ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๖

 
khampan.a
วันที่  23 เม.ย. 2560
หมายเลข  28788
อ่าน  3,073

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๖

~ พระธรรมวินัยสำหรับผู้ที่มีปัญญา เห็นโทษของกิเลสแล้วก็รู้ว่าพระธรรมเท่านั้นที่จะขัดเกลากิเลส จึงศึกษาพระธรรมเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ถ้าบวชก็ในเพศบรรพชิต ถ้าเป็นคฤหัสถ์ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในขณะนั้นก็เป็นการค่อยๆ ละคลายกิเลส โดยที่ว่าเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ถ้าเข้าใจธรรม ก็ละคลายอกุศลด้วยกัน

~ มีเงินทองเมื่อไหร่ กิเลสยินดีติดข้องตามมามากมายมหาศาล เพราะฉะนั้น ถ้าจะขัดเกลา ก็คือไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง นี้เป็นเพียงข้อหนึ่งในพระธรรมวินัยสำหรับเพศบรรพชิตที่จะต้องรักษา แต่ว่าข้อละเอียดปลีกย่อยยังมีเพื่อแสดงว่า เป็นการขัดเกลาจริงๆ จิตใจมั่นคงจริงๆ จึงสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามอย่างนั้นได้

~ เราให้เงินภิกษุเท่ากับผลักภิกษุท่านลงนรก แล้วนั่นหวังดีหรือ? เป็นภิกษุไม่มีใครบังคับ ถ้าเป็นไม่ได้ก็ลาสิกขา (สึก) เสีย ปลอดภัยมากกว่าจะไปลงนรก

~ ก่อนอื่นยังไม่ต้องบวช เป็นคนดีได้ไหม? ทั้งประเทศ ไม่ต้องบวช แต่ทั้งประเทศมีคนดีได้ไหม? การบวช ยาก ไม่ใช่ง่ายเลย เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นคนดี ต้องมาจากการเข้าใจธรรม แต่ถ้าขาดการเข้าใจธรรม ก็ยังเป็นคนดีได้ แต่ไม่มากพอไม่ถึงที่สุดที่จะดับกิเลสได้ เพียงแต่ว่าเป็นคนดีตามที่ได้สะสมมา

~ เมื่อไม่รู้พระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมแล้วบวช เมื่อบวชแล้วก็ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่รักษาพระวินัย แล้วจะบวชทำไม เพราะฉะนั้น คำตอบก็คือ บวช ทำลายพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมและไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย

~ ต้องเป็นผู้ที่ตรง ไม่ใช่ว่าจะรักษาพระพุทธศาสนา รักพระพุทธศาสนาเหลือเกิน แต่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาเลย ว่า พระพุทธศาสนา เป็นเรื่องขัดเกลากิเลส ทุกคนมีกิเลสมาก แค่เป็นคฤหัสถ์ที่ดีก่อนดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น ด้วยการศึกษาพระธรรมขัดเกลากิเลส แล้วก็ไม่ทำลายพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาก็จะดำรงอยู่ต่อไป

~ ทำไมจึงเห็นผิด เพราะไม่ได้ฟังคำจากจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเห็นถูกได้อย่างไร?

~ ผู้ที่พิจารณาธรรม ย่อมเห็นอวิชชา (ความไม่รู้) ของตนเอง คือ เห็นความไม่รู้ของตนเองที่ทำให้ยังมีความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) ทุกๆ วัน ก็เหมือนกับการกินเหยื่อทุกวัน แล้วก็จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ชาติ (การเกิด) ชรา (แก่) มรณะ (ตาย) ไม่สิ้นสุด

~ ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ อายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ ก็ไม่สามารถจะเยียวยาและถอนลูกศร คือ กิเลสออกได้ นอกจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้แล้ว

~ ขณะใดที่มีการเพลิดเพลินในการเล่นต่างๆ ขณะนั้นย่อมทำกิจที่ไม่ควรทำ และไม่ยินดีกิจที่ควรทำ ระหว่างการฟังธรรมกับการที่จะดูหนังดูละคร ในขณะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าในขณะใดอกุศลครอบงำ ก็ย่อมเป็นไปตามอกุศล

~ บุคคลอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เราโกรธได้ ถ้าเราไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น จะเห็นได้เลยว่า ขณะใดที่ความโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการประทุษร้ายตนเอง ซึ่งบุคคลอื่นไม่ได้กระทำ นอกจากกิเลสของตนเองเป็นผู้กระทำ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ในขณะนั้น ก็จะเห็นโทษของอกุศล

~ ตามความเป็นจริงแล้ว กุศลคือจิตขณะใดที่ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะและอกุศลทั้งหลาย ขณะนั้นจึงสงบจากอกุศลและเป็นกุศล เมื่อจิตสงบแล้ว จึงมีการกระทำหรือทางของกุศลจิต เพราะว่ากุศลจิตที่เกิดเมื่อประกอบด้วยโสภณธรรม คือ โสภณเจตสิก (ธรรมที่เกิดกับจิตฝ่ายที่ดีงาม) ต่างๆ แล้ว จะไม่อยู่เฉยๆ ไม่ใช่ว่าจิตผ่องใสเป็นกุศลแล้วก็ไม่ทำอะไรเลย แต่เมื่อจิตผ่องใสเป็นกุศล การกระทำทางกายก็เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์ และวาจาก็เป็นวาจาที่เป็นประโยชน์ด้วย



~ การลบล้างคุณของผู้อื่นเกิดขึ้นขณะใด ควรนึกถึงสภาพของจิตของผู้ที่กำลังลบล้างคุณของผู้อื่นในขณะนั้นว่า เป็นอกุศลกรรมของตนเองซึ่งจะต้องให้ผล ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นคิดที่จะลบล้างคุณของคนอื่น แต่จิตที่กำลังคิดอย่างนั้น เป็นอกุศล และเมื่อได้กระทำกรรมนั้นแล้ว ก็เป็นอกุศลกรรม ซึ่งตนเองจะต้องเป็นทายาท คือ เป็นผู้ที่รับผลของกรรมนั้น

~ ข้อสำคัญที่สุด คือ ต้องเห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ตราบใดที่ยังไม่เห็นว่า อกุศลนั้นๆ เป็นโทษ ก็จะไม่มีการพากเพียรที่จะละอกุศลนั้นๆ เลย

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรฟังยิ่งกว่าคำของใคร ไม่มีคำของใครที่จะถูกต้องยิ่งกว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไตร่ตรอง เข้าใจถูกต้อง เท่านั้น ที่จะกล่าวคำจริงได้ตรงตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว

~ ความดีเป็นสิ่งที่ควรทำ แล้วเวลาที่จะทำความดี เราก็ไม่สามารถที่จะเลือกได้ ว่าวันไหน? เพราะทำดีได้ทุกวัน ดีได้ทุกวัน
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาอย่างละเอียดยิ่ง แล้วเราเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า และเข้าใจถูกกี่คำ ในเมื่อ ๔๕ พรรษาทรงแสดงไว้มาก

~ ปัญญา ไม่ทำให้เกิดความทุกข์โศกเศร้าหมองเลย

~ ขัดเกลากิเลสด้วยความเข้าใจพระธรรม

~ การขัดเกลากิเลสไม่ใช่แค่วันเดียว ๒ วัน ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๑๐๐ ปี หรือชาติหนึ่งชาติใด แต่ต้องนานมาก เพราะรู้ความจริงว่า กิเลส มาก ละเอียด ลึก หนา แน่น

~ เราเห็นโทษของกิเลสไหม? ตีรันฟันแทง ทุจริตต่างๆ ใจร้าย ใจดำ กิเลสทั้งหมด โกงก็มี เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่มีปัญญาดับกิเลส ไม่มีพฤติกรรมหรืออะไรที่จะเป็นสิ่งที่ไม่ดีอีกเลย ถ้าเห็นโทษอย่างนี้เราก็จะขวนขวายที่จะเป็นขันธ์ (ธรรมที่เกิดที่เกิดขึ้น) ที่ดี ดีกว่าเป็นขันธ์ที่ไม่ดี แต่ขันธ์ที่ดีก็ต้องมาจากการเข้าใจธรรม

~ ทุกคนเร่าร้อนและไม่สงบใจอยู่บ่อยๆ ใช่ไหม? บางคนก็พากันไปแสวงหาว่า ทำอย่างไรจิตใจถึงจะสงบ มีข้อปฏิบัติอะไรที่ทำให้สงบได้ แต่ว่าจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องจริงๆ ว่า การสงบจริงๆ นั้นจะมีได้ เมื่อปัญญาเกิดขึ้น เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

~ ความรักตัว ทำให้เห็นแก่ตัว ไม่รักใครเท่าตัวทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตัว แม้ทุจริตก็ทำได้ โดยไม่รู้ว่าทุจริตนั่นแหละจะนำผลร้ายมาสู่ตัว

~ ไม่รู้เมื่อไหร่ก็โง่เมื่อนั้น

~ ความดีเกิดเมื่อไหร่ ก็เป็นเวลาดีเมื่อนั้น

~ ปัญญาจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้

~ ไม่เห็นคุณค่าของพระธรรมวินัยพอ เราจึงทำในสิ่งที่ผิด

~
ความดีทั้งหมด คือ การสละ

~ มีกิเลสเท่าไหร่ ทุกข์เท่านั้น

~ ความหวังร้ายของคนอื่น ก็เป็นความหวังร้ายของคนอื่น แต่เปลี่ยนความหวังดีของเราไม่ได้

~ ถ้าใครก็ตามที่เป็นคนดี แล้วถูกคนอื่นว่ามากมายต่างๆ นานา คำว่าร้ายทุกคำ ไม่สามารถจะเปลี่ยนความดีนั้นให้เป็นความไม่ดีอย่างที่เขาว่าได้

~ จะเอาโทษ (ความชั่ว) หรือจะเอาประโยชน์ (ความดี) ให้กับจิตใจของเราเอง

~ ฟัง (พระธรรม) ไว้ เพราะปัญญากำลังเข้าใจไปเรื่อยๆ ในขณะที่มีการฟัง.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๙๕

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
อดุลย์
วันที่ 23 เม.ย. 2560

ถ้าอยากรักษาพระพุทธศาสนาต้องศึกษาคำสอนของพระสัมสัมพุทธเจ้า ถ้าอยากจะบวชก็ต้องเป็นคฤหสถ์ที่ดีและจะต้องมีอัธยาศัยที่จะเป็นพระภิกษุ

กราบอนุโมทนา สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 23 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น เป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 23 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 23 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
worrasak
วันที่ 23 เม.ย. 2560

กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 23 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
phawinee
วันที่ 24 เม.ย. 2560

ขอขอบพระคุณ ขออนุโมทนาในกุศลที่เกิดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 24 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kullawat
วันที่ 24 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
p.methanawingmai
วันที่ 24 เม.ย. 2560

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มกร
วันที่ 24 เม.ย. 2560

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Noparat
วันที่ 24 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Mayura
วันที่ 25 เม.ย. 2560

อนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Boonyavee
วันที่ 29 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 30 เม.ย. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 1 พ.ค. 2560

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Guest
วันที่ 31 ก.ค. 2560

ซาบซึ้งจริงๆ ค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
panasda
วันที่ 27 ส.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 12 เม.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ