ธรรมะคือธรรมชาติ

 
sasha
วันที่  1 ก.พ. 2561
หมายเลข  29458
อ่าน  7,618

ธรรมะคือสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ ตามเหตุตามผล บางสิ่งละเอียดอ่อนมาก และอยู่ในระดับสูงถึงขั้นที่ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ ขอยกตัวอย่าง อย่างเช่นมีคำสอนที่ว่า ถ้าเห็นผู้อื่นได้ดี เราก็ต้องยินดีกับเขา คือ มุทิตา แต่ถ้าสมมติว่า บุตรของเรามีโรคติดตัวมาแต่กำเนิด เราจะฝึกอย่างไร ที่จะช่วยทำให้ใจเรายอมรับและไม่เศร้าหมอง และคำสอนที่ว่า ให้รู้สุข รู้ทุกข์นั้นเราต้องทำอย่างไรบ้าง (เพราะเราไม่ใช่หุ่นยนต์ แต่เราจะต้องฝืนธรรมชาติ ที่จะไม่ให้รู้สึกว่าสุข หรือทุกข์ ใช่ไหมคะ?)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 2 ก.พ. 2561

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพธรรม ได้ มีทั้งสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม (จิต เจตสิก และพระนิพพาน) และ รูปธรรมธรรม ซึ่ง ไม่ต้องไม่หาที่ไหนเพราะมีจริงทุกขณะ ทุกขณะเป็นธรรม ไม่พ้นไปจากธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก และ รูป แต่ละอย่างแต่ละประการ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลในสภาพธรรมเหล่านั้นไม่ได้เลยจริงๆ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน (ในแต่ละภพในแต่ละชาติ) ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงขณะที่จุติเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ นั้น มีแต่นามธรรมกับรูปธรรม เท่านั้น ถ้ายังไม่ได้ศึกษาก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจแต่เมื่อได้ศึกษาแล้ว ก็จะมีความเข้าใจว่า มีธรรมอยู่ตลอดเวลา ทั้งทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่พ้นหกทางนี้เลย จึงต้องอดทนที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ด้วยความละเอียด ต่อไป เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่า เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริงและกำลังปรากฏ ซึ่งมีให้ศึกษาอยู่ทุกขณะจริงๆ สิ่งสำคัญ คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจอย่างถูกต้อง

สิ่งที่น่าพิจารณา คือ ถ้าพูดถึงธรรมชาติ บางคนอาจคิดถึงภูเขา ต้นไม้ น้ำทะเล ดาว แต่ถ้าพูดถึงธรรมแล้ว เป็นสิ่งซึ่งหมายถึง สิ่งที่มีจริงๆ เป็นสิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงธรรมชาติก็จะต้องเข้าใจด้วยว่า ธรรมชาติในทางธรรม หรือ ธรรมชาติในทางโลก ถ้ากล่าวถึง ธรรมชาติ ในทางธรรม ก็คือ ความเป็นจริงของธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน

ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แม้จะถูกสอนว่า ถ้าเห็นผู้อื่นได้ดี เราก็ต้องยินดีกับเขา คือ มุทิตา แต่ถ้าไม่สะสมเหตุที่ดีมา ไม่เห็นคุณของความดี จะเกิดกุศลจิตยินดีกับการที่ผู้อื่นได้ดีมีความสุข ได้อย่างไร บางคนอาจจะเกิดความริษยา ก็เป็นไป ทั้งหมด เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

แต่ละคนแตกต่างกัน เป็นแต่ละหนึ่ง แตกต่างกันทั้งการสะสม และ แตกต่างกันทั้งการได้รับผลของกรรม ด้วย หากเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ก็สามารถที่จะเกื้อกูลผู้อื่นได้ ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงตามกำลังปัญญาของตน ได้ ว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ขณะที่เข้าใจความจริง ก็ไม่เดือดร้อนเลย, แม้ว่าชีวิตจะมีสุขมีทุกข์อย่างไร ก็คือ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีค่าประเสริฐที่สุดที่ควรสะสมก่อนที่จะละจากโลกนี้ไป ก็คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการที่มีโอกาสได้ฟังคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 2 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
sasha
วันที่ 2 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
doungjai
วันที่ 4 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 19 ก.พ. 2561

ทุกขณะที่เห็นเป็นผลของกรรม เช่น เห็นดีก็เป็นกุศลวิบากทางตา เห็นไม่ดีก็เป็นอกุศลวิบากทางตา ส่วนทุกข์ใจไม่ใช่ผลของกรรมแต่เป็นกิเลสที่สะสมมา และไม่มีวิธีอื่นนอกจากฟังธรรมะเพื่อละความไม่รู้ เพื่อเข้าใจความจริงของธรรมะที่มีจริงๆ ว่าไม่ใช่เราค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
worrasak
วันที่ 20 ก.พ. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
talaykwang
วันที่ 6 ม.ค. 2563

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 23 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ