สิ้นปีเก่า เข้าปีใหม่ เข้าใจพระธรรมใหม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราว สมมติให้เห็นถึง สภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นเวลา คือ จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นและดับไป ปีใหม่ ก็คือ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น ใหม่ตลอดเวลา ของแต่ละบุคคล แต่ละขณะ จึงกล่าวได้ว่า แต่ละขณะจิตที่ดับไป ก็เป็นปีเก่า และ ขณะจิตที่เกิดขึ้นใหม่ ก็เป็นปีใหม่
เวลาผ่านไป คือ จิตแต่ละขณะเกิดขึ้นและดับไป เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ใกล้ความตายจากโลกนี้ไปทุกขณะ สัตว์โลกก็แสวงหาความสุข แสวงหาความเป็นมงคลกับชีวิตในวันปีใหม่ แท้ที่จริง มงคลของชีวิต ความสวัสดี คือ กุศลธรรมทีเกิดขึ้นในจิตใจ ขณะใดที่จิตใจเป็นกุศล เป็นไปในทาน ศีล ความเข้าใจพระธรรม เป็นต้น ขณะนั้นเป็นมงคลกับชีวิต เป็นปีใหม่ ขณะใหม่ที่ประเสริฐแล้ว โดยไม่ต้องไปแสวงหามงคลกับ ชีวิตในวันปีใหม่ที่ไหนเลย
สวัสดี ปีใหม่ สวัสดี คือ กุศลธรรม ทุกประการเป็นความสวัสดี และ ถึงความสวัสดีสูงสุด เมื่อถึง การสวัสดี ปราศจากกิเลส ถึงพระนิพพาน ย่อมเป็นความสวัสดีกับชีวิตคือ กับจิตอันสูงสุด เพราะฉะนั้น ถ้าจะหาความสวัสดีในวันปีใหม่ ก็ควรเข้าใจว่า ความสวัสดี อยู่ที่ใจแต่ละขณะ และ ความสวัสดีที่ประเสริฐ คือ ความเข้าใจพระธรรม ปัญญาที่เกิดจากการศึกษาพระธรรม สนทนาธรรม ที่เป็นหนทางถูกที่เข้าใจถูกว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นหนทางที่จะทำให้ถึงความสวัสดีสูงสุด เพราะฉะนั้น สิ้นปีเก่า สู่ปีใหม่ ก็สะสมปัญญา สะสมความสวัสดีต่อไป คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เจริญกุศลทุกๆ ประการ ตามเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเป็นไป
พร ปีใหม่ให้พรกัน พร หมายถึง สิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ดี นั่นคือ ความดี กุศลธรรมเพราะฉะนั้น ใครจะให้พรใคร นอกจากให้พร ตัวเอง คือ ทำความดี ทำกุศล ในขณะนั้นเป็นการให้พรแล้ว โดยไม่ต้องขอพรจากใคร และไม่มีใครให้พรได้ ถ้าจะขอพร จากคนอื่น ก็คือ ขอโอกาสในการทำความดี นั่นคือ การได้พร และ ขอพร ที่ถูกต้อง
นับเป็นบุญที่ได้สะสมมาของแต่ละท่าน ที่ได้มีโอกาสพบ เกื้อกูลกัน พบกัน ณ กาลครั้งหนึ่งที่ได้ ศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูก ปีใหม่ ตามสมมติ ครบวาระใกล้อีกครั้ง ก็ให้พร ทำความดี ศึกษาพระธรรมต่อไปในทางที่ถูกต้อง และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ที่กระทำความดี อบรมปัญญาร่วมกัน
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอ.สุจินต์ฯที่เคารพยิ่ง
ส่วนหนึ่งของการสนทนาธรรมด้วยความประทับใจในความเมตตาท่านอ. 28 ธ.ค. 58
"ความสวัสดีดี คือพระนิพพาน คือสลัดวางจากกิเลส ปีใหม่กับปีเก่าต่างกันตรงไหน ปีใหม่ปีเก่าก็มีจิตคิดนึก เพิ่มความติดข้องหรือเปล่าทุกปี สวัสดีปีใหม่โดยมีปัญญาหรือเปล่า เห็นความลึกซึ้งหรือเปล่า แค่เห็นยังไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ถ้ารู้ว่าทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย จึงเป็นสวัสดี ความเข้าใจหรือปัญญาจึงเป็นสวัสดี ถ้าไม่เข้าใจ ก็เพิ่มความติดข้อง โลภะทุกเทศกาลปีใหม่ ทำดีโดยไม่ต้องรอขณะใดขณะหนึ่งดีไหม โดยไม่ต้องรอปีใหม่ปีเก่า หวังว่าจะรอปีใหม่ แต่ผลของกรรมอาจอยู่ไม่ถึงปีใหม่ ฉะนั้นจึงไม่ต้องรอที่จะทำความดี วันคืนล่วงไป ทำอะไรอยู่ รู้อนิจจังทุกขังอนัตตาหรือยัง ได้มีการพิจารณาทุกขังอนัตตาหรือยัง ตามกำลังของปัญญา ไม่ใช่คิดเอง ..."
"จิตสดุ้งอยู่เป็นนิจแล้วจะสวัสดีได้อย่างไร นอกจากปัญญาที่จะสลัดวาง จึงจะถึงความสวัสดี พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน สวัสดีคือมีสิ่งที่ดี มีดีในอวิชชาไหม ปัญญาจึงเป็นความสวัสดี การถึงความสวัสดีจึงขาดการอบรมเจริญปัญญาไม่ได้"
"ขณะใดมีเสียงต้องไม่มีกลิ่น ไม่มีคิด แต่เพราะเกิดดับรวดเร็วมาก จึงเหมือนกับเห็นพร้อม ได้กลิ่น ขณะที่ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรม ค่อยๆ เห็นว่า ไม่มีเราที่ได้ยิน ไม่มีเราที่เห็น ละวางการยึดถือ ที่เห็นว่าเป็นเรา เป็นกิจของปัญญาเท่านั้นตามลำดับขั้น"
"ขณะที่ไปปฏิบัติก็เป็นตัวตนแล้ว ปัญญาต้องเกิดจากการฟังมาก ค่อยๆ ละคลายความหวังว่าเป็นตัวเราที่เข้าใจ เพราะรู้ว่าปัญญาเกิดขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม เมื่อปัญญาเข้าใจทีละหนึ่งมากขี้น ก็จะสะสมความเข้าใจเห็นตามเป็นอนัตตา ก็จะไม่หวังเพราะรู้ว่าปัญญาทำหน้าที่ของเขา"
กราบแทบเท้าขอบพระคุณท่านอ.สุจินต์เป็นอย่างสูงยิ่ง
กราบอนุโมทนากุศลจิตศรัทธาอ.เผดิม และสมาชิก มศพ.และผู้ร่วมสนทนาทุกท่านค่ะ
ขอให้ทุกท่านได้รับพรจากความสวัสดึด้วยปัญญาที่ท่านอ.ได้เมตตาสนทนานะคะ
ที่สำคัญเหนือกว่านั้นคือ เพื่อละความติดข้อง ขณะนี้คือขณะเห็น ขณะนี้คือขณะคิด และ แม้แต่ดีขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
อนุโมทนาขอบพระคุณอาจารย์เผดิมและทุกๆ ท่านค่ะ















