ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๔

 
khampan.a
วันที่  19 พ.ค. 2562
หมายเลข  30870
อ่าน  1,705

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๔



~ การส่งเสริมสนับสนุนพุทธบริษัท ก็ควรที่จะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าใจชัดเจนถูกต้องในการประพฤติปฏิบัติ ให้รู้ธรรมตามความเป็นจริงด้วย

~ ไม่ทราบเลยว่ากรรมใดจะทำให้ท่านปฏิสนธิที่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าท่านพิจารณาธรรม จะเห็นว่าเป็นการเตือนให้ท่านเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ทำที่พึ่งให้แก่ตน ด้วยการรีบขวนขวายในสิ่งที่ดีและอบรมเจริญปัญญา

~ อกุศลทั้งหมด โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น เป็นมลทิน (เครื่องเศร้าหมอง) ทั้งนั้น แต่อยู่กับตัวเองจนไม่รู้สึกว่าเป็นมลทิน

~ การขัดเกลากิเลสนี้ ขัดเกลาทีเดียวหมดได้ไหม? ไม่ได้แน่นอน ต้องค่อยๆ ขัดค่อยๆ เกลาจริงๆ ถ้าไม่ใช่ด้วยสติกับปัญญาที่รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรจะขจัดอวิชชาออกไปได้เลย

~ เป็นได้ง่ายไหมบัณฑิต? ถ้าเข้าใจข้อปฏิบัติผิดและกำลังปฏิบัติผิดอยู่ ก็เป็นบัณฑิตไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นบัณฑิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ จึงต้องเป็นผู้ฟังเป็นผู้ที่เข้าใจถูกปฏิบัติถูกตรงตามพระธรรมอย่างแท้จริง

~ พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดครบถ้วน ทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก เพื่อเกื้อกูลพุทธบริษัทให้ศึกษาและเป็นผู้ตรงต่อธรรมวินัยจริงๆ

~ ทุกท่านที่เกิดมาในโลกนี้ ก่อนจะเกิดก็ไม่ทราบว่าจะพบอะไรบ้าง จะกระทำกรรมอะไรบ้าง และกรรมที่ได้กระทำแล้วนี้ จะเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิในวันใด ในที่ใด หลังจากจุติจากโลกนี้แล้ว ท่านก็ไม่ทราบ เรื่องของการที่จะมีชีวิตเป็นไป นั้น เป็นเรื่องที่ควรจะได้ทราบเหตุและผล แล้วก็สะสมความรู้ในสภาพของชีวิตให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อละความไม่รู้ ที่ทำให้ทำกรรมต่างๆ ที่เป็นอกุศลกรรมแล้วก็เป็นเหตุให้ได้รับทุกข์ทรมานอย่างสาหัสทีเดียว

~ ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) โลภะยังมี โทสะยังมี โมหะยังมี ความริษยายังมี อกุศลธรรมอื่นยังมี วันหนึ่งจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ท่านกระทำกรรมที่เป็นอกุศลกรรม ที่จะทำให้ไปสู่นรกขุมต่างๆ แล้วก็ได้รับความทุกข์ทรมาน ได้

~
แม้จะเป็นผู้มีทรัพย์ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ แต่ยังไม่หมดกิเลส ยังไม่ได้ขัดเกลาละอกุศลให้เบาบาง ก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้เลยว่ากิเลสนั้นจะมีกำลังกล้าที่จะทำให้ท่านปฏิบัติคลาดเคลื่อนผิดไปในทางอกุศลกรรมหนักๆ อย่างไรบ้าง ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ

~ เพราะสติเกิดขึ้น จึงทำให้มีการวิรัติ มีการงดเว้นจากสิ่งที่ไม่ดีที่เป็นอกุศล

~ พระธรรม คอยย้ำเตือนบ่อยๆ เพื่อให้เข้าใจความเป็นจริงของธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ทำให้เริ่มเข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม

~ เกิดมาแล้ว ต้องไปแน่ๆ ต้องละจากโลกนี้ไปอย่างแน่นอน อย่าคิดว่าอีกนาน เพราะอาจจะไม่นานเลย อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ได้ ซึ่งจะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว

~ เพราะมีอวิชชา (ความไม่รู้) พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีการเกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

~ ถ้าไม่ศึกษาเรื่องของจิต (ตลอดจนถึงธรรมอื่นๆ ) แล้วจะเป็นอย่างไร? คำตอบ คือ ไม่ดี เพราะไม่ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก มีแต่ความไม่รู้, ความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นอกุศล จะดีได้อย่างไร ที่เป็นคนดี และ เป็นคนไม่ดี ก็เพราะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ถ้าธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นก็เป็นคนดี แต่ถ้าธรรมฝ่ายไม่ดีเกิดขึ้น ก็เป็นคนไม่ดี มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ

~ บุคคลที่สะสมมาดี ก็จะเป็นคนดี มีการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มีเมตตา ไม่มักโกรธ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าสะสมมาไม่ดี ก็จะเป็นคนมักโกรธ ริษยา ตลอดจนมีความไม่ดีประการต่างๆ อีกมากมาย

~ ดีร้าย คล้อยไปตามจิตจริงๆ ถ้าอกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับจิต จิตนั้นก็เป็นจิตไม่ดี เป็นอกุศลจิต ทำให้กาย วาจา ไหวไปในทางที่ไม่ดี ถ้ามีโสภณเจตสิก เกิดร่วมกับจิต ก็ปรุงแต่งให้จิตนั้นเป็นจิตที่ดี เป็นกุศลจิต ทำให้กาย วาจา เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร

~ เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะทำให้ละคลายความติดข้อง ละคลายความไม่รู้ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

~ การกระทำทุกอย่างของแต่ละบุคคลที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน จะต้องมีเหตุทั้งนั้น และเหตุของการกระทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดล้วนเกิดจากกิเลส ถ้าตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ตราบนั้นก็ยังมีเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีได้ แต่จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำลังหรือระดับของกิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมา

~ ถ้ามีกุศล มีปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูก จะไม่วุ่นวายเลย ที่เดือดร้อนวุ่นวาย
อยู่ไม่เป็นสุข ก็เพราะกิเลส นั่นเอง จนกว่าจะมีการฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ

~ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ย่อมจะมีความประพฤติเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ถ้ายังไม่เริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ ต่อไปความไม่รู้ก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้น

~ เมื่อรู้ว่า การฟังพระธรรม มีประโยชน์ ก็ไม่ควรละทิ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วไปหาสิ่งที่ไม่มีประโยชน์

~
เราอยู่ที่ไหน? แม้ในขณะที่เห็น มีสภาพธรรมที่ประชุมกัน คือ มีตา มีสี มีจิตและเจตสิก เกิดขึ้นเป็นไป แล้วจะมีเราได้อย่างไร มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ

~ บุญ คือ การขัดเกลากิเลส แต่ว่าถ้ายังคงเป็นอกุศล อกุศลจะขัดเกลาอกุศลไม่ได้ นอกจากจะสะสมอกุศลเพิ่มพูนขึ้น เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไตร่ตรอง คำของพระองค์จริงไหม?

~ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงตรัสรู้ความจริงเราก็จะอยู่ในความมืดของความไม่รู้นานมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ และจากวันนี้ต่อไปเมื่อไม่รู้ ก็นานต่อไปอีกจนไม่สามารถจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้

~ ธรรมเป็นปกติ คนส่วนใหญ่คิดว่า ธรรมต้องไปทำให้มีขึ้น ให้เกิดขึ้น แต่ว่าตามความเป็นจริงตลอดชีวิต ทุกชีวิตในสังสารวัฏฏ์ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีขณะไหนที่ไม่ใช่ธรรมเลย เพราะฉะนั้น การรู้จักธรรม ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรให้เกิดเลย เพียงแต่ว่าสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ฟัง แล้วก็รู้ว่า ปัญญาสามารถรู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นคำจริงทุกคำ

~ ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร? เพราะฉะนั้น ถ้าชาวพุทธทุกคนเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมคืออะไร นั่นคือได้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็จะทำให้เข้าใจคำสอนทั้งหมด สอดคล้องกันด้วย เพราะเป็นความจริงเดี๋ยวนี้

~
บุคคลผู้ที่ไม่เห็นโทษของกิเลสอกุศลที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน อาจจะเข้าใจผิดว่า กิเลสเล็กๆ น้อยๆ ไม่เห็นจะเป็นโทษอะไร ทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร โกงบ้างนิดๆ หน่อยๆ ทุจริตบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ซึ่งไม่ถูกต้องโดยประการทั้งปวง

~ ชาติตระกูลก็ไม่สามารถที่จะห้ามกันคนที่มีกิเลสให้พ้นจากทุคติได้ ถ้าเป็นผู้ที่เกิดในตระกูลสูง แต่ว่ามีกรรมที่เป็นอกุศล ชาติตระกูลก็จะห้ามบุคคลนั้นให้พ้นจากทุคติไม่ได้ และชาติตระกูลก็ไม่สามารถที่จะห้ามกันคนที่เจริญกุศลไม่ให้ไปสู่สุคติได้

~ เราเห็นโทษของกิเลสไหม? ตีรันฟันแทง ทุจริตต่างๆ ใจร้าย ใจดำ กิเลสทั้งหมด โกง ก็มี เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีปัญญาดับกิเลส ไม่มีพฤติกรรมหรืออะไรที่จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีอีกเลย ถ้าเห็นโทษอย่างนี้เราก็จะขวนขวายที่จะเป็นขันธ์ (ธรรมที่เกิดที่เกิดขึ้น) ที่ดี ดีกว่าเป็นขันธ์ที่ไม่ดี แต่ขันธ์ที่ดี ก็ต้องมาจากการเข้าใจธรรม

~ ถึงเวลาที่จะให้ทุกคนที่ไม่รู้พระธรรมวินัยได้เข้าใจถูกต้องว่าอะไรถูก อะไรผิด เมื่อเป็นผู้ที่ตรง ก็จะได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำสิ่งที่ถูกต้อง คือ สิ่ใดที่ผิดจากพระธรรมวินัย ก็ไม่ส่งเสริม ทุกคนถ้าเข้าใจถูก ก็พูดถูก
ทำถูก


~
ถ้าแสดงธรรม ตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว อะไรจะแพร่หลาย? พระธรรมย่อมแพร่หลาย ผู้ที่ได้ฟังธรรมมีโอกาสที่จะได้รับฟังพระธรรมโดยตรงมากยิ่งขึ้น มีความเข้าใจในพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ด้วยพระองค์เองมากขึ้น เพราะฉะนั้น พระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ จะแพร่หลาย

~ เมื่อมีบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ทรงดับกิเลสจนหมดสิ้น ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรฟังคำของพระองค์ ด้วยความละเอียด รอบคอบ ไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๐๓


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มกร
วันที่ 19 พ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 20 พ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
meenalovechoompoo
วันที่ 20 พ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Fongchan
วันที่ 20 พ.ค. 2562

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kukeart
วันที่ 20 พ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
jaturong
วันที่ 21 พ.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ