จะอยู่ยังไงให้มีความสุขในท่ามกลางสังคมที่รีบเร่งและกดดันของผู้คนรอบข้าง ปัญญาควรพิจารณาอย่างไร

 
apiwit
วันที่  12 เม.ย. 2564
หมายเลข  34037
อ่าน  537

คือ ผมรู้สึกชีวิตคนในยุคปัจจุบันมันอยู่ยากขึ้นทุกวัน เพราะมันมีแต่การแข่งขัน มีแต่การรีบเร่ง บางครั้งเร่งกันตั้งแต่ตื่นยันหลับ ขับรถไปงานยังต้องรีบเร่ง แซงกัน ปาดกัน คือถ้าจะให้บอกให้ถูกคือมองไปตรงไหนก็มีแต่แย่ ไม่มีดีเลย ผมขอเรียกว่าสังคมนรกก็แล้วกัน ดีนะว่าผมไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่เป็นคนกรุงเทพ แต่ดูไปพิจารณาไปแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูด ถ้าให้ผมไปอยู่ผมคงเป็นบ้า มันก็เหมือนนรกบนดินแหละครับ แล้วความเข้าใจธรรมะจะช่วยเราได้อย่างไร แบบว่าจะได้ไม่ต้องบ้าตามเค้า ไม่ต้องเครียดไปตามเค้าเพราะเราไม่ได้เกิดในยุคพุทธกาลแต่ต้องมาเกิดท่ามกลางสังคมแย่ ๆแบบนี้ อย่างคนในบ้านผมก็เหมือนกัน บางทีผมก็รู้สึกว่ารีบเร่งกันเกินเหตุ ใช้ชีวิตแบบ slow life กันไม่เป็นแล้วก็มาบีบคั้นกดดันผมให้รีบตาม เพราะสังคมสภาพแวดล้อมทุกวันนี้มันเหมือนทำให้คนเป็นบ้าไปแล้วโดยไม่รู้ตัว มีแต่สอนให้ทำอะไรแบบรีบเร่งจะได้ทันกิน จนบางทีผมรู้สึกว่าคนที่ทำอะไรแบบ active กระตือรือร้นตลอดเวลามันเหมือนคนบ้าน่ะครับ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ธรรมะสอนให้คนเราใช้ชีวิตให้ช้าลง ทำอะไรให้ช้าลง เพื่อเราจะได้มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน มีสติอยู่กับปัจจุบันขณะมากขึ้น มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ทำให้เราเป็นคนที่รู้จักการรอคอยและกิจกรรมงานต่าง ๆ ที่ทำก็จะไม่ผิดพลาด เพราะมีเวลาพิจารณาไตร่ตรองแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ แน่นอนว่าผมเป็นคนที่ใช้ชีวิตตามหลักการนั้นเป๊ะ แต่มันใช้ไม่ได้กับยุคสังคมห่วย ๆ แบบนี้ครับ ไม่รู้ว่าคนรอบตัวเป็นบ้าอะไรกันไปหมด อย่างขับรถบนถนน เราขับปกติของเราความเร็วโอเคแล้วแต่ก็มาบีบแตรไล่หลังเรา ท่าทางโมโหฉุนเฉียวใส่เรา สร้างความกดดันให้เรา ทำให้เราเครียด ไม่มีสติ คนในบ้านบางทีก็ใจร้อน โดยเฉพาะพ่อผมจะเป็นคนที่ทำงานตลอด ทุกอย่างคือเหมือนจะรีบเร่งกดดันไปหมด เพราะพ่อผมอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นที่ต้องใช้ชีวิตแข่งกับเวลา แล้วบางทีก็เอาความรีบเร่งตรงนั้นมายัดเยียดใส่โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ผมจะเป็นคนใช้ชีวิต slow life แต่ผมก็ไม่ได้ช้าเกิน ผมก็ใช้ชีวิตปกติของผม ผมพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่พ่อผมก็จะเป็นบุคลิกอีกแบบ ใช้ชีวิตรีบเร่งแข่งกับเวลาตลอด แล้วมันสร้างความกดดันให้เราในบางครั้งน่ะครับ อย่างบางทีจะออกบ้านใช้เวลาเข้าห้องน้ำเกินห้านาทีนิดหน่อยเพราะทำธุระส่วนตัวอยู่แกก็จะตะโกนเร่งเรา คือไม่รู้รีบไปไหน ต้องขนาดนั้นด้วยเหรอ หรือบางทีชวนไปเดินเล่น ชวนไปออกกำลัง ก็รีบเร่ง บางทีจะไปเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวยังต้องคิดหนักเลย กลัวเค้ารอ แบบเนี่ยครับ พยายามบีบคั้นเราให้เป็นแบบเค้า ให้ปรับปรุงตัว หาว่าเราเป็นเต่าที่เชื่องช้า ผมก็พยายามเตือนพ่อผมหลายครั้วว่าเค้าแหละ ใจร้อนไปรึเปล่า แต่ก็ไม่เคยฟัง พยายามบีบคั้นบังคับให้ผมปรับปรุงตัว ทำอะไรกระฉับกระเฉงแบบเค้า ผมไม่ไหวหรอกครับ ผมเป็นแบบของผม ผมทำดีที่สุดแล้ว ผมจะทำอะไรที่ฝืนอนัตตาได้ยังไง จะเป็นไปตามความคาดหวังที่ทุกคนมายัดใส่ผมได้ยังไง สรุปคือ ที่ผมเล่ามาทั้งหมดคือต้องการจะสะท้อน ต้องการจะระบายความรู้สึก เพราะถ้ามองไปรอบตัว สังคมทุกวันนี้มันเป็นแบบนี้จริงๆ และมันเป็นสิ่งที่บีบคั้นพ่อผมให้เป็นแบบนี้ไปด้วย ผมเองก็เป็นคนที่ฝักใฝ่ธรรมะ พยายามมองหาความสงบไปในที่ทุกแห่งหนแต่ก็ไม่เคยเจอ อยากเจอความสงบ อยากเจอธรรมแท้ ไปปลีกวิเวก ไปทำสมาธิแต่ก็ไม่ช่วยอะไร ก็แค่สงบชั่วคราว ออกมาก็วุ่นวายเหมือนเดิม คนรอบตัวเราก็ยังเหมือนเดิม สังคมทุกวันนี้ก็ยังห่วย ๆ เหมือนเดิม นรกบนดินเหมือนเดิม รีบเร่งกันเหมือนเดิม ผมจึงอยากรู้จริงๆครับว่า จะพอมีหลักธรรมอะไรบ้างไหมที่จะช่วยให้เราเกิดปัญญามองโลกอย่างเข้าใจ คิดในแง่บวก เพื่อที่เราจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขท่ามกลางสังคมที่มันเป็นแบบนี้ แบบที่ผมเล่ามาทั้งหมด ท่ามกลางความคาดหวังของคนรอบตัวเรา ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มันแย่ ๆแบบนี้ครับ เพราะเราต้องอยู่ต่อไป เราต้องเจอ เราต้องเผชิญ เราหนีไม่ได้ ขอท่านอาจารย์หรือใครก็ได้โปรดชี้แนะ ชี้ทางออก บอกทางถูก ด้วยปัญญาความเข้าใจในธรรมอันลึกซึ้งของท่านอาจารย์และผู้ร่วมศึกษาธรรมทุกท่าน ช่วยมอบแสงสว่างแห่งปัญญาให้ด้วยครับ ผมไม่เร่งรัดเอาคำตอบนะครับ เพียงแค่ต้องการคำตอบที่ดีที่สุด ตรงธรรมที่สุดเท่านั้นครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม (สิ่งที่มีจริง) คนดี คนไม่ดี ก็มีทุกยุคทุกสมัย แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย แตกต่างกันตามการสะสม เราจะไปทำอะไรกับคนอื่น ไปจัดการโลก ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะต้องไม่ลืมในความเป็นจริงของธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น คนอื่น เขาจะเป็นอกุศล ก็เป็นอกุศลของเขา ไม่ควรเลยที่เราจะไปเดือดร้อนตามเขา แต่ควรที่จะได้เข้าใจความจริง และทำกิจหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ชีวิต แสนสั้นมาก เป็นคนดี และ ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็จะไม่เดือดร้อน ไม่ว่าบุคคลอื่นจะมีความประพฤติเป็นไปอย่างไรก็ตาม ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ