เรื่องยสกุลบุตร [มหาขันธกะ]

 
chatchai.k
วันที่  9 มิ.ย. 2564
หมายเลข  34377
อ่าน  596

[เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หนาที่ 62 - 71

บัญชีเรื่อง (คลิกที่ เลขหน้า)

เรื่องยสกุลบุตร หนา 62

บิดาของยสกุลบุตรตามหา หนา 63

ยสกุลบุตรสําเร็จพระอรหัตต หนา 65

มารดาและภรรยาเกาของพระยสไดธรรมจักษุ หนา 67

สหายคฤหัสถ ๔ คนของพระยสบรรพชา หนา 68

สหายคฤหัสถ ๕๐ คน ของพระยสบรรพชา หนา 70


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

[เล่มที่ 6] พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 62

เรื่องยสกุลบุตร

[๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ในพระนครพาราณสี มีกุลบุตร ชื่อ ยส เป็นบุตรเศรษฐี สุขมาลชาติ ยสกุลบุตรนั้นมีปราสาท ๓ หลังคือ หลังหนึ่ง เป็นที่อยู่ในฤดูหนาว หลังหนึ่งเป็นทิ่อยู่ในฤดูร้อน หลังหนึ่งเป็นที่อยู่ในฤดูฝน ยสกุลบุตรนั้นรับบําเรอด้วยพวกดนตรี ไม่มีบุรุษเจือปนในปราสาทฤดูฝนตลอด ๔ เดือน ไม่ลงมาเบื้องล่างปราสาท ค่ําวันหนึ่ง เมื่อยสกุลบุตรอิ่มเอิบพร้อมพรั่ง บําเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ ได้นอนหลับก่อน ส่วนพวกบริวารชนนอนหลับภาย หลัง ประทีปน้ำมันตามสว่างอยู่ตลอดคืน คืนนั้นยสกุลบุตรตื่นขึ้นก่อน ได้เห็นบริวารชนของตนกําลังนอนหลับ บางนางมีพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพน วางอยู่ข้างคอ บางนางมีเปิงมางตกอยู่ที่อก บางนางสยายผม บางนางมีน้ำลายไหล บางนางบ่นละเมอต่างๆ ปรากฏแก่ยสกุลบุตรดุจป่าช้าผีดิบ ครั้น แล้วความเห็นเป็นโทษได้ปรากฏแก่ยสกุลบุตร จิตตั้งอยู่ในความเบื่อหน่าย จึงยสกุลบุตรเปล่งอุทานว่า ท่านผู้เจริญ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ แล้วสวมรองเท้าทองเดินตรงไปยังประตูนิเวศน์ พวกอมนุษย์เปิดประตูให้ ด้วยหวังใจว่า ใครๆ อย่าได้ทําอันตรายแก่การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตของ ยสกุลบุตรเลย ลําดับนั้น ยสกุลบุตรเดินทรงไปทางประตูพระนคร พวกอนนุษย์เปิดประตูให้ด้วยหวังใจว่า ใครๆ อย่าได้ทําอันตรายแก่การออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตของยสกุลบุตร ทีนั้นยสกุลบุตรได้เดินตรงไปทางป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน

[๒๖] ครั้นปัจจุสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคเจ้าตื่นบรรทมแล้ว เสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง ได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล ครั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 63

แล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับ นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ขณะนั้น ยสกุลบุตรเปล่งอุทานในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านผู้เจริญ ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ทันทีนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะยสกุลบุตรว่า ดูก่อนยส ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิดยส นั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ ที่นั้น ยสกุลบุตรร่าเริงบันเทิงใจว่า ได้ยินว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ดังนี้ แล้วถอดรองเท้าทอง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อยสกุลบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ ในความออกจากกาม เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า ยสกุลบุตรมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่ยสกุลบุตร ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับ น้ำย้อมเป็นอย่างดีฉะนั้น

บิดาของยสกุลบุตรตามหา

[๒๗] ครั้นรุ่งเช้า มารดาของยสกุลบุตรขึ้นไปยังปราสาท ไม่เห็นยสกุลบุตร จึงเข้าไปหาเศรษฐีผู้คหบดี แล้วได้ถามว่า ท่านคหบดีเจ้าข้า พ่อยสกุลบุตรของท่านหายไปไหน ฝ่ายเศรษฐีผู้คหบดีส่งทูตขี่ม้าไปตามหาทั้ง ๔ ทิศแล้ว ส่วนตัวเองไปหาทางป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ได้พบรองเท้าทองวาง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 64

อยู่ ครั้นแล้วจึงตามไปสู่ที่นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเศรษฐี ผู้คหบดีมาแต่ไกล ครั้นแล้วทรงพระดําริว่า ไฉนหนอ เราพึงบันดาลอิทธาภิสังขารให้เศรษฐีคหบดี นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้ แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารดังพระพุทธดําริ ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นยสกุลบุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้รีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคหบดี ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง บางทีท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีร่าเริงบันเทิงใจว่า ได้ยินว่า เรานั่งอยู่ ณ ที่นี้แหละ จักเห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้ จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อเศรษฐีผู้คหบดีนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ําทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า เศรษฐีผู้คหบดี มีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรนเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับ เป็นธรรมดา ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ที่นั่งนั่นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น

ครั้นเศรษฐีผู้คหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจาก

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 65

ถ้อยคํา แสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคําสอน ของพระศาสดา ได้ทูลคํานี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงาย ของที่คว่ํา เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจําข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบายสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจําเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็เศรษฐีผู้คหบดีนั้น ได้เป็นอุบายสกล่าวอ้างพระรัตนตรัย เป็นคนแรก ในโลก

ยสกุลบุตรสําเร็จพระอรหัตต์

[๒๘] คราวเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม แก่บิดาของยสกุลบุตร จิตของยสกุลบุตร ผู้พิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะ ไม่ถือมั่น ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดําริว่า เมื่อแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตรอยู่ จิตของยสกุลบุตร ผู้พิจารณาเห็นภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิสังขารนั้นได้แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสังขารนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้เห็น ยสกุลบุตรนั่งอยู่ ครั้นแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า พ่อยส มารดาของเจ้า โศกเศร้าคร่ําครวญถึง เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด ครั้งนั้น ยสกุลบุตร

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 66

ได้ชําเลืองดูพระผู้มีพระภาคเจ้าๆ ได้ตรัสแก่เศรษฐีผู้คหบดีว่า ดูก่อนคหบดี ท่านจะสําคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะ เพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนคหบดี ยศกุลบุตรควรหรือเพื่อจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์ ครั้งก่อน

เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรับรองว่า ดูก่อนคหบดี ยสกุลบุตรได้เห็นธรรม ด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนคหบดี ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกามเหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน

เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า การที่จิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นนั้น เป็นลาภของยสกุลบุตร ยสกุลบุตรได้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้ามียศกุลบุตรเป็นปัจฉาสมณะ จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับโดยดุษณีภาพ ครั้นเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทําประทักษิณ แล้วกลับไป

กาลเมื่อเศรษฐีผู้คหบดีกลับไปแล้วไม่นาน ยสกุลบุตรได้ทูลคํานี้ต่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาคเจ้า

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 67

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วได้ตรัสต่อไป ว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงพระพฤติพรหมจรรย์เถิด พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๗ องค์

ยสบรรพชา จบ

มารดาและภรรยาเก่าของพระยสได้ธรรมจักษุ

[๒๙] ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรมีท่านพระยสเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดําเนินไปสู่นิเวศน์ ของเศรษฐีผู้คหบดี ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย ลําดับนั้น มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพพิกถาแก่นางทั้งสองคือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ําทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นางทั้งสองมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิต ปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่ นางทั้งสอง ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อม เป็นอย่างดี ฉะนั้น มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้เห็นธรรมแล้ว ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 68

บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความ สงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคําแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ํา เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยทั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ หม่อมฉันทั้งสองนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจําหม่อมฉันทั้งสองว่า เป็นอุบายสิกาผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จําเติมแต่วันนี้เป็นต้นไป

ก็มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส ได้เป็นอุบายสิกา กล่าวอ้างพระรัตนตรัยเป็นชุดแรกในโลก ครั้งนั้น มารดาบิดาและภรรยาเก่าของท่าน พระยสได้อังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้าและท่านพระยส ด้วยขาทนียโภชนียาหาร อันประณีตด้วยมือของตนๆ จนให้ห้ามภัต ทรงนําพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ มารดาบิดา และภรรยาเก่าของท่านพระยส เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะกลับไป

สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยสบรรพชา

[๓๐] สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส คือ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มาในพระนครพาราณสี ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจาก

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 69

เรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดําริว่า ธรรมวินัย และ บรรพชาที่ยสกุลบุตร ปลงผมและหนวดนุ่งห่มกาสายะออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ําทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์ คนนี้ ชื่อ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มาในพระนครพาราณี ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ําทราม ความเศร้าหมองของกาม ทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่อง ใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้น แสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความคับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อนเป็นอย่างดี ฉะนั้น พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคําแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทใน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 70

สํานักพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้ว ได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย ์เพื่อทําที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วย ธรรมีกถา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์

สหายคฤหัสถ์ ๔ คน ของพระยสบรรพชา จบ

สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของพระยสบรรพชา

[๓๑] สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส เป็นชาวชนบทจํานวน ๕๐ คน เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมาได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว ครั้นทราบดังนั้นแล้ว ได้ดําริว่า ธรรมวินัย และบรรรพชาที่ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ําทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์จํานวน ๕๐ คนนั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวาย บังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์นี้เป็นชาวชนบท เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบๆ กันมา ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 71

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขาคือ ทรงประกาศ ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษความต่ําทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้น แสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น ทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี. ฉะนั้น พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคําแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคําสอนของพระศาสดา ได้ทูลคํานี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทําที่สุดทุกข์ โดยชอบเถิด พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้น ด้วยธรรมีกถา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วย ธรรมีกถา จิตของภิกษุเหล่านั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์

สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คนของพระยสบรรพชา จบ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
apichet
วันที่ 27 ส.ค. 2566

อนุโมทนาสาธุครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ