เราตั้งใจเจริญสติปัฏฐาน

 
lokiya
วันที่  9 ก.พ. 2564
หมายเลข  33690
อ่าน  444

ได้ศึกษาปรมัตถธรรม สภาพธรรมต่างๆในแต่ละลักษณะ ของ จิต เจตสิก รูป เรานำมาคิด พิจารณา ศึกษา ไตร่ตรอง สิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ว่าเป็น ลักษณะของรูปธรรม นามธรรม เป็นลักษณะของเจตสิก รูป ประเภทต่างๆ ถือว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ได้ไหมครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สติปัฏฐาน ไม่ใช่การคิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรม สติปัฏฐาน คือ สติที่เกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เหมือนกับการเห็น ไม่ต้องคิดก็เห็น การได้ยิน ไม่ต้องคิดก็ได้ยิน การเห็น การได้ยินมาจากเหตุ คือ กรรมที่ได้ทำไว้แล้ว สติปัฏฐาน ก็โดยนัยเดียวกัน ไม่ใช่การคิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรม ไม่คิดก็เป็นสติปัฏฐาน 

สติปัฏฐาน เกิดจากเหตุ คือ ความเข้าใจอย่างมั่นคงในสภาพธรรม การคิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรม เกิดจากเหตุ คือ การได้ยิน ได้ฟัง การศึกษาพระธรรม การพิจารณาพระธรรม การสนทนา การสอบถาม แต่การคิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรม ก็ไม่ใช่สติปัฏฐาน จะห้ามไม่ให้คิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรมไม่ได้ เพราะธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะใดเป็นการคิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรม ขณะใดเป็นสติปัฏฐาน  ที่เกิดขึ้นระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ การคิดนึกเรื่องราวของสภาพธรรมตามเหตุ ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงไว้ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องขั้นหนึ่ง (สุตมยปัญญา ปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง และจินตามยปัญญา ปัญญาที่สำเร็จจากการคิดพิจารณา) เป็นกุศลอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่สติปัฏฐาน

สติปัฏฐาน เป็นกุศลขั้นที่สูงที่สุดในพระพุทธศาสนา และจะมีเฉพาะในกาลสมัยที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่เท่านั้น (กุศลขั้น ทาน ศีล สมถะ มีอยู่ในกาลสมัยที่ไม่ต้องมีพระพุทธศาสนา) เป็นกุศลขั้นที่ทำให้สามารถหมดกิเลสเป็นสมุจเฉท เป็นพระอริยบุคคลได้การที่จะเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องยาก ต้องค่อยๆ ฟัง และค่อยๆ พิจารณาไป เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน มีความมั่นคงในความที่ทุกอย่างเป็นธรรม สติปัฏฐานก็สามารถเกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรม เพื่อให้ปัญญาศึกษาลักษณะของสภาพธรรมนั้น บ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม สติปัฏฐานเกิดขณะไหน ที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ อยู่ที่มีเหตุปัจจัยพร้อมหรือไม่ เพราะสติปัฏฐานก็เป็นธรรม และธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
lokiya
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ต้องเริ่มจากการสะสมปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ยังคงไม่ต้องกล่าวถึงสติปัฏฐานก็ได้ ขณะนี้มีธรรมอะไรบ้าง ที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ เมื่อฟังในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะเป็นเหตุให้สติและปัญญา เกิดขึ้นระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนั้นได้ ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

สำหรับเรื่องเจริญสติปัฏฐาน เป็นเรื่องของปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติเกิดขึ้นระลึกและปัญญารู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้    

การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยการฟังในสิ่งที่มีจริงเนืองๆ บ่อยๆ พิจารณาเหตุผลแล้วก็เจริญเหตุให้สมควรแก่ผลด้วย ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ หนทางที่จะเป็นไปเพื่อการรู้ธรรมตามความเป็นจริง ก็มีจริง แต่ต้องเป็นหนทางแห่งปัญญา

เพราะฉะนั้น ก็ต้องกลับมาที่ฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แม้ว่าจะมีสภาพธรรมที่มีจริง ก็ไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้เลย ย่อมไม่มีเหตุที่จะให้สติปัฏฐานเกิดขึ้นได้เลย ครับ

ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ

ก่อนจะถึง ... สติปัฏฐาน

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ