ชีวิตหลังความตาย

 
apiwit
วันที่  8 ก.พ. 2564
หมายเลข  33686
อ่าน  686

ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เขามีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอย่างนี้ว่า ชีวิตคนเรานั้นเกิดมาเพียงแค่หนเดียว เมื่อตายไปแล้วจะต้องถูกการพิพากษาโดยองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จะไปสวรรค์นิรันดร์หรือจะตกนรกนิรันดร์ ไม่มีสิทธิได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พอดีว่าผมได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนแนวคิดกับเพื่อนที่เป็นคริสเตียน ซึ่งเขาก็ยืนกรานว่าหลักการของเขาถูกต้องเพราะยึดตามหลักพระคัมภีร์ ผมจึงไม่ไปขัดแย้งกับหลักความเชื่อของเขา เพียงแต่ต้องการสนทนาแลกเปลี่ยนแนวคิด แต่ผมนับถือศาสนาพุทธ เชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อคนเราหมดกรรมของความเป็นบุคคลนี้แล้ว ทันทีที่จุติจิตเกิดปฏิสนธิจิตย่อมเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น ตรงปฏิสนธิจิตนี้ก็ขึ้นอยู่กับกุศลหรืออกุศลว่าจะไปเกิดเป็นอะไร ถ้าปฏิสนธิจิตด้วยผลของกุศลวิบากก็เกิดในสุขติภูมิ แต่ถ้าปฏิสนธิจิตนั้นเป็นผลของอกุศลวิบากก็ทำให้เกิดในทุกคติภูมิอันมีนรกกับกำเนิดเดียรัจฉาน เปรตวิสัย เป็นต้น ซึ่งตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังมีจุติจิตและปฏิสนธิจิตในการที่จะไปเกิดในชาติถัดไปเรื่อย ๆ วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอันไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย ดังนั้น โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกย่อมมี แนวคิดที่ว่าคนเราเกิดแล้วตายหนเดียวเพื่อรอการพิพากษาจึงไม่เป็นความจริงใช่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง โลกนี้ก็คงไม่มีมด แมลง หรือสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ เพราะคนเราตายไปแล้วถ้าไม่ขึ้นสวรรค์ก็ไปตกนรกกันหมด แล้วภพภูมิของสัตว์ต่าง ๆ จะมาจากไหน อันนี้ผมลองพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลดูอย่างนี้ การที่ผมกล่าวอย่างนี้ก็ไม่ได้ต้องการโจมตีศาสนาอื่นว่าสอนผิด เราจะไม่กล่าวร้ายซึ่งกันและกัน เพียงแต่ต้องการมั่นคงในความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงเท่านั้น เพราะยังไงความเห็นถูกก็ต้องเป็นความเห็นถูก ความเห็นผิดก็ต้องเป็นความเห็นผิด ความจริงต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ความจริงจะมาขัดแย้งกันเองไม่ได้ ไม่ใช่จริงตามความเชื่อหรือความคิดของแต่ละคน แต่ต้องจริงตามสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่เกี่ยวกับว่าใครจะพูดอย่างไร หรือศาสนาไหนจะสอนอย่างไร เพราะ จริงก็คือจริง เท็จก็คือเท็จ ไม่เป็นอื่น จึงขอให้ท่านอาจารย์โปรดช่วยชี้แนะในความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อความมั่นคงยิ่งขึ้นครับ และผมก็จะยังคงยึดถือในหนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ เพราะพระพุทธเจ้านั้นเป็นบุคคลที่เลิศที่สุดสำหรับมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย แม้เทพเจ้าที่ชาวโลกเคารพกราบไหว้นั้นก็ยังต้องเคารพและฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันไม่มีใครจะเสมอเหมือนได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

   

การตายเป็นธัมมะที่เป็นเพียงการเกิดขึ้นของจิตที่เรียกว่า จุติจิต ซึ่งความตายในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ไม่รู้ เพราะในความเป็นจริงของชีวิตที่เกิดมา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น สำหรับขณะที่เกิด ในพระพุทธศาสนา คือ ขณะที่จิต เจตสิกเกิดขึ้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นผลของกรรมดี ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ขณะนั้นเกิดแล้ว ในภพภูมิมนุษย์  อยู่ในครรภ์ เล็กมาก และกรรมก็จัดสรรให้เป็นไป จนในที่สุด เมื่อถึงคราวที่ตาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตาย แต่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น คือ ขณะที่จุติจิตเกิด ขณะนั้นชื่อว่า ตาย โดยสมมติว่า ตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น การตายในพระพุทธศาสนาที่เป็น สมมติมรณะ คือ ตายจากโลกนี้ไป เป็นในขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ เพราะหมดกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้อีก ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลย  

[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๔๓

[๙๒]  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมอง มลทินจับ ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือ สีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมไม่ดีมีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น

ผ้าที่บริสุทธิ์หมดจด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือ สีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมดีมีสีสด ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิต ไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น


เพราะฉะนั้น ตายแล้วไปไหน ก็ไปตามกรรม ถ้าอกุศลกรรมให้ผล จิตเศร้าหมองก่อนตาย ก็ไปอบายภูมิ ทุคติ มี นรก เป็นต้น แต่ถ้ากรรมดีให้ผลก่อนตาย ก็ไปสุคติ มีการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งไม่แน่นอนเลย

ส่วนก่อนตาย บางคนทรมาน ไม่ทรมาน ก็ตามแต่กรรมจัดสรร ซึ่งไม่เหมือนกัน แล้วแต่กรรมดี หรือ ไม่ดีให้ผล ครับ เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตของแต่ละบุคคลที่เกิดมาแล้วล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ คือ มีการเกิดแล้ว ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำ และท้ายที่สุดก็ถูกมรณะ คือ ความตายห้ำหั่น ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะที่ตาย เป็นจิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ที่เกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ทันที แล้วดับไป ขณะที่ตาย ไม่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ก่อนจะตาย (คือ ก่อนจุติจิตเกิดขึ้น) ต่างหากว่าจะเป็นอย่างไร กุศลจิตหรืออกุศลเกิดก่อนตาย นี่คือสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาจริงๆ

เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทกำลังของอกุศล และไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ   ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึง ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือ ผัดเพี้ยนได้เลย ดังนั้น จึงควรเจริญกุศลทันที ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาทันที  เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เสมอ โอกาสที่จะเป็นผู้รู้สึกตัวก่อนตาย คือ ขณะที่จิตเป็นกุศลเกิดก่อนตาย ก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าผู้ที่ประมาทมัวเมาในชีวิตอันจะเป็นผู้หลงตาย ซึ่งก็คือ ตายอย่างไม่มีที่พึ่ง นั่นเอง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
lokiya
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 42] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓- หน้าที่ ๕๓

"ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์ ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์ ผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน"


การตายของสัตว์โลก คือ จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ชาตินี้ เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อความเป็นบุคคลใหม่สืบต่อทันที (สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส) เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไร และที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว กล่าวคือ ผู้ทำกรรมดี เมื่อตายไป กรรมดีให้ผลย่อมเกิดในสุคติภูมิ ได้แก่ ภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ ตามควรแก่เหตุ (คือกรรม) ในทางตรงกันข้ามผู้ทำกรรมชั่วไว้  (ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เมื่อกรรมชั่วนั้นให้ผล ย่อมเกิดในบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน

สำหรับผู้ที่ดับกิเลสได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ