พระอริยบุคคล 4 คู่ 8 บุคคล

 
furita_6
วันที่  16 ธ.ค. 2562
หมายเลข  31373
อ่าน  13,366

ขอเรียนสอบถามท่านอาจารย์ครับ

พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล ทำไมถึงต้องเป็น ๔ คู่ ๘ บุคคล และ ๔ คู่ ๘ บุคคล หมายถึงท่านใดบ้างครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 17 ธ.ค. 2562

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอริยบุคคล เป็นผู้ที่ประเสริฐ สามารถดับกิเลสได้ ตามลำดับขั้น ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ พระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ

พระอริยสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มี ๔ ระดับขั้น คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอหันต์ เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ที่ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ก็คือ ขณะที่มรรคจิต และ ผลจิต เกิดขึ้นเป็นไป นั้นเอง ครับ เรียกตามขณะจิต ได้ ๘ คือ มรรคจิต ๔ และ ผลจิต ๔ เมื่อมรรคจิต เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้ผลจิต เกิดสืบต่อทันดี ไม่มีจิตอื่นคั่น จึงกล่าวเรียกว่า พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล

หมายความว่า เมื่อนับโดยคู่ ได้ ๔ คู่ ได้แก่

โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นที่ ๑

สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล เป็นคู่ที่ ๒

อนาคามิมรรค อนาคามิผล เป็นคู่ที่ ๓

อรหัตตมรรค อรหัตตผล เป็นคู่ที่ ๔

ถ้านับเรียงโดยบุคคลได้ ๘ บุคคล คือ

๑. โสดาปัตติมรรค

๒. โสดาปัตติผล

๓. สกทาคามิมรรค

๔. สกทาคามิผล

๕. อนาคามิมรรค

๖. อนาคามิผล

๗.อรหัตตมรรค

๘. อรหัตตผล

ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้ ครับ

"การให้ผลของโลกุตตรกุศลให้ผลทันที ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเพราะกุศลและอกุศลอื่นๆ ยังต้องรอภพชาติ เช่น ผู้อบรมเจริญสมถภาวนา และฌานจิตเกิด ยังไม่สามารถที่จะเป็นพรหมบุคคลในขณะที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่เวลาที่ฌานจิตไม่เสื่อม เกิดก่อนจุติจิต เมื่อจุติจิตดับ ทำให้ปฏิสนธิจิตที่เป็นรูปาวจรจิต ถ้าเป็นผลของรูปฌานกุศล หรือว่าอรูปาวจรจิตซึ่งเป็นวิบาก เป็นผลของอรูปาวจรกุศลเกิดขึ้นในรูปพรหมภูมิ หรือในอรูปพรหมภูมิ เป็นพรหมบุคคล

นั่นยังต้องคอยกาลเวลาที่จะให้ผล แต่กุศลประเภทเดียวซึ่งไม่คอยกาลที่จะให้ผลเลย คือ โลกุตรกุศล ทันทีที่โลกุตตรกุศลจิตดับ โลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อทันที ให้ผลโดยที่ไม่มีกาลระหว่างคั่นเลย ไม่ต้องทำปฏิสนธิกิจด้วยนะคะ สำหรับโลกุตตรวิบาก

เวลาที่โสตาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลส โสตาปัตติผลจิตเกิดต่อ มีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสแล้ว ในขณะที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อเป็นผลจิต นี่เป็นคู่ที่ ๑

ซึ่งใช้คำว่า พระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคคล ก็ได้แก่ พระโสดาบันบุคคลซึ่งโสตาปัตติมรรคจิตเกิดแล้วดับไป โสตาปัตติผลจิตเกิดสืบต่อ นี่ก็เป็น ๑ คู่ ๒บุคคล

และเมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป สกทาคามิมรรคจิตเกิดขึ้น ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานอีกครั้งหนึ่ง ชั่วขณะจิตเดียวที่ดับกิเลส ตามขั้นของพระสกทาคามีบุคคล ดับไปแล้ว สกทาคามิผลจิต ซึ่งเป็นโลกุตรวิบากจิตเกิดสืบต่อ ประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน มีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสขั้นของสกทาคามีบุคคล

เมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป โลกุตตรจิตซึ่งเป็นอนาคามิมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลสตามขั้นของอนาคามีบุคคล เมื่ออนาคามมิมรรคจิตดับไป อนาคามิผลจิตก็เกิดต่อ

และเมื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป ก็จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ โดยที่อรหัตตมรรคจิตเกิดขึ้นดับกิเลสที่เหลือทั้งหมด เพราะมีนิพพานเป็นอารมณ์ในขณะนั้น เมื่ออรหัตตมรรคจิตดับไปแล้ว อรหัตตผลจิตก็เกิดต่อมีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยสภาพที่ดับกิเลสทั้งหมดแล้ว เป็นพระอรหันตบุคคล

รวมเป็นพระอริยบุคคล ๔ คู่ ๘ บุคคล

แล้วเฉพาะจิต ๘ ดวงนี้ จำแนกเป็นโลกุตตรจิต เพราะเป็นจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ และดับกิเลส"

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Junya
วันที่ 19 ธ.ค. 2566

กราบยินดีในกุศลยิ่งค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ