ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๓

 
khampan.a
วันที่  14 ต.ค. 2561
หมายเลข  30169
อ่าน  1,861

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๓


~ คนที่จากโลกนี้ไปแล้ว จะกลับมาเป็นบุคคลเหมือนเดิมอีกได้ไหม? ไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อจากไปแล้วจะไปสู่กำเนิดอะไร แม้ว่าบุคคลนั้นจะเป็นมารดา จะเป็นบิดาจะเป็นผู้เป็นที่รัก แต่ก็จากไปแล้วจากความเป็นบุคคลนี้ ไปสู่ความเป็นบุคคลอื่น มีกำเนิดอื่น มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นต่อไป แล้วทำไมถึงจะคร่ำครวญเศร้าโศกถึงผู้ที่ตาย เพราะฉะนั้นถ้าพิจารณาธรรมจริงๆ พระธรรมที่ได้พิจารณาแล้ว ก็จะดับความเศร้าโศกของบุคคลทั้งหลายได้ แล้วก็จะน้อมประพฤติปฏิบัติหนทางที่จะทำให้พ้นจากความเศร้าโศก พ้นจากความทุกข์ได้จริงๆ

~ ความตายนี้รวดเร็วมากทีเดียว เร็วยิ่งกว่าการที่จะกะพริบตา หรือว่าเพียงแต่จะเหยียดมือออก นั่นก็ยังนานกว่าการจุติ (เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) และปฏิสนธิ (เกิดสืบต่อจากจุติ) เพราะเหตุว่าขณะจิตไม่มีระหว่างคั่นเลย ทันทีที่จุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัว กำลังพูดอยู่ขณะนี้สิ้นชีวิตลงก็ได้ กำลังคิดค้างอยู่สิ้นชีวิตลงก็ได้ กำลังลืมตาแล้วหลับตาลงสิ้นชีวิตลงก็ได้ ได้ทุกขณะทีเดียวเร็วมาก เร็วที่สุดจนไม่น่าที่จะต้องกลัวเลยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนความตายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แล้วปฏิสนธิก็เกิดต่อทันที

~ การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวัน นี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด?

~ ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใดได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นผู้ที่ประมาทมัวเมา ไม่คิดถึงว่า จะต้องเป็นผู้ที่จะถึงแก่ความตายจะเร็วหรือช้าก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้าไม่ระลึกอย่างนี้บ้างเลย วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยการที่ท่านไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าเรื่องของอกุศลจิตนี้มีปัจจัยพร้อมที่จะเกิดอยู่เสมอ แต่เรื่องของกุศล นานๆ ก็จะมีโอกาสมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น

~ เกิดมาแล้วก็นานหลายปี ยังไม่ตาย แต่ก็จะต้องตายแน่ๆ เกิดแล้วต้องทุกคน ความตายไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อใด พระธรรมที่แสดงถึงความตาย ก็เพื่อเตือนให้ระลึกได้ว่า อย่างไรก็ต้องตาย และจะตายเมื่อใด ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย คือ ได้เข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ เหลืออะไรบ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่าง จิตขณะแรกในชาตินี้ (ปฏิสนธิจิต) เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็ไม่มีเหลือ เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์จากการที่เกิดมาแล้วต้องตาย (จะเร็วจะช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง) อย่างน้อยในชาตินี้ ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริง

~ ถ้าไม่ได้ระลึกเลยว่า ความตายใกล้ที่สุด อาจจะเกิดขึ้นขณะหนึ่งขณะใด ได้ทั้งนั้น วันหนึ่งๆ ก็ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อบรมเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เป็นผู้ประมาทมัวเมา และเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ในโลกนี้ อย่างไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระจริงๆ เพราะไม่ได้ถือเอาสิ่งที่เป็นสาระ คือ กุศลประการต่างๆ พร้อมด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

~ มีทรัพย์สมบัติมาก ก็ตาย มีความรู้ความสามารถมาก ก็ตาย มีญาติสนิทมิตรสหายคอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ มาก ก็ตาย หรือ ผู้มีชีวิตที่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็ตาย ตายทุกคนจริงๆ ไม่มีใครรอด แต่ใครจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการมีโอกาสสะสมความดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ

~ เกิดมาแล้ว ตายแน่นอน ไม่มีเราอีกต่อไป สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราด้วย เมื่อตายแล้ว อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติเลยที่นำติดตัวไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ไม่สามารถนำเอาติดตามไปได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะสะสมสิ่งที่ไม่ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อตายไป ก็หอบเอาสิ่งที่ไม่ดี คือ กิเลสซึ่งเปรียบเสมือนขยะ ไปด้วย

~ ทุกท่านกำลังนั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีเครื่องหมายที่จะให้รู้เลยว่า ชีวิตของใครจะอยู่ต่อไปถึงพรุ่งนี้ หรือว่าเดือนหน้า หรือว่าปีหน้า ไม่มีเครื่องหมายให้รู้ว่า จากที่นี้ไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นสุข หรือว่าจะเป็นทุกข์ จะประสบกับอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าพอใจ) หรืออนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ) จะมีอุบัติเหตุ หรือไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะว่าชีวิตไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ ก็รู้ไม่ได้

~ เกิดแล้วต้องตายแน่ๆ เกิดมาแล้วตายไป ประโยชน์อยู่ตรงไหน? ถ้าเกิดแล้วไม่รู้ และ ติดข้อง จะมีประโยชน์อะไร และเมื่อติดข้องแล้ว อกุศลทั้งหลายก็ตามมาอย่างมากมาย

~ ในพระพุทธศาสนา ไม่มีคำใดที่เป็นข้อห้ามเลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุและผลของธรรมทุกอย่าง เพื่อจะให้ท่านผู้ฟังผู้ศึกษาได้พิจารณาจริงๆ เห็นประโยชน์จริงๆ แล้วก็อบรมเจริญกุศลเพิ่มขึ้น เป็นผู้ที่นับถือในเหตุผล และเข้าใจในเหตุและในผลให้ถูกต้องตามความเป็นจริง

~ ถ้าท่านทำทุจริตกรรม แล้วจะอ้อนวอนขอร้องให้ได้ผลดี เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไหม? หรือถ้าท่านทำกุศลกรรมแล้ว ก็อ้อนวอนขอร้องเปลี่ยนเสีย อย่าให้กุศลนั้นให้ผลที่ดีเลย ให้กุศลนั้นให้ผลที่ไม่ดีทั้งหมด จะอ้อนวอนขอร้องสักเท่าไร ก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

~ ทุกเรื่องที่เป็นมุสาวาท คือ คำไม่จริง แม้เพียงเล็กน้อย ต้องเป็นผู้เห็นโทษจริงๆ แล้วก็มีความเพียรที่จะงดเว้น ไม่พูดคำที่ไม่จริง แม้เป็นเรื่องที่ท่านอาจจะเห็นว่า ไม่เป็นโทษกับคนอื่น แต่ว่าการเสพคุ้นบ่อยๆ จะทำให้เป็นผู้คุ้นเคยกับการกล่าวมุสาวาทได้ง่าย และยิ่งเห็นว่า ไม่เป็นโทษเป็นภัย ก็ยิ่งกล่าวไปเรื่อยๆ บ่อยๆ เพราะฉะนั้น ปกติก็จะเป็นผู้ที่ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของท่าน และขอให้คิดถึงความจริงว่า ในเมื่อท่านต้องการสัจจะ คือ ความจริง คนอื่นก็ต้องการด้วยเช่นเดียวกัน

~ ใครหวังที่จะเป็นคนดียิ่งขึ้น ไม่มีทางสำเร็จ ถ้าไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ความเข้าใจหรือปัญญา จะนำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศลที่เป็นส่วนที่ดีงาม ไม่ใช่เรา แต่ความเห็นถูกความเข้าใจถูก ทำหน้าที่ของการรู้ว่า อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะให้ปัญญาของพระองค์แก่ใครได้เลย แต่ว่าพระองค์ทรงแสดงธรรมความจริงจากทุกคำที่จะทำให้คนอื่นสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น คำของพระองค์จะทำให้คนที่ฟังพิจารณาไตร่ตรองเกิดความเข้าใจเป็นของตนเอง ซึ่งคนอื่นก็ลักขโมยไปไม่ได้ น้ำไฟแตะต้องไม่ได้ แต่อยู่ในใจ

~ ท่านที่เป็นกัลยาณมิตร ถ้ามิตรสหายของท่านกำลังเป็นอกุศล ขณะนั้นก็เป็นโอกาสดีที่จะกล่าวธรรม เพราะเหตุว่า ถ้าท่านเตือนเองย่อมจะไม่ได้ผลเท่ากับการแสดงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว แต่ว่าก็ต้องขึ้นอยู่กับกาลเทศะและเหตุการณ์ในขณะนั้น แต่ให้ทราบว่าคำพูดของบางท่านสะกิดใจจริงๆ บางทีฟังแล้วระลึกได้ทันที แต่ถ้าในขณะนั้นคนนั้นไม่กล่าววาจาอย่างนั้น บุคคลนั้นก็ยังคงมีอกุศลต่อไปอีกนานทีเดียว โดยเฉพาะในเรื่องของความโกรธ หรือว่าในเรื่องของความตระหนี่ ความริษยา ในเรื่องของอกุศลทั้งหลาย ถ้าได้มีธรรมที่ระลึกได้ในขณะนั้น แล้วกล่าวขึ้น ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังมีอกุศลจิต

~ ทุกคนเห็นทรัพย์ แต่ว่าระลึกเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ต้องแล้วแต่สติ (ระลึกเป็นไปในกุศล) ในขณะนั้น ถ้าระลึกเป็นไปในกุศลในขณะที่เห็นทรัพย์ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น ได้แก่ ทาน การให้ การสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น บางคนตั้งใจจะบริจาคเงินในการกุศล แต่ลืมค่ะ พอเห็นจึงได้ระลึกได้ นี่ก็เป็นเหตุหนึ่ง ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของสติ

~ ขณะใดก็ตามที่ฟัง (พระธรรม) ฟังเพื่อเข้าใจถูกต้อง เท่านั้น นั่นคือ ฟังด้วยความเคารพ ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ได้หวังอะไรเลยทั้งสิ้น

~ ถ้ามีความเข้าใจในความเป็นธรรม ค่อยๆ (เข้าใจว่า) เป็นธรรมขึ้น ก็เห็นโทษของอกุศล เพราะว่าอกุศลทั้งหลายมาจากการที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่เข้าใจผิดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามมีความเข้าใจ มีปัญญาเกิดขึ้น เห็นความไม่ใช่เรายิ่งขึ้น ปัญญานั้นก็นำไปสู่กุศลทั้งปวง

~ เพียงหนึ่งขณะจิตที่เป็นกุศล มีค่าไหม เทียบกับหนึ่งขณะจิตที่เป็นอกุศล?

~ ทั้งวันที่เป็นอกุศล มีสิ่งที่ไม่มีค่ามากมายมหาศาล แต่ขณะที่กำลังฟังพระธรรม มีความเข้าใจขึ้น สิ่งนั้นมีค่า เพราะเหตุว่าสามารถที่จะทำให้รู้ความจริงจนกระทั่งกุศลทั้งหลายค่อยๆ เจริญขึ้น

~ ความเข้าใจธรรม ก็จะทำให้คนนั้นเป็นคนดีขึ้น ค่อยๆ ละอกุศล และจากการที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น นั้น ปัญญาก็ปรุงแต่งให้เป็นกุศลประการต่างๆ ซึ่งต้องรู้ว่า ไม่ใช่เรา

~ บนสวรรค์ ก็เป็นที่รื่นรมย์ แต่สำหรับผู้ที่เคยได้ฟังพระธรรมมาแล้ว ยังไปเทวสภาชื่อสุธัมมา (ศาลาสุธัมมา) เพื่อที่จะได้ฟังธรรม นั่นก็คือ การสะสมสืบต่อ

~ จากไม่รู้มานานเท่าไหร่แล้วจะรู้จริงๆ แล้วรู้ตลอดแทงตลอดสภาพธรรมจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งคำที่เราได้ยิน เป็นความจริงทั้งหมด ต้องอาศัยเวลานานเท่าไหร่ ที่จะสะสมการที่จะทำให้อกุศลลดน้อยลง แล้วกุศลเพิ่มขึ้น และปัญญาก็สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมได้ทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถที่จะเข้าใจ แม้อกุศลเกิด ก็รู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา

~ ไม่รู้แล้วทำ จะถูกได้อย่างไร?

~ สะสมปัญญา ปัญญาก็สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๗๒




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kukeart
วันที่ 14 ต.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 14 ต.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มกร
วันที่ 15 ต.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 16 ต.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
anuraks168
วันที่ 16 ต.ค. 2561

อนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ