเสมอกัน อัปปนาก็จะมีทีเดียว. ส่วนสติ มีพลัง ใช้ได้ในที่ทุกสถาน. เพราะว่าสติ จะรักษาจิตไว้ได้ จากการตกไปสู่อุทธัจจะ ด้วยอํานาจของศรัทธา วิริยะและปัญญาซึ่งเป็นฝักฝ่ายแห่งอุทธัจจะ จะรักษาจิตไว้ได้ จากการตกไปสู่โกสัชชะ ด้วยสมาธิ ที่เป็นฝักฝ่ายแห่งโกสัชชะ เพราะฉะนั้น สตินั้นจึงจําต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนในแกงทุกอย่างต้องเหยาะเกลือ และเหมือนในราชกิจทุกชนิด ต้องประสงค์ผู้สําเร็จราชการ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็แลสติจําปรารถนาในที่ทั้งปวง

 
  ข้อความที่ 134  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 764

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว. เพราะเหตุไร? เพราะว่าจิตมีสติเป็นที่พึ่งอาศัย และสติมีการอารักขาเป็นเครื่องปรากฏ. เว้นสติเสียแล้ว การประคองและการข่มจิตจะมีไม่ได้.

การเว้นให้ห่างไกล ซึ่งบุคคลผู้มีปัญญาทราม คือ ผู้มีปัญญาไม่หยั่งลงในประเภทธรรมมีขันธ์เป็นต้น ชื่อว่าการเว้นบุคคลผู้มีปัญญาทราม.การคบหาบุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาเห็นความเกิดและความดับที่กําหนดลักษณะ (ความเกิดความดับ) ๕๐ ถ้วน ชื่อว่าการคบหาบุคคลผู้มีปัญญา. การพิจารณาประเภทแห่งปัญญาอันลึกซึ้ง ที่เป็นไปแล้วในขันธ์ทั้งหลายอันลึกซึ้ง ชื่อว่าการพิจารณาความเป็นไปแห่งญาณอันลึกซึ้ง. ความที่จิตโน้มน้อมและโอนไปเพื่อให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ตั้งขึ้น ในอิริยาบถนั่ง และอิริยาบถนอนเป็นต้น ชื่อว่าความน้อมจิตไปในธันมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น. เธอรู้ชัดว่า ก็ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์นั้น ที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ จะมีการให้ภาวนาบริบูรณ์ด้วยอรหัตตมรรค.

การเกิดของวิริยสัมโพชฌงค์

วิริยสัมโพชฌงค์มีการเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย อารัพภธตุ นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ การทําไว้ให้มากในใจโดยแยบคายในอารัพภธาตุเป็นต้นนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) จะเป็นไปเพื่อให้วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นบ้าง เพื่อภิญโญภาพ เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์แห่งวิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง." (๑)


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๖๗/๙๖.

 
  ข้อความที่ 135  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 765

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ คือการพิจารณาเห็นภัยในอบาย ๑ การเห็นอานิสงส์ ๑ การพิจารณาเห็นทางดําเนินไป ๑ การประพฤติอ่อนน้อมต่อบิณฑบาต ๑ การพิจารณาเห็นความเป็นใหญ่โดยความเป็นทายาท ๑ การพิจารณาเห็นความเป็นใหญ่ของพระศาสดา ๑ การพิจารณาเห็นความเป็นใหญ่โดยชาติ ๑ การพิจารณาเห็นความเป็นใหญ่โดยเป็นเพื่อนสพรหมจารี ๑ การเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน ๑ การคบหาบุคคลผู้ปรารภความเพียร ๑ ความเป็นผู้มีจิตน้อมไปในวิริยสัมโพชฌงค์นั้น ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดแห่งวิริยสัมโพชฌงค์.

ในธรรม ๑๑ ประการนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

เราไม่อาจเพื่อให้วิริยสัมโพชฌงค์เกิดขึ้น ในเวลาเสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวง จําเดิมแต่ต้องกรรมกรณ์ด้วยเครื่องจองจําครบ ๕ ประการในนรกทั้งหลายก็ดี ในเวลาถูกจับด้วยเครื่องจับสัตว์น้ำ มีการทอดแห และดักไซเป็นต้น และในเวลาที่ลากเกวียนเป็นต้นไป ของสัตว์ผู้ถูกบังคับด้วยการแทงด้วยปฏัก และตีด้วยเรียวหนามเป็นต้น ในกําเนิดเดียรัจฉานก็ดี ในเวลาอาดูรด้วยความหิว ความกระหาย เป็นเวลาหลายพันปีบ้าง พุทธันดรหนึ่งบ้าง ในวิสัยแห่งเปรตก็ดี. ในเวลาเสวยทุกข์ มีลมและแดดเป็นต้น ด้วยอัตภาพที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น (สูง) ประมาณ ๖๐ ศอก และ ๘๐ ศอก ในเหล่าอสูรชื่อกาลกัญชิกะก็ดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เวลานี้นั่นแหละเป็นเวลาที่เธอจะบําเพ็ญความเพียร (๑) แม้เมื่อ


(๑) ปาฐะว่า กาโลติ เอวํ ฉบับพม่าเป็น กาโล วิริยกรณายาติ เอวํ แปลตามฉบับพม่า.

 
  ข้อความที่ 136  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 766

เธอพิจารณาเห็นภัยในอบายดังที่พรรณนามานี้ วิริยสัมโพชฌงค์ก็จะเกิดขึ้น.

วิริยสัมโพชฌงค์จะเกิดขึ้น แม้แก่ผู้เห็นอานิสงส์ (ของความเพียร) อย่างนี้ว่า คนเกียจคร้านไม่อาจจะได้นวโลกุตตรธรรม คนปรารภความเพียรเท่านั้นจึงอาจได้ นี้เป็นอานิสงส์ของวิริยะ.

วิริยสัมโพชฌงค์จะเกิดขึ้น แม้แก่ผู้พิจารณาเห็นทางดําเนินอย่างนี้ว่า เธอพึงเดินทางที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระมหาสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ได้เสด็จดําเนินไปและเดินไปแล้วและทางนั้นคนเกียจคร้านไม่อาจจะดําเนินไปได้.

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นแม้แก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นความยําเกรงซึ่งบิณฑบาต เหมือนที่เกิดขึ้นแก่พระมหามิตตเถระอย่างนี้ว่า เหล่าชนผู้บํารุงท่านด้วยปัจจัย มีบิณฑบาตเป็นต้นเหล่านี้ ไม่ใช่ญาติของท่านเลย ไม่ใช่ทาสกรรมกรของท่าน ทั้งเขาไม่ได้ให้บิณฑบาตเป็นต้นอันประณีต แก่ท่านด้วยคิดว่า พวกเราจักดํารงอยู่ได้เพราะอาศัยท่าน โดยที่แท้เขาหวังว่าสักการะของตนจะมีผลมาก จึงพากันถวาย แม้พระศาสดา ก็มิได้ทรงเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ ฉันปัจจัยเหล่านี้แล้ว จักเป็นผู้มีกายมั่นคงมาก อยู่อย่างสบาย ได้ทรงอนุญาตไว้แก่ท่าน โดยที่แท้ทรงอนุญาตปัจจัยเหล่านั้นด้วยทรงพระประสงค์ว่า ภิกษุนี้เมื่อบริโภคปัจจัยเหล่านี้ จักบําเพ็ญสมณธรรมแล้วพ้นจากทุกข์ บัดนี้ เธอเกียจคร้านอยู่ จักไม่ยําเกรงบิณฑบาตนั้น เพราะขึ้นชื่อว่า ความยําเกรงบิณฑบาตจะมีแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเท่านั้น.

 
  ข้อความที่ 137  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 767

เรื่องพระมหามิตตเถระ

ได้ทราบว่า พระเถระอาศัยอยู่ในที่ชื่อว่า กัสสกเลณะ และมหาอุบาสิกาคนหนึ่ง ในโคจรคาม ของพระเถระนั้น ได้ปฏิบัติพระเถระอย่างลูกชาย. วันหนึ่ง นางเมื่อจะเข้าป่าได้บอกลูกสาวว่า "แม่หนู ข้าวเก่าอยู่ในที่โน้น น้ำนมอยู่ที่โน้น เนยใสอยู่ที่โน้น น้ำอ้อยอยู่ที่โน้น ในเวลาที่คุณมิตร พี่ชายของเจ้ามา เจ้าจงหุงข้าวถวายพร้อมกับนม เนยใส และน้ำอ้อย เจ้าก็ควรกินด้วย ส่วนแม่ เมื่อวานกินข้าวตังกับน้ำผักดอง." ลูกสาวถามว่า กลางวันแม่จะกินอะไรเล่าแม่? "เจ้าจงเอาข้าวป่น (ปลายข้าว) ต้มให้เป็นข้าวยาคูเปรี้ยว เติมผักดองลงไป ตั้งไว้เถิดลูก." แม่บอก. พระเถระห่มจีวร แล้วนําบาตรออก ได้ยินเสียงนั้นแล้วกล่าวสอนตนว่า ได้ยินว่า มหาอุบาสิกาบริโภคข้าวตังกับน้ำผักดอง แม้ตอนกลางวัน จักต้องบริโภคข้าวยาคูเติมน้ำผักดองอีก. แม่บอก (ให้หุง) ข้าวเก่าเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่เจ้า ก็แลนางไม่ได้ปรารถนา นา สวน ข้าว ผ้า เพราะอาศัยเธอ แต่ปรารถนาสมบัติ ๓ จึงถวาย เจ้าจักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่เธอ หรือว่าจักไม่สามารถ ก็แลบิณฑบาตนี้ อันเจ้าผู้ยังมีราคะ โทสะ และโมหะ ไม่สามารถจะรับได้ จึงเก็บบาตรเข้าถุง ปล่อยเงื่อนงําไว้ กลับไปยังกัสสกเลณะตามเดิม เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้บนราวจีวร คิดว่า เรายังไม่บรรลุพระอรหัตแล้ว จักไม่ออกไป นั่งบําเพ็ญเพียรแล้ว ท่านไม่ประมาท เป็นพระเก็บตัวอยู่อย่างไม่ประมาท ตลอดกาลนาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต

 
  ข้อความที่ 138  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 768

ก่อนฉันนั่นเอง เป็นพระมหาขีณาสพ ยิ้มแย้มออกมาเหมือนดอกปทุมที่แย้มบานฉะนั้น เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้ ใกล้ประตูถ้ำ (เห็นท่านแล้ว) เปล่งอุทานอย่างนี้ว่า

ข้าแต่บุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน ข้าแต่ท่านผู้สูงสุด ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านละอาสวะได้แล้ว จึงเป็นผู้สมควรรับทักษิณา.

ดังนี้แล้ว กล่าวว่า ท่านเจ้าขา พวกหญิงแก่ ถวายภิกษาแด่พระอรหันต์เช่นท่านผู้เข้าไปรับบิณฑบาตแล้ว จักพ้นทุกข์ได้.

พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูดูเวลา ทราบว่ายังเช้าอยู่ จึงอุ้มบาตรครองจีวรเข้าไปยังหมู่บ้าน. ฝ่ายลูกสาวเตรียมภัตรแล้ว (ก็ออกมา) นั่งมองดูที่ประตู ด้วยหวังว่า หลวงพี่ของเราจักมาเดี๋ยวนี้ จักมาเดี๋ยวนี้.เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือน เธอก็รับบาตร ไปใส่ข้าวก้อนเจือด้วยน้ำนมผสมด้วยเนยใสและน้ำอ้อย จนเต็มแล้ว นํามาประเคนที่มือ. พระเถระทําการอนุโมทนาว่า จงมีความสุขเถิด ดังนี้ หลีกไป. ฝ่ายลูกสาวนั้นก็ได้ยืนมองท่านเพลินอยู่. เพราะเวลานั้น ฉวีวรรณของพระเถระผุดผ่องยิ่งนัก อินทรีย์ทั้งหลายก็ผ่องใส ดวงหน้าก็แจ่มใสอย่างยิ่ง เหมือนผลตาลสุกที่เพิ่งหล่นจากขั้วฉะนั้น. มหาอุบาสิกากลับมาจากป่า ถามว่า แม่หนู หลวงพี่ของเจ้ามาแล้วหรือ? นางได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง. อุบาสิกาทราบว่า วันนี้ กิจ

 
  ข้อความที่ 139  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 769

บรรพชิตของพระลูกชายเรา ถึงที่สุดแล้ว จึงพูดว่า ลูกเอย หลวงพี่ของเจ้า ยังอภิรมย์ ไม่เบื่อหน่ายในพระพุทธศาสนา.

วิริยสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดแม้แก่ภิกษุผู้พิจารณาเห็นความยิ่งใหญ่แห่งมรดกว่า "ก็แลมรดกของพระศาสดานี้ คือ อริยทรัพย์๗ เป็นของใหญ่หลวง ผู้เกียจคร้านไม่สามารถจะรับมรดกนั้นไว้ได้ เหมือนอย่างว่ามารดาบิดาย่อมขจัดบุตรผู้เกเรให้ออกจากกองมรดก ด้วยสําคัญว่า เจ้านี่ไม่ใช่ลูกของเรา (อีกต่อไป) เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไป บุตรผู้เกเรนั้นย่อมไม่ได้รับมรดกฉันใด ถึงภิกษุผู้เกียจคร้าน ก็ฉันนั้น จะไม่ได้รับมรดก คืออริยทรัพย์นี้ ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงจะได้รับ."

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้แม้พิจารณาถึงความยิ่งใหญ่ของพระศาสดาอย่างนี้ว่า "ก็แลพระศาสดาของเจ้ายิ่งใหญ่นัก เพราะว่าในเวลาที่พระศาสดาทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์พระมารดาก็ดี ในเวลาเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก็ดี ในเวลาตรัสรู้พระอนุตตรสัมโพธิญาณก็ดีในเวลาแสดงพระธรรมจักรก็ดี ในเวลาทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ เสด็จลงจากเทวโลก และปลงพระชนมายุสังขารก็ดี หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวแล้ว ควรแล้วหรือที่เจ้าบวชในศาสนาของพระศาสดาเห็นปานนี้ แล้วจะมาเกียจคร้านอยู่."

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้แม้พิจารณาถึงความยิ่งใหญ่แห่งชาติ (กําเนิด) อย่างนี้ว่า "แม้ว่าโดยกําเนิด บัดนี้ เจ้าก็ไม่ใช่คนที่มีกําเนิดต่ํา เจ้ามาจากเชื้อสายของพระเจ้ามหาสมมต ไม่เจือปน (กับคนวรรณะอื่น) ทั้งได้เกิดในราชวงศ์ของพระเจ้าโอกากราช ได้เป็น

 
  ข้อความที่ 140  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 770

พระนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช กับ พระนางมหามายาเทวี (และ) เป็นพระกนิษฐภาดาของพระเจ้าพี่ราหุล อันธรรมดาว่าเจ้าได้เป็นชินบุตรเห็นปานนี้ จะมามัวเกียจคร้านอยู่ ไม่สมควรเลย."

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้แม้พิจารณาถึงความยิ่งใหญ่ของเพื่อนสพรหมจารีอย่างนี้ว่า "พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติมหาสาวก แทงตลอดโลกุตตรธรรม ด้วยความเพียรโดยแท้ เจ้าจักดําเนินไปตามทางของเพื่อนสพรหมจารีเหล่านั้น หรือจักไม่ดําเนินตาม."

วิริยสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้น แก่ภิกษุผู้หลีกเว้นบุคคลผู้เกียจคร้านสลัดทิ้งความเพียรทางกายและจิต ผู้เป็นเช่นกับงูเหลือม อึดอัด เพราะกินเหยื่อจนเต็มท้อง แก่ภิกษุผู้คบหาบุคคลผู้มีตนตั้งมั่น ปรารภความเพียร ทั้งแก่ภิกษุผู้มีจิตน้อม โน้ม นําไป เพื่อให้เกิดความเพียรในอิริยาบถทั้งหลาย มีอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้น.

ก็เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์นั้นเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ภิกษุย่อมทราบชัดว่าความเจริญเต็มที่ (แห่งวิริยสัมโพชฌงค์) มีได้ด้วยพระอรหัตตมรรค.

การเกิดขึ้นของปีติสัมโพชฌงค์

ปีติสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ การทําไว้ในใจโดยแยบคายในธรรม นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) เพื่อให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือเป็นไปเพื่อให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ภิญโญภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่" (๑)


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๖๘/๙๗.

 
  ข้อความที่ 141  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 771

ในพระพุทธพจน์นั้น ปีตินั่นเอง ชื่อว่าธรรมเป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์ การทําไว้ในใจ ที่ให้ปีติสัมโพชฌงค์นั้นเกิดขึ้น ชื่อว่าการทําไว้ในใจโดยแยบคาย.

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ คือ พุทธานุสสติ ๑ ธัมมานุสสติ ๑ สังฆานุสสติ ๑ สีลานุสสติ ๑ จาคานุสสติ ๑ และเทวตานุสสติ ๑ อุปสมานุสสติ ๑ การหลีกเว้นบุคคลผู้เป็นโทษ ๑ การคบหาบุคคลผู้เป็นคุณ ๑ การพิจารณาถึงพระสูตรอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ๑ ความเป็นผู้น้อมไปในปีติสัมโพชฌงค์นั้น ๑. ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งปีติสัมโพชฌงค์.

อธิบายว่า สําหรับภิกษุผู้แม้หมั่นระลึกถึงพระพุทธคุณ ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดขึ้นแผ่ไปทั่วร่างจนถึงอุปจารสมาธิ. สําหรับภิกษุ ผู้หมั่นระลึกถึงพระธรรมคุณ พระสังฆคุณก็ดี ผู้พิจารณาถึงจตุปาริสุทธิศีล ที่รักษาไว้ไม่ขาด ตลอดกาลนานก็ดี ปีติสัมโพชฌงค์ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้. แม้สําหรับคฤหัสถ์ ผู้พิจารณาถึงศีล ๑๐ ศีล ๕ ก็ดี ผู้ถวายโภชนะอันประณีต แก่ท่านผู้เป็นสพรหมจารี ในคราวเกิดทุพภิกขภัยเป็นต้น แล้วพิจารณาถึงการบริจาค (ของตน) ว่า เราได้ถวายอย่างนี้ก็ดี ปีติสัมโพชฌงค์จะเกิดขึ้นได้. อนึ่ง สําหรับคฤหัสถ์ผู้พิจารณาถึงทาน ที่ถวายแก่ท่านผู้มีศีล ในการเช่นนี้ก็ดี ผู้พิจารณาเห็นว่าเทวดาประกอบด้วยคุณเหล่าใด จึงถึงความเป็นเทวดา คุณเหล่านั้น มีอยู่ในตนก็ดี ปีติสัมโพชฌงค์ก็เกิดขึ้นได้.

 
  ข้อความที่ 142  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 772

สําหรับภิกษุผู้พิจารณาเห็นกิเลสที่ข่มได้แล้วด้วยสมาบัติว่า (กิเลสเหล่านี้) ไม่ฟุ้งขึ้น เป็นเวลา ๖๐ ปีบ้าง ๗๐ ปีบ้างก็ดี ผู้หลีกเว้นบุคคลผู้เศร้าหมองผู้มีความหม่นหมองอันสร้างสมไว้ด้วยการไม่กระทําโดยความเคารพ ในเมื่อได้เห็น พระเจดีย์ เห็นต้นโพธิ์ และเห็นพระเถระ ผู้ชื่อว่าเป็นเช่นกับฝุ่นละออง (ที่จับเกาะ) บนหลังคา เพราะไม่มีความเลื่อมใสและความรักในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี ผู้คบหาบุคคลผู้ผ่องใส มีจิตอันอ่อนโยน มากด้วยความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นก็ดี ผู้พิจารณาถึงพระสูตรอันก่อให้เกิดความเลื่อมใส แสดงคุณของพระรัตนตรัยก็ดี ผู้มีจิตโน้ม น้อม นําไป เพื่อให้เกิดปีติ ในอิริยาบถยืนและนั่งเป็นต้นก็ดี ปีติสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดขึ้นได้. ก็เมื่อปีติสัมโพชฌงค์นั้น เกิดขึ้นแล้วอย่างนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดว่าความเจริญเต็มที่ (แห่งปีติสัมโพชฌงค์) มีได้ด้วยอรหัตตมรรค.

การเกิดขึ้นของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ การทําให้มากในใจโดยแยบคายในกายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธินั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปเพื่อให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ภิญโญภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่" (๑)

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๗ ประการ คือ การบริโภคโภชนะอันประณีต ๑ การเสพสุขตามฤดู ๑ การเสพสุขตามอิริยาบถ ๑ ความเป็นผู้มีมัชฌัตตัปปโยคะ ๑ การหลีกเว้นบุคคลผู้มีกายกระสับกระส่าย ๑


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๖๙/๙๗.

 
  ข้อความที่ 143  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 773

การคบหาบุคคลผู้มีกายสงบ ๑ ความเป็นผู้น้อมไปในปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้น ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์.

อธิบายว่า สําหรับภิกษุผู้บริโภคโภชนะ ที่เป็นสัปปายะ มีรสกลมกล่อม ประณีตก็ดี ผู้เสพฤดู ที่เป็นสัปปายะในบรรดาฤดูหนาวและร้อน และอิริยาบถ ที่เป็นสัปปายะในบรรดาอิริยาบถยืนเป็นต้นก็ดีปัสสัทธิย่อมเกิดขึ้น.

ส่วนภิกษุใดมีลักษณะนิสัยเป็นมหาบุรุษย่อมอดทนต่อฤดูและอิริยาบถทั้งปวงได้ทีเดียว คํานี้ท่านไม่ได้กล่าวหมายเอาภิกษุนั้น.

สําหรับภิกษุใด มีฤดูและอิริยาบถที่เป็นสภาค (ที่เป็นสัปปายะ) และวิสภาค (อสัปปายะ) ปัสสัทธิย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นนั่นแล ผู้แม้เว้นฤดู และอิริยาบถ ที่เป็นวิสภาคเสีย แล้วเสพฤดูและอิริยาบถที่เป็นสภาค.

การพิจารณาเห็นว่า ตนและบุคคลอื่น มีกรรมเป็นของตนท่านเรียกว่า มัชฌัตตัปปโยคะ ปัสสัทธิย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะมัชฌัตตัปปโยคะนี้.

สําหรับภิกษุผู้หลีกเว้นบุคคล ผู้มีกายกระสับกระส่าย ผู้เที่ยวเบียดเบียน บุคคลอื่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น ผู้คบหาบุคคล ผู้มีกายสงบ ผู้สํารวมมือและเท้าก็ดี ผู้มีจิตโน้ม น้อม นําไปเพื่อให้เกิดปัสสัทธิในอิริยาบถทั้งหลาย มียืนและนั่งเป็นต้นก็ดี ปัสสัทธิย่อมเกิดขึ้นได้.

ก็เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั้นเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดว่า ความเจริญเต็มที่ (ของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์) ย่อมมีด้วยอรหัตตมรรค).

 
  ข้อความที่ 144  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 774

การเกิดขึ้นของสมาธิสัมโพชฌงค์

สมาธิสัมโพชฌงค์ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ สมถนิมิต ที่เป็นอัพยัคคนิมิต การทําไว้ให้มากในใจโดยแยบคายในสมถนิมิตนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไปเพื่อให้สมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้วภิญโญภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่" (๑) ในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น สมถนิมิตเป็นสมถะด้วย ชื่อว่าเป็นอัพยัคคนิมิต เพราะหมายความว่า ไม่ฟุ้งซ่านด้วย.

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๑๑ ประการ คือการทําวัตถุให้สะอาดหมดจด ๑ การประคับประคองอินทรีย์ให้ดําเนินไปอย่างสม่ําเสมอ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในนิมิต ๑ การยกจิตในสมัย (ที่ควรยก) ๑ การข่มจิตในสมัย (ที่ควรข่ม) ๑ การทําจิตให้ร่าเริงในสมัย (ที่ควรทําจิตให้ร่าเริง) ๑ การเพ่งดูจิตเฉยๆ ในสมัย (ที่ควรเพ่งดู) ๑ การหลีกเว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ ๑ การคบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ ๑ การพิจารณาฌานและวิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้น้อมไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อการเกิดแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์.

บรรดาธรรม ๑๑ ประการนั้น การทําวัตถุให้สะอาดหมดจด และการประคับประคองอินทรีย์ให้ดําเนินไปอย่างสม่ําเสมอ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้ว.

ความเป็นผู้ฉลาดในการเรียน กสิณนิมิต ชื่อว่าความเป็นผู้ฉลาดในนิมิต.


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๗๐/๙๗.

 
  ข้อความที่ 145  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 775

คำว่า การประคองจิตใจในสมัยที่ควรประคอง (สมเย จิตฺตสฺส ปคฺคณฺหนตา) มีอธิบายว่า ในสมัยใด จิตเป็นธรรมชาติหดหู่ด้วยเหตุทั้งหลาย มีการทําย่อหย่อนเกินไปเป็นต้น การยกจิตนั้น ในสมัยนั้น ด้วยการยังธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ และปีติสัมโพชฌงค์ ให้เกิดพร้อมกัน.

คำว่า การข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม (สมเย จิตฺตสฺส นิคฺคณฺหนตา) ความว่า ในสมัยใด จิตเป็นธรรมชาติฟุ้งซ่านด้วยเหตุทั้งหลายมีการปรารภความเพียรมากเกินไปเป็นต้น การข่มจิตนั้น ในสมัยนั้น ด้วยการยังปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ให้เกิดขึ้นพร้อมกัน.

คำว่า การประคองจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรประคองจิตให้ร่าเริง (สมเย สมฺปหสนตา) ความว่า ในสมัยใด จิตเป็นธรรมชาติไม่สดชื่น เพราะมีปัญญาและความเพียรน้อย หรือเพราะไม่ได้บรรลุถึงความสุขอันเกิดจากความเข้าไปสงบ ในสมัยนั้น พระโยคาวจรย่อมยังจิตให้สังเวชด้วยการพิจารณาสังเวควัตถุ (ที่ตั้งแห่งความสังเวช) ๘ อย่าง ที่ชื่อว่า สังเวควัตถุ ๘ ได้แก่ ชาติ ชรา พยาธิ และ มรณะ รวมเป็น ๔ ทุกข์ในอบายเป็นที่ ๕ ทุกข์ที่มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลในอนาคต ทุกข์มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน (ธรรมเป็น ๓). และยังจิตให้เกิดความเลื่อมใส ด้วยการหมั่นระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย. นี้เรียกว่า การประคองจิตให้ร่าเริง ในสมัย (ที่ควรประคองจิตให้ร่าเริง)

ที่ชื่อว่า การเพ่งดูจิตเฉยๆ ในสมัยที่ (ควรเพ่งดูจิตเฉยๆ) (สมเย อชฺฌุเปกฺขนตา) ได้แก่

 
  ข้อความที่ 146  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 776

ในสมัยใดจิตเป็นธรรมชาติไม่หดหู่ ไม่ฟุ้งซ่าน มีความสดชื่น เป็นไปในอารมณ์อย่างสม่ําเสมอ ดําเนินไปตามวิถีทางของสมถะเพราะอาศัยการปฏิบัติชอบ ในการยก การข่ม และการประคองจิตนั้นให้ร่าเริง เปรียบเหมือนนายสารถี ไม่ต้องวุ่นวายในม้าที่วิ่งไปสม่ําเสมอ นี้เรียกว่าการเพ่งดูจิตเฉยๆ ในสมัย (ที่ควรเพ่งดูเฉยๆ).

ที่ชื่อว่า การหลีกเว้นบุคคลผู้มีจิตไม่เป็นสมาธิ (อสมาหิตปุคฺคลปริวชฺชนตา) ได้แก่ การหลีกเว้นให้ไกล ซึ่งบุคคลผู้ยังไม่ได้บรรลุอุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิ ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน.

ที่ชื่อว่า การคบหาบุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิ (สมาหิตปุคฺคลเสวนตา) ได้แก่การซ่องเสพ การคบหา การเข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิหรืออัปปนาสมาธิ.

ที่ชื่อว่า ความเป็นผู้น้อมไปในสมาธิสัมโพชฌงค์นั้น (ตทธิมุตฺตตา) ได้แก่ความ เป็นผู้มีจิตน้อม โน้ม นําไป ในอิริยาบถทั้งหลาย มียืน และนั่ง เป็นต้นแท้ทีเดียว.

ก็เมื่อพระโยคาวจรปฏิบัติอยู่อย่างนี้ สมาธิสัมโพชฌงค์นั้นย่อมเกิดขึ้น. ก็เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์นั้นเกิดขึ้นอย่างนั้น พระโยคาวจรย่อมทราบชัดว่า ความเจริญเต็มที่ (ของสมาธิสัมโพชฌงค์) มีได้ด้วยอรหัตตมรรค.

การเกิดขึ้นของอุเบกขาสัมโพชฌงค์

อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า "มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์ การทําไว้ให้มากในใจโดยแยบคาย

 
  ข้อความที่ 147  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 777

ในธรรมนั้น นี้เป็นอาหาร (ปัจจัย) ให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือย่อมเป็นไป เพื่อให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว ภิญโญภาพ ไพบูลย์ เจริญเต็มที่." (๑) ในพระดํารัสนั้น อุเบกขานั่นแหละ ชื่อว่าธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์.

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๕ ประการคือ ความเป็นผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์ ๑ ความเป็นผู้วางตนเป็นกลางในสังขาร ๑ การหลีกเว้นบุคคลผู้ผูกพันในสัตว์สังขาร ๑ การคบหาบุคคลผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์สังขาร ๑ ความเป็นผู้น้อมไปในอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์.

บรรดาธรรม ๕ ประการนั้น พระโยคาวจรย่อมยังความวางตนเป็นกลางในสัตว์ให้เกิดขึ้นด้วยอาการ ๒ อย่างคือ ด้วยการพิจารณาเห็นว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตนอย่างนี้ว่า เจ้ามาตามกรรมของตนแล้ว ก็จักไปตามกรรมของตน (เหมือนกัน) เจ้าจะไปผูกพันใครกันเล่า? และด้วยการพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่สัตว์อย่างนี้ว่า ว่าโดยปรมัตถ์แล้ว สัตว์ไม่มีเลย เจ้านั้นจะไปผูกพันใครเล่า

ย่อมยังความวางตนเป็นกลางในสังขารให้เกิดขึ้นด้วยอาการ ๒ อย่างคือ ด้วยพิจารณาเห็นว่า ไม่มีเจ้าของอย่างนี้ว่า จีวรผืนนี้ เข้าถึงการเปลี่ยนสี และความคร่ําคร่า ตามลําดับ จักกลายเป็นผ้าเช็ดเท้าถูกเขาเขี่ยทิ้งด้วยปลายไม้เท้า ก็ถ้าว่า จีวรนั้นจะพึงมีเจ้าของไซร้ เจ้าของก็จะไม่ยอมให้จีวรนั้นพินาศไปอย่างนั้น ๑ และด้วยการพิจารณาเห็นว่าเป็นของชั่วคราวอย่างนี้ว่า จีวรนี้ ไม่ยั่งยืน อยู่ได้ชั่วคราว ๑.

อนึ่ง บัณฑิตพึงทําการประกอบความ แม้ในบาตรเป็นต้นเหมือน


(๑) สํ. มหา. ๑๙/๓๗๑/๘๙.

 
  ข้อความที่ 148  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 778

อย่างในจีวรฉะนั้น.

ในคําว่า การหลีกเว้นบุคคลผู้ผูกพันในสัตว์และสังขาร (สตฺตสงฺขารเกฬายนปุคฺคลปริวชฺชนตา) พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บุคคลใด เป็นคฤหัสถ์ ย่อมยึดถือปิยชนทั้งหลาย มีบุตรและธิดาเป็นต้น ของตนว่าเป็นของเรา หรือเป็นบรรพชิต ย่อมยึดถืออันเตวาสิก สัทธิวิหาริก และผู้ร่วมอุปัชฌาย์เป็นต้น ของตนว่าเป็นของเรา ลงมือทําการงานทั้งหลาย มีการปลงผม เย็บผ้า ซักจีวร ย้อมจีวร และระบมบาตรเป็นต้นให้แก่บุคคลเหล่านั้นเองทีเดียว ไม่เห็นเพียงชั่วครู่ ก็เที่ยวตามหาให้จ้าละหวั่น ไม่ผิดอะไรกับเนื้อตื่นภัย (ร้องถามว่า) สามเณรรูปโน้นไปไหน? ภิกษุหนุ่มรูปโน้นไปไหน แม้ถูกผู้อื่นขอว่า ขอท่านจงส่งภิกษุหนุ่ม หรือสามเณรรูปโน้นไปให้ ช่วยปลงผมเป็นต้นสักหน่อยเถิด ก็ไม่ยอมให้ไป ด้วยอ้างว่า แม้พวกเรายังไม่ยอมใช้เขาให้ทํางานของตนเลย พวกท่านยังจะมาเอาเขาไป (ใช้งาน) ให้ลําบาก บุคคลนี้ ชื่อว่าผู้ผูกพันในสัตว์.

ส่วนบุคคลใดยึดถือบาตร จีวร ถาด และไม้เท้าคนแก่เป็นต้นว่าเป็นของเรา ไม่ยอมให้ผู้อื่นแม้แต่จะเอามือแตะ พอถูกขอยืมเข้า ก็พูดว่า พวกเราทั้งหลาย รักสิ่งของนี้ ไม่ยอมใช้สอย พวกเราจักให้พวกท่านได้อย่างไร บุคคลนี้ ชื่อว่าผู้ผูกพันอยู่ในสังขาร.

ส่วนบุคคลใด เป็นผู้มีตนเป็นกลาง วางเฉยในวัตถุทั้ง ๒ นั้น บุคคลนี้ ชื่อว่าผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขาร.

อุเบกขาสัมโพชฌงค์นี้ ย่อมเกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรผู้หลีกเว้นห่างไกลบุคคลผู้ผูกพันในสัตว์และสังขารเห็นปานนี้บ้าง ผู้คบหาบุคคล

 
  ข้อความที่ 149  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 779

ผู้วางตนเป็นกลางในสัตว์และสังขารบ้าง ผู้มีจิตโน้ม น้อม นําไป เพื่อให้เกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้น ในอิริยาบถทั้งหลาย มียืนและนั่งเป็นต้นบ้าง ดังพรรณนามาฉะนี้.

ก็เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นเกิดขึ้นอย่างนั้น พระโยคาวจรย่อมทราบชัดว่า ความเจริญเต็มที่ (แห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์) มีได้ด้วยอรหัตตมรรค.

คำว่า ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้... ภายในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พระโยคาวจรนั้นกําหนดโพชฌงค์ ๗ ของตน หรือของบุคคลอื่นอย่างนี้แล้ว คือ กําหนดโพชฌงค์ของตนตามกาล หรือโพชฌงค์ของบุคคลอื่นตามกาล เป็นผู้ปกติ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่อย่างนี้. ส่วนความเกิดขึ้นและความดับไปในโพชฌงคบรรพนี้ พึงทราบด้วยอํานาจการเกิดและการดับของสัมโพชฌงค์ทั้งหลาย. คําอื่นจากนี้ มีนัยดังกล่าวมาแล้ว.

อริยสัจในโพชฌงค์

ก็ ในโพชฌงคบรรพนี้ สติที่กําหนดโพชฌงค์ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว นักศึกษาพึงทราบทางแห่งธรรมเครื่องนําออกของภิกษุผู้กําหนดโพชฌงค์ เพราะการประกอบความดังว่ามานี้แล. คําที่เหลือเป็นเช่น (กับที่กล่าวมาแล้ว) นั้นเหมือนกัน.

จบ โพชฌงคบรรพ

สัจจบรรพ

ครั้นทรงจําแนกธัมมานุปัสสนา ด้วยอํานาจโพฌงค์ ๗ อย่างนี้

 
  ข้อความที่ 150  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 780

แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงจําแนกด้วยอํานาจสัจจะ ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคําว่า อีกประการหนึ่ง (ปุน จปรํ) ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาคำเหล่านั้น ข้อว่า ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์ (อิทํ ทุกฺขนฺติ ยถาภูตํ ปชานาติ) ความว่า พระโยคาวจรย่อมทราบชัดธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ยกเว้นตัณหา ตามสภาพที่เป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ก็แลย่อมทราบชัดตัณหาเก่าที่เป็นตัวการณ์ให้ทุกข์นั้นแลเกิด คือตั้งขึ้นตามสภาพเป็นจริงว่า นี้ทุกขสมุทัย ย่อมทราบชัดพระนิพพาน คือความไม่เป็นไปของทุกข์และตัณหาทั้ง ๒ ตามสภาพที่เป็นจริงว่า นี้ทุกขนิโรธ ย่อมทราบชัดอริยมรรคอันเป็นตัวกําหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย กระทํานิโรธให้แจ้ง ตามสภาพที่เป็นจริงว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. กถาว่าด้วยอริยสัจที่เหลือ ได้อธิบายให้พิสดารแล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรคแล.

คำว่า ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้... ภายในบ้าง (อิติ อชฺฌตฺตํ วา) ความว่า พระโยคาวจรกําหนดสัจจะ ๔ ของตนหรือของบุคคลอื่นแล้ว คือกําหนดสัจจะทั้ง ๔ ของตนตามกาล หรือของบุคคลอื่นตามกาล เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ ส่วนความเกิดขึ้นและความดับไปในจตุสัจจบรรพนี้ พึงทราบด้วยอํานาจความเกิดและความดับของสัจจะทั้ง ๔ ตามสภาพที่เป็นจริง. คําอื่นจากนี้มีนัยดังกล่าวแล้วแล.

อริยสัจในอริยสัจ

ก็ ในจตุสัจจบรรพนี้ สติเครื่องกําหนดสัจจะ ๔ เป็นทุกขสัจอย่างเดียว บัณฑิตพึงทราบทางแห่งธรรมเป็นเครื่องนําออกของภิกษุผู้กําหนดสัจจะ เพราะการประกอบความดังว่ามานี้แล. คําที่เหลือเป็นเช่น

 
  ข้อความที่ 151  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 781

(กับคําที่กล่าวมานี้แล้ว) นั่นแล.

จตุสัจจบรรพ จบ

ด้วยคํามีประมาณเท่านี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกัมมัฏฐานไว้ ๒๑ อย่างคือ อานาปานะ (ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า) ๑ จตุอิริยาบถ (อิริยาบถ ๔) ๑ จตุสัมปชัญญะ (สัมปชัญญะ ๔) ๑ ทวัตติงสาการะ (อาการ ๓๒) ๑ จตุธาตุววัตถานะ (การกําหนดธาตุ ๔) ๑ นวสีวถิกา (ป่าช้า ๙) ๑ เวทนานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นเวทนา) ๑ จิตตานุปัสสนา (การพิจารณาเห็นจิต) ๑ นิวรณปริคคหะ (การกําหนดนิวรณ์) ๑ ขันธปริคคหะ (การกําหนดขันธ์) ๑ อายตนปริคคหะ (การกําหนดอายตนะ) ๑ โพชฌังคปริคคหะ (การกําหนดโพชฌงค์) ๑ สัจจปริคคหะ (การกําหนดสัจจะ) ๑.

บรรดากัมมัฏฐาน ๒๑ อย่างนั้น อานาปานะ ๑ ทวัตติงสาการะ ๑ นวสีวถิกา (ป่าช้า ๙) ๑ รวมเป็นกัมมัฏฐานที่ให้ถึงอัปปนา ๑๑. ฝ่ายพระมหาสิวเถระผู้กล่าวคัมภีร์ทีฆนิกาย กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสนวสีวถิกาไว้ ด้วยอํานาจการพิจารณาเห็นโทษ. เพราะฉะนั้น ตามมติของพระมหาสิวเถระนั้น กัมมัฏฐาน ๒ (คือ อานาปานะ และทวัตติงสาการะ) เท่านั้น เป็นกัมมัฏฐานที่ให้ถึงอัปปนา กัมมัฏฐานที่เหลือ เป็นกัมมัฏฐานที่ให้ถึงอุปจาร.

ถามว่า ก็ความยึดมั่น จะเกิดในกัมมัฏฐานเหล่านั้นทั้งหมดหรือไม่เกิด?

ตอบว่า ไม่เกิด เพราะว่า ความยึดมั่นย่อมไม่เกิดในอิริยาบถ

 
  ข้อความที่ 152  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 782

สัมปชัญญะ นิวรณ์ และสัมโพชฌงค์ แต่จะเกิดในกัมมัฏฐานที่เหลือ.

ฝ่ายพระมหาสิวเถระ กล่าวว่า ย่อมเกิดความยึดมั่นในกัมมัฏฐานแม้เหล่านั้น (มีอิริยาบถเป็นต้น) เพราะว่า พระโยคาวจรนี้ย่อมกําหนดอย่างนี้ว่า อิริยาบถ ๔ ของเรา มี หรือไม่มี สัมปชัญญะ ๔ ของเรา มีหรือว่าไม่มี นิวรณ์ ๕ ของเรา มี หรือว่าไม่มี โพชฌงค์ ๗ ของเรามีหรือว่าไม่มี เพราะฉะนั้น จึงเกิดความยึดมั่นในกัมมัฏฐานทุกข้อ.

อานิสงส์การเจริญสติปัฏฐาน

คำว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง (โย หิ โกจิ ภิกฺขเว) ความว่า ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นภิกษุหรือภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม.

คำว่า พึงเจริญอย่างนี้ (เอวํ ภเวยฺย) ความว่า พึงเจริญ (สติปัฏฐาน) ไปตามลําดับแห่งภาวนา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่แรก.

คำว่า ปาฏิกงฺขํ แปลว่า พึงหวัง. อธิบายว่า มีแน่แท้.

คำว่า อฺา ได้แก่พระอรหัตตผล.

คำว่า เมื่ออุปาทิ (สังโยชน์) มีเหลืออยู่ (สติ วา อุปาทิเสเส) ความว่า หรือ เมื่อยังมีอุปาทานเหลืออยู่ คือยังไม่สิ้นไป.

คำว่า อนาคามิตา ได้แก่ความเป็นพระอนาคามี

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงความที่ศาสนธรรมเป็นเครื่องนําออกด้วยอํานาจ (ระยะเวลา) ๗ ปี อย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงระยะเวลาที่สั้นกว่านั้นเข้าไปอีก จึงตรัสคําว่า จงยกไว้ (ติฏฺนฺตุ ภิกฺขเว) ดังนี้เป็นต้น และธรรมทั้งหมดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยอํานาจเวไนยบุคคลผู้ (มีสติปัญญา) ปานกลางเท่านั้น. ฝ่ายพระโบราณาจารย์

 
  ข้อความที่ 153  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 มิ.ย. 2564

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 783

หมายเอาบุคคลผู้มีปัญญาแก่กล้า จึงกล่าวไว้ว่า

บุคคลผู้มีปัญญาแก่กล้า ได้รับคําสอนในตอนเช้า ก็จักบรรลุคุณวิเศษได้ในตอนเย็น ได้รับคําสอนในตอนเย็น ก็จักบรรลุคุณวิเศษได้ในตอนเช้า (. ๑)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศาสนธรรมของเราตถาคต เป็นธรรมเครื่องนําออกอย่างนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้แล้ว เมื่อจะทรงตบแต่งพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว ด้วยยอดคือพระอรหัต ในฐานะแม้ ๒๑ อย่าง แก่พระสาวก จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก ฯลฯ เพราะอาศัยคําที่กล่าวไว้แล้วอย่างนี้ เราตถาคตจึงได้กล่าวสติปัฏฐานสูตรนี้ไว้. คําที่เหลือ มี ความหมายง่ายทั้งนั้นแล

อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร จบ

สูตรที่ ๑๐

และวรรคที่ ๑ ชื่อมูลปริยายวรรค จบ


(๑) ม. มู. ๑๓/๕๑๘/๔๗๔.