ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๐

 
khampan.a
วันที่  14 มิ.ย. 2563
หมายเลข  31951
อ่าน  2,156

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๖๐ * *


~ ธรรม ยาก เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตนที่จะไปทำให้ง่าย หรือว่า ไม่มีความเป็นตัวตนที่อยากจะได้ผลเร็วๆ แต่เป็นผู้ที่ตรงที่จะต้องสะสมความเข้าใจ ความละเอียด ความลึกซึ้งของธรรมจนกว่าจะเป็นปัญญาของตัวเองที่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น

~
ฟังธรรมให้เข้าใจธรรม อะไรจะเกิดก็คือเป็นปกติ ก่อนฟังธรรม ชีวิตก็เป็นไปตามปัจจัยทั้งหมด ฟังแล้วก็ต้องเป็นไปตามปัจจัยนั้น แต่มีความเข้าใจเป็นปัจจัยเพิ่มขึ้น หวังว่าจะไม่มีทุกข์อีกเลยหรือเปล่า หวังว่าจะมีสุขตลอดไปไปหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ธรรม ก็คือ แล้วแต่มีปัจจัยของสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้น ก็เกิด

~ ต้องเป็นคนที่อาจหาญร่าเริงแกล้วกล้าที่จะพูดสิ่งที่จริง เพราะเป็นประโยชน์ ไม่มีโทษอะไรเลยสักอย่าง แล้วทำไมไม่พูดในความจริงนั้น? เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเคารพไม่ใช่อยู่ที่แค่กราบไหว้ แต่เคารพด้วยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ไม่ให้คำของพระองค์เข้าใจกันผิดๆ ถูกๆ แต่ต้องรู้ว่าถูกคืออย่างไร และผิดคืออย่างไร เมื่อรู้ว่าอะไรถูกจะไม่กล่าวสิ่งที่ถูกหรือ ถ้ารู้ว่าอะไรผิด ไม่ทิ้งความผิดหรือ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ยังคงผิดอยู่ เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ถ้ารู้ความจริงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญาความเห็นถูก จะไม่พาไปในสิ่งที่ผิดเลย

~ การกล่าวคำจริงซึ่งเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว มีประโยชน์หรือมีโทษ? ต้องพิจารณาจริงๆ แล้วจะรักษาพระพุทธศาสนาโดยไม่เข้าใจคำสอน เป็นไปไม่ได้
~
ทุกข์ทั้งหมดมาจากกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส ไม่มีอกุศลธรรม ทุกข์ใดๆ ก็ไม่มีทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่า มีอกุศลธรรม ก็มีการเบียดเบียน มีการประทุษร้าย หรือแม้แต่อกุศลที่เกิดขึ้นก็เบียดเบียนทำร้ายตัวเองก่อนจะทำร้ายใคร

~ ทุกอย่างเป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) โลภะก็เป็นธรรม ศรัทธาก็เป็นธรรม โทสะก็เป็นธรรม เมตตาก็เป็นธรรม ทั้งหมดก็เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง แต่ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ จุดประสงค์ คือ ไม่ว่าอะไรก็ตามให้มีความเห็นที่ถูกต้องว่าเป็นธรรม

~
จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ตัวทั้งตัวที่ว่าเป็นเรา จะสวยงาม จะไม่สวย จะน่าเกลียดน่าชัง สูงต่ำ ดำขาวอย่างไร ก็ไม่เป็นของใครที่จะติดตามไปได้เลย

~
ในขณะนี้ที่เกิดมาแต่ละชาติสะสมสิ่งที่จะติดตามไปในชาติต่อไป เพราะฉะนั้น อย่างอื่นนอกจากนี้ติดตามไปไม่ได้เลย แต่ความดีความชั่วซึ่งเกิดแต่ละขณะจะสะสมสืบต่อติดตามไปแต่ละชาติ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่ได้ฟังพระธรรมก็เป็นชาติหนึ่งในหลายๆ ชาติที่ผ่านมาแล้วซึ่งก็มีศรัทธาที่จะได้ฟังคำจริงเป็นคำที่แสดงให้ได้เข้าใจความจริงของชีวิตที่เราเข้าใจว่าเป็นเราและเป็นของเรา ได้ถูกต้อง ว่า แท้ที่จริงทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย

~
ถ้าเห็นโทษของอกุศล เห็นโทษของความไม่รู้ ก็ศึกษาพระธรรม เพราะเหตุว่าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พ้นจากอกุศลทั้งหลายได้

~
ให้อภัยง่ายกว่าให้อย่างอื่นไหม? ให้อย่างอื่นต้องไปหามา ไม่มีจะให้ก็ให้ไม่ได้ ให้วัตถุไม่ได้เลยถ้าไม่มี แต่ให้อภัยได้ทันที ไม่ต้องหาสิ่งที่เป็นวัตถุอะไรมาเลย

~ ธรรมไม่ใช่เรา ธรรมเป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น) เกิดภพไหนชาติไหน ก็สะสมความมั่นคงที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สร้างไม่ได้ ไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ให้ดับไปไม่ได้ แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจความจริงของธรรมแต่ละลักษณะที่ปรากฏได้

~ ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ขณะนั้น ไม่มีอกุศลใดๆ เกิดร่วมกับสภาพธรรมที่เป็นศรัทธาได้ โลภะเกิดไม่ได้ โทสะเกิดไม่ได้ โมหะเกิดไม่ได้ ริษยาเกิดไม่ได้

~
ถ้าไม่มีความอดทน จะไม่ได้สาระจากพระธรรม เพราะว่า อกุศลมากเหลือเกิน อวิชชา (ความไม่รู้) ก็มาก โลภะก็มาก ความเห็นผิดก็มากที่สะสมมาแล้ว

~
ถ้าเห็นกำลังของอกุศล ก็จะรู้ว่า ขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของกุศลจริงๆ แม้กุศลเพียงเล็กน้อย นิดหน่อยในชีวิตประจำวัน กำลังเผชิญหน้า ทำทันที ไม่ต้องคอยเลย และไม่ต้องว่า กุศลนี้จะให้ผลมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่า ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โอกาสของกุศล กุศลไม่เกิด ขณะนั้นต้องเป็นอกุศลแน่นอน ถ้าเห็นโทษภัยของอกุศล ก็เป็นปัจจัยที่จะให้มีกุศลในแต่ละทางเพิ่มขึ้น โดยไม่ใช่ด้วยความหวัง

~ ทรัพย์ทางโลก หมดไปได้ด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยโจร แต่สิ่งที่ได้สะสมมาในแต่ละชาติ ก็จะสะสมสืบต่อไป เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ประโยชน์ที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ในแต่ละชาติ คือ ขณะที่ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรม

~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ

~ มีความจริงในขณะนี้ซึ่งใครๆ ก็บังคับให้เกิดไม่ได้ และจะให้เป็นไปอย่างที่ต้องการก็ไม่ได้ จะให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ทั้งหมดแสดงความไม่ใช่เราและไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราชัดเจนมาก ว่า เกิดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าใครจะคิดอะไรเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วทั้งนั้น

~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์ คือ ไม่รู้ความจริง เหมือนมืดสนิท หลงว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่ไม่มีเลย จากชาตินี้ไปก็ไม่เหลือแล้ว แต่ละชาติๆ ก็ไม่เหลืออะไรเลย

~ เห็นคุณของพระธรรม ว่า อนุเคราะห์ให้ชีวิตทั้งชีวิต ซึ่งเกิดมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ได้มีโอกาสได้รู้ความจริงซึ่งยากที่จะรู้ เมื่อรู้แล้วก็เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ได้เบื่อหน่าย ไม่ได้ท้อถอย แต่รู้ว่าชีวิตควรจะดำเนินไปอย่างไร ที่ขาดไม่ได้คือการที่จะได้เข้าใจธรรม เท่าที่จะมีโอกาสตามเหตุตามปัจจัย

~ อยู่ด้วยโลภะ อยู่ด้วยความเกลียดชัง อยู่ด้วยความริษยา อยู่ด้วยความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า? นั่นไม่ใช่ผู้ประเสริฐเลย เพราะฉะนั้น ผู้ประเสริฐจริงๆ แม้ในชีวิตประจำวัน ก็คือ มีเมตตา หมายความว่า ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน พร้อมจะเกื้อกูล ไม่ได้หมายความว่า ให้เราหลงผิด ทำผิดไปกับคนอื่น แต่การเกื้อกูล คือ เกื้อกูลให้ถูกต้อง ให้เขามีความเห็นถูก ให้มีความเข้าใจถูก ให้มีกายวาจาใจที่ถูก นี่คือความเป็นมิตรที่แท้จริง

~ ปัญญามีกิจที่ตรงกันข้ามกับอกุศล เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า เราทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าเรารู้กิจของปัญญา ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เราก็จะอบรมเจริญปัญญา ให้ปัญญาเกิดขึ้นแล้วก็ทำกิจของปัญญาได้ แต่ถ้าปัญญาไม่เกิด แล้วจะอ้อนวอนขอให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ก็เป็นไปไม่ได้ และอยู่ดีๆ ปัญญาก็เกิดไม่ได้ ต้องอบรมเจริญให้ค่อยๆ เกิดขึ้น

~ เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็สามารถรู้ว่า สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดี และธรรมที่ตรงกันข้าม คือ ความดีนั้นคืออะไร ถ้ามีปัญญาเหมือนแสงสว่าง ก็จะนำไปสู่ทางของกุศล ห่างไกลจากอกุศลซึ่งเคยมีมากมาย แต่ว่าห่างทันทีไม่ได้เลย ค่อยๆ เป็นไปตามความเข้าใจ

~ คงไม่มีใครที่ต้องการจะไปทุคติอบายภูมิเป็นแน่ แต่ถึงจะไม่อยากไปอย่างไรก็ตาม ถ้ามีทุจริตกรรมแล้วก็ย่อมเป็นเหตุที่จะให้ปฏิสนธิในอบายภูมิ นี่ก็เป็นเรื่องภัยของกิเลสอกุศล แต่ถ้าเป็นผลของกุศลก็จะไม่ทำให้ปฏิสนธิในอบายภูมิเลย ซึ่งถ้าผู้ใดพิจารณาตนเองมาก ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะขัดเกลากิเลสละเอียดมากขึ้น

~ สิ่งใดที่พิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์ เป็นเหตุผล นั่น เป็นถ้อยคำอันควรฝังไว้ในใจ (เก็บไว้ในหทัย) ไม่ควรที่จะลืม เพราะเหตุว่า เกื้อกูลแก่กุศลธรรมนานาประการทีเดียว

~ กุศลเป็นกุศล กุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม ควรไหมที่จะเจริญ
(สะสมให้มีมากยิ่งขึ้น) แต่ไม่ใช่หมายความว่าเป็นตัวเรา เพราะกุศลก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรมที่ดี แล้วเจริญได้อย่างไร ก็ไม่ใช่เราไปทำให้เจริญ แต่เจริญเมื่อมีเหตุที่จะให้กุศลนั้นเจริญ

* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๕๙



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Nataya
วันที่ 14 มิ.ย. 2563

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 14 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 15 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 15 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 15 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มกร
วันที่ 15 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kukeart
วันที่ 20 มิ.ย. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เจียมจิต
วันที่ 23 มิ.ย. 2563

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ