สำนักปฏิบัติธรรมทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองจริงหรือ

 
khampan.a
วันที่  13 ธ.ค. 2562
หมายเลข  31368
อ่าน  1,669

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น




ประมวลสาระสำคัญ

จากการสนทนาพิเศษ

เรื่อง

"สำนักปฏิบัติธรรมทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองจริงหรือ"

ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร

วันศุกร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๒



[ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษในครั้งนี้]

~ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่ทำให้คนมีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ แม้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น สำนักปฏิบัติสำหรับคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาแน่นอน ที่พูดเน้นอย่างนี้ก็เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า (สำนักปฏิบัติ) ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีสำนักอะไรมากมายสักเท่าไหร่ จะอ้างชื่อประการใดก็ตาม ก็ไม่นำมาสู่ความเข้าใจธรรมเลย

~ ถ้าสำนักปฏิบัติ มีมาก ก็แสดงว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้รุ่งเรืองเลย เพราะเหตุว่า สำนักปฏิบัติไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องของพระธรรมเลย จริงๆ แล้ว พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีที่จะให้มีการทำที่ใช้คำว่าปฏิบัติเพราะเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องเปรียบเทียบได้ว่า ยิ่งสำนักปฏิบัติมีมากรุ่งเรือง ก็ทำให้พระพุทธศาสนาไม่รุ่งเรือง

~ ไม่ว่าสมัยไหน จะต้องไม่มีสำนักปฏิบัติเมื่อเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เครื่องวัดก็คือว่าตราบใดที่คิดว่าต้องมีสำนักปฏิบัติหรือควรมี นั่นคือ ไม่เข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่า มีสำนักปฏิบัติเมื่อไหร่ เป็นวิปัสสนาเขาบอก ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ กาย คือ ที่ประชุม เพราะฉะนั้น ที่เรายึดถือว่าเป็นกาย สามารถที่จะแตกแยกย่อยได้อย่างละเอียดยิบ เมื่อไม่ประชุมกันเมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่ร่างกายอย่างที่เรายึดถือว่าเป็นเรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจความจริงว่ากายที่ประชุมกัน นี้ แท้ที่จริงแล้วสามารถที่จะแยกย่อยเป็นแต่ละหนึ่ง จึงไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าเห็นกายในกาย ไม่ใช่ไปเห็นที่อื่นแต่เห็นทุกอย่างที่รวมกันนี้แหละแล้วก็เริ่มมีความเห็นที่ถูกต้องว่าไม่ใช่สิ่งนั้นที่เราเคยหลงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำให้เราติดข้องพอใจเพราะว่าเหมือนยั่งยืน แต่ความจริง ทรงแสดงอย่างละเอียดทุกประการไม่ว่านามธรรมหรือรูปธรรม

~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ใครจำเอาไปพูด แต่หมายความว่าต้องมีความเข้าใจพระปัญญาคุณของพระองค์ที่ทรงแสดงความจริงซึ่งคนอื่นไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนแล้วก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าการรู้อย่างนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะไม่รู้จึงทำให้ยึดมั่นในความเป็นเราแล้วก็มีความเห็นผิดต่างๆ แล้วก็มีการทำทุจริตต่างๆ

~ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ แต่ละคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) คิดเอง ผิดหมดแน่นอน

~ ถ้าใครที่มีความเข้าใจที่ถูกแล้ว แต่ละคำ พูดเพื่อให้คนอื่นเข้าใจในเมื่อตัวเองเข้าใจแล้ว แต่ว่าถ้าไปพูดให้เขาไม่เข้าใจหมายความว่าคนนั้นไม่ได้เข้าใจจึงพูดให้เขาไม่เข้าใจ

~ ไม่เคยได้ฟัง (คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) มาก่อนเลย ได้ยินแต่คำอื่น เพราะฉะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมีปัญญาเป็นของตัวเองที่จะรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เพราะฉะนั้น ทั้งหมด ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งโดยศึกษาคำที่พระองค์ตรัสไว้แล้วให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ประมาทไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าถ้าประมาท อย่างไปมีสำนักที่จะปฏิบัติโดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้น จริงๆ น่าจะถามบุคคลนั้นว่านับถือใคร ถ้านับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่กล่าว ก็ต้องฟังคำของพระองค์ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น แต่เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ก็ฟังคำของคนอื่น โดยลืมคิดว่า เมื่อยังไม่ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สมควรที่สุด ก็คือ เริ่มแสวงหาคำของพระองค์ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า อะไรถูก อะไรผิด

~ อยากไปผิดเอง ใครจะไปช่วยได้ ไปห้ามไม่ให้ไปผิดก็ไม่ได้ เพราะเขาอยากไป เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ (เรา) ต้องเข้าใจถูกต้องแล้วไม่ส่งเสริมในสิ่งที่ผิด

~ ถ้าราชการ ไม่มีความเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด ก็ย่อมส่งเสริมในทางที่ผิด เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ก็คือ ต้องให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนที่จะส่งเสริมสิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ถ้าตามมหาสติปัฏฐานสูตร ไม่มีสำนักปฏิบัติแน่นอน ไม่ว่าจะสนทนากันเมื่อไหร่ข้อไหนก็ตาม ตามสติปัฏฐาน ไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่า ต้องเป็นอนัตตา (เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)

~ มั่นคงที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือไม่มีสำนักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ก็ต้องไม่มี

~ เมื่อทุกคนได้เข้าใจพระธรรมแล้วจริงๆ มีความเคารพสูงสุดและมีความคิดที่จะช่วยกันให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีมูลนิธิศึกษาและแพร่พระพุทธศาสนา เพื่ออะไร? เพื่อดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจถูกต้อง เพราะเหตุว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วไม่ถูก เราพูดเรากล่าวคำในพระไตรปิฎกเพื่อให้คนไตร่ตรองพิจารณาให้เข้าใจความถูกต้อง อะไรที่คิดว่าเราผิดไม่ถูก ก็ขอเชิญนำมาสนทนา เราจะได้ชี้แจง เพราะว่าพุทธบริษัททั้งหมดจะต้องอนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน

~ พระธรรม เป็นสิ่งที่จริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะฉะนั้น สัจจะที่มั่นคงในความถูกต้อง ก็จะทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จะให้ผิดมาเป็นถูกไม่ได้ แล้วสิ่งที่ถูกแล้วจะบอกว่าผิดก็ไม่ได้ นี่คือสัจจะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความตรง ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ มั่นคงในความถูกต้อง และมีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ใครบอก แต่เพราะได้เข้าใจจริงๆ

~ ถ้ารักตนจริงๆ ก็จะต้องละความผิด แล้วก็ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 14 ธ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 14 ธ.ค. 2562

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน

และอนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Selaruck
วันที่ 14 ธ.ค. 2562

กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบขอบคุณและอนุโมทนาอาจารย์คำปั่น และทีมงานของมศพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พัชรีรัศม์
วันที่ 15 ธ.ค. 2562

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Ratchaneekul
วันที่ 15 ธ.ค. 2562

ยิ่งได้มีโอกาสฟังความจริงที่ มศพ. ยิ่งทำให้เข้าใจชัดเจนว่า เพราะคนส่วนมากมีความไม่รู้ จึงเดินทางผิด คนจำนวนมากยังคงไม่รู้ว่าเดินทางผิด จึงเดินต่อไป แต่ก็มีคนจำนวนมากเช่นกัน รู้ว่าทางที่เดิน ไม่ถูกต้อง และ ก็รู้ว่าทางที่ถูกต้องเป็นอย่างไร แต่ด้วยความที่ไม่มั่นคงในพระธรรม ก็มีความกลัวว่า ถ้าเดินตามทางคนส่วนน้อยแล้ว (ทั้งที่เป็นทางที่ถูกต้อง) จะโดนสังคมประณาม ก็เลยยินดีที่จะเดินตามคนส่วนมาก (ทั้งที่เป็นทางที่ผิด) แต่ที่แย่ที่สุด คือ คนที่รู้ว่าทางของตนผิด แต่ยังคงยินดีที่จะเดินทางผิดต่อไป ผิดคนเดียวไม่พอมิหนำซ้ำยังบิดเบือน อ้างอิงว่า เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตน และ เรียกศรัทธาจากคน นี่ก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง และ โดยเฉพาะต่อพระพุทธศาสนาค่ะ

แต่อันที่จริง ถ้าจะคิดให้ดีแล้ว ผู้ที่เดินทางผิด ไม่สามารถโทษใครได้เลย เป็นเพราะตัวเองไม่ฟังธรรม และ ไม่เข้าใจธรรม ไม่มีธรรมเป็นที่พึ่ง จึงไปหาที่พึ่งที่อื่น ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ล้วนแต่เป็นภัย ทำให้นึกถึง และ เข้าใจ คำที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ธรรม ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ และ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง ที่ชี้ทางสว่างให้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ