ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๖

 
khampan.a
วันที่  20 ต.ค. 2562
หมายเลข  31242
อ่าน  2,184

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๖ * *

~ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด จึงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เรา หรือไม่ใช่ของเราทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ นี่คือการเริ่มที่จะเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่ใช้คำว่า "พระธรรม" เพราะเหตุว่า แสดงถึงสิ่งที่เป็นจริง ที่มีจริง ซึ่งเป็นแต่เพียงธรรมหรือสภาพธรรมแต่ละอย่าง เป็นธาตุแต่ละชนิด ซึ่งไม่พึงที่จะยึดถือว่า เป็นตัวตน เป็นเราหรือเป็นของเราได้เลย

~ เมื่อเห็นความไม่ดีของคนอื่น ก็ (ควรที่จะ) คิดว่าแม้เราเองก็มี (ความไม่ดี) เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามีแต่เขา เราก็มี ในเมื่อเราก็มีด้วย ทำไมรังเกียจแต่อกุศลของคนอื่น แต่ไม่รังเกียจอกุศลของเรา ซึ่งการที่จะรังเกียจอกุศลของคนอื่น ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเราเลย แต่การที่ย้อนกลับมาว่า อกุศลที่คนอื่นมีนั้น เราก็มี และเราเท่านั้นผู้เดียวที่จะเพียรขัดเกลาอกุศลของเราได้ เราไม่สามารถที่จะไปขัดเกลาอกุศลของคนอื่นได้เลย การระลึกอย่างนี้ ก็จะทำให้เพิ่มความสำรวม ระวัง และก็เจริญกุศลขึ้นได้

~ กุศลของเขาเกิดแล้ว เห็นไหมว่า กุศลเกิดยาก เมื่อใครเกิดกุศล เราก็อนุโมทนาในกุศลนั้น แต่ถ้าเราไม่อนุโมทนา อกุศลทั้งหลายก็พรั่งพรูกันออกมา

~ ถ้าใครมีโอกาสได้ทำกุศล ซึ่ง (โอกาสที่จะเกิดกุศลนั้น) ยาก ก็ควรที่จะได้อนุโมทนา

~ ผู้ที่หวังดีต่อทุกคนที่จะให้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ก็คือ ต้องให้เขารู้ว่า ควรที่จะศึกษา แล้วเราก็เผยแพร่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว

~ กำลังฟังธรรม ก็เจริญกุศลแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีกุศล ขณะใดที่เข้าใจธรรม ก็เป็นกุศล และความเข้าใจธรรมนั้น ก็เป็นปัจจัยให้มีกุศลอื่นๆ ต่อไปด้วย


~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษาโดยละเอียด เรื่องของสภาพธรรมล้วนๆ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังพิจารณาขั้นการฟังให้เห็นความเป็นอนัตตาที่สภาพธรรมแต่ละอย่างจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ชั่วขณะเดียวที่เกิดทำกิจเฉพาะขณะนั้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว

~ ปัญญาต้องรู้ตรงตั้งแต่ต้น หมายความว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ไม่มีการรีบเร่ง หรือใจร้อน หรือจะทำ ถ้าเข้าใจอนัตตาจริงๆ แล้ว จะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็มีสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เช่น เห็น ขณะนี้ก็ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วด้วย ไม่มีใครไปทำ ขณะที่ได้ยิน ได้ยินก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ

~ ข้อสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา ปัญญาเพื่อละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ละกิเลสทั้งหมด ละความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ละความหลงผิดทุกประการ

~ ไม่ว่าจะเป็นขันธ์ (สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) ในชาติใดในแสนโกฏิกัปป์ หรือในปัจจุบันชาติ หรือในชาติต่อไปข้างหน้า ขันธ์ทุกขันธ์เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ จะไม่มีขันธ์ใดเกิดขึ้นมาแล้วจะพ้นจากลักษณะที่เป็นอนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล)

~ คนที่เราโกรธ กำลังสบาย กำลังเป็นสุขสนุกสนาน เราคนเดียวกำลังเดือดร้อน กำลังไม่สบายเลยสักนิดเดียว จิตใจกำลังขุ่นมัวเต็มที่ แล้วใครทำให้ เราทำเอง ถ้ามีปัญญาจริงๆ เห็นโทษของอกุศล ขณะนั้น เป็นสติ ไม่ใช่เราอีกเหมือนกัน

~ เมื่อกิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ยังไม่ถูกดับ เวลาที่มีเหตุปัจจัยของกิเลสประเภทใด กิเลสประเภทนั้นๆ ก็เกิด โดยที่บุคคลนั้นไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้ว่า วันไหนกิเลสระดับใดจะเกิด เพราะเหตุว่าถ้ายังไม่มีปัจจัย กิเลสนั้นก็ยังไม่เกิด

~ เมื่อพูดถึงเรื่องของความตาย ก็ควรที่จะเป็นประโยชน์ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ช้าหรือเร็ว ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีใครที่จะรู้ได้เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป จะไปสู่ทางไหน จะเป็นคนดี หรือ คนเลว ก็อยู่ที่ขณะนี้

~ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตซึ่งจะติดตามไปได้ที่มีประโยชน์สูงสุดคือปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาอาจจะมีทรัพย์สมบัติ มีรูปสมบัติ มียศ มีบริวาร มีทุกอย่าง แต่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น ทรัพย์สมบัติตามไปได้ไหม? รูปสมบัติก็ตามไปไม่ได้ บริวารสมบัติ ทุกอย่างอื่นก็ตามไปไม่ได้ แต่ปัญญาที่สะสมสืบต่อในจิต จะทำให้มีโอกาสได้ยินได้ฟังและเกิดความเห็นถูกขึ้นได้

~ บุญคือขณะที่จิตใจปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นต้องมีโสภณธรรม (ธรรมที่ดีงาม) เกิดร่วมด้วย มีทั้งหิริ โอตตัปปะ แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังธรรมก็มีหิริโอตตัปปะ แต่เรามองไม่เห็น มีศรัทธา มีสภาพธรรมเป็นโสภณเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน กุศลจิตจึงจะสำเร็จได้ เพราะฉะนั้น บุญ ก็คือ ขณะที่กุศลจิตเกิด

~ พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาของผู้ที่ตรัสรู้ เป็นศาสนาที่ทำให้คนฟังเกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง และเราก็พิจารณาได้ว่า เท่าที่ได้ฟังมา ความเห็นถูกเพิ่มขึ้นหรือเปล่า มีความเข้าใจอะไรๆ ถูกต้องตามความเป็นจริงไหมในขณะนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นหมายความว่า เราสามารถที่จะมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มอีก เมื่อเราสนใจ เห็นประโยชน์ แล้วก็ฟังต่อไป

~ โลภะ (ความติดข้อง) ก็ต้องทำกิจของโลภะ มานะ (ความสำคัญตน) ก็ต้องทำกิจของมานะ โทสะ (ความโกรธขุ่นเคืองใจ) ก็ต้องทำหน้าที่ของโทสะ เพราะว่าปัญญาไม่เกิด ต่อเมื่อใดปัญญาเกิด เมื่อนั้นเหมือนแสงสว่างที่จะทำให้เราค่อยๆ เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง

~ ถ้าเราเข้าใจธรรม จะไม่หลงทาง (จะไม่หลงไปในทางที่ผิด) เพราะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง

~ ทาน การให้ ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้รับปลาบปลื้มใจ และจิตของผู้ให้ก็อ่อนโยน อ่อนโยนพอที่จะเสียสละวัตถุของตนเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นได้

~ กุศล ควรจะพร้อมทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เพราะฉะนั้น เวลาที่จะพูดกับใคร ก็พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วพูดคำที่น่าฟัง มีการนึกถึงจิตใจของเขา และอนุเคราะห์เกื้อกูลเขาให้เขาเข้าใจในเหตุในผลได้ คือ ด้วยวาจาของเรา

~ เพราะพระธรรม จึงทำให้ได้มีความเข้าใจถูกต้องว่าอะไรถูกอะไรผิดอะไรจริง อะไรไม่จริง และเป็นผู้แกล้วกล้าอย่างยิ่งที่จะกล่าวคำจริง เพื่อบูชาคุณพระรัตนตรัย

~ ทุกอย่างเราคิดว่ามีจนกว่าจะตาย แต่ความจริงหาเป็นอย่างนั้นไม่เพราะทุกอย่างที่มี หมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย

~ ดีชั่วในชาตินี้ ก็จะทำให้คนต่อไปซึ่งสืบต่อมาจากคนนี้เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นคนไม่แกล้วกล้าก็ไม่ใช่แค่ชาติเดียว ก็จะไม่แกล้วกล้าต่อไปอีก หลงผิดในชาตินี้ ไม่เปลี่ยน ก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก (คือ หลงผิดต่อไป ไม่ทิ้งสิ่งที่ผิด)

~ มีชีวิตอยู่เพื่อกล่าวคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติปฏิบัติตามเป็นประโยชน์ที่สุด เพราะจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ แม้เดี๋ยวนี้ก็ได้

~ สังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน หนักไหม ด้วยอวิชชาและกิเลสทั้งหลาย แต่คนที่มีอวิชชาและกิเลสไม่รู้สึกเลย จะยังคงอยู่ต่อไปอีกได้นานแสนนาน เพราะไม่รู้จะมีผู้ที่สามารถปลดภาระหนักได้ แต่คนนั้นต้องรู้ก่อนว่านี่เป็นภาระหนัก จึงคิดที่จะปลด มิฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่มีวันที่จะพ้นจากภาระในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งนับประมาณไม่ได้เลย แต่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ประเสริฐที่สุดในชีวิตที่จะเคารพอย่างยิ่งด้วยการไตร่ตรองจนกระทั่งไม่เห็นผิดในแต่ละคำมีแต่ละคำ (ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เป็นที่พึ่งได้จริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าประมาท เข้าใจผิดนิดเดียว ก็คือ นำไปสู่ทางเหวลึกซึ่งยากที่จะขึ้นมาได้

~ พิจารณาดูสภาพของความโลภ (ความติดข้อง) ให้เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสได้ไหม ว่า เมื่อเป็นความโลภแล้ว ผู้ที่ถูกความโลภครอบงำ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่น เพื่อความเป็นอย่างนั้น ก็ได้

~ เพียงแต่ท่านออกนอกทางที่ถูกไป ก็เป็นทางที่ผิดเสียแล้ว แล้วก็ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ท่านหมดจดจากกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่จะต้องระมัดระวังและก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ

~
พิจารณาไตร่ตรองแล้วพูดติเตียนคนที่ควรติเตียน เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล พูดติเตียน ด้วยกุศลจิตได้ไหม? เพื่ออนุเคราะห์ให้เห็นว่าสิ่งนั้นไม่ควร ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ผู้นั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังได้พิจารณาว่าข้อความที่บุคคลอื่นกล่าวถูกหรือผิดอย่างไร ถ้าเป็นบุคคลที่รับฟัง ก็ย่อมจะได้ประโยชน์

~ บวชแล้วเข้าใจผิด บวชแล้วทำผิด มีแต่ความต้องการ ไม่ได้มีการเข้าใจธรรมซึ่งเป็นเครื่องละกิเลสเลย อย่างนั้นบวชหรือเปล่า

~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงพระธรรม จะมีใครรู้ไหมว่า บวช คือ อะไร ไม่รู้แน่นอน เพราะฉะนั้น บวช โดยไม่รู้ จะเป็นการที่จะเข้าใจธรรมหรือเปล่า แล้วบวชทำไม ถ้าบวชแล้วไม่เข้าใจธรรม

~ บวชเสร็จแล้ว ก็รับเงินทันที อย่างนั้นหรือที่ควรจะปีติยินดีอนุโมทนาแสดงว่า ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย

~ ไม่มีใครไปสนับสนุนให้ใครบวชได้ เพราะต้องเป็นการสะสมของบุคคลนั้นเองที่จะสละเพศคฤหัสถ์ด้วยความจริงใจที่จะศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลส

~ ชีวิตของบรรพชิตกับคฤหัสถ์ ต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่ใช่อยากบวช แต่ไม่รู้ว่า พระธรรมวินัยคืออะไร อย่างนั้นไม่ใช่พระภิกษุในพระธรรมวินัย เมื่อมีความประสงค์ที่จะขัดเกลากิเลส ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต ต้องพร้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย


~ แม้หนึ่งชีวิตที่ได้เข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้อง ก็เป็นที่อนุโมทนาอย่างยิ่งของทุกท่านที่เห็นคุณสูงสุดของพระรัตนตรัย.


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๒๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 20 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไมตรีจิต
วันที่ 20 ต.ค. 2562

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
panasda
วันที่ 20 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 20 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 21 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 21 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 21 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Chinjang
วันที่ 22 ต.ค. 2562

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kullawat
วันที่ 24 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kukeart
วันที่ 31 ต.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 14 ส.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ