เพลง เพราะไม่รู้ และ ความหมายของเพลง

เพราะไม่รู้จึงอยู่มาในหล้าโลก
เพราะไม่รู้จึงเศร้าโศกในสงสาร
เพราะไม่รู้จึงเป็นเราเขลามานาน
เพราะไม่รู้จึงคบพาลเผาผลาญตน
เพราะรู้คุณของพระธรรมจึงร่ำเรียน
เพราะรู้ธรรมจึงพร่ำเพียรเพิ่มกุศล
เพราะรู้ชัดจึงไม่ใช่สัตว์บุคคล
เพราะรู้ละตัวตนจึงพ้นภัย
ประพันธ์โดย
ผศ. อรรณพ หอมจันทร์
สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เลขที่ ๑๑
ดนตรีโดย
คุณพีรพัชร เกตุมณี
สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เลขที่ ๑๐๖๓
ขับร้องโดย
คุณโอ ปวีร์ คชภักดี
สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. เลขที่ ๘๙๗
ซึ่งไพเราะน่าฟัง ทั้งพยัญชนะ และ ความหมาย
เชิญคลิกฟังที่นี่
เพลงของ มศพ. เพราะไม่รู้และเพราะรู้
เพราะไม่รู้ จึงอยู่มาในหล้าโลก
เพราะไม่รู้ คือ อวิชชาที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ย่อมไม่สามารถดับกิเลสได้ อันเป็นต้นเหตุของการเกิด จึงอยู่มาในโลก คือ คือ ภพภูมิต่างๆ เกิด ตายไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะไม่รู้ จึงเศร้าโศกในสงสาร
เพราะไม่รู้ คือ อวิชชา ที่เป็นหัวหน้าของอกุศลธรรมทั้งหลาย คือ เป็นเหตุให้เกิดโลภะ โทสะ เศร้าโศก เสียใจ ทุกข์ทางกายมากมาย เพราะ อวิชชา ความไม่รู้เป็นเหตุ ในสงสาร คือ ในการเกิดตายในสังสารวัฏฏ์
เพราะไม่รู้ จึงเป็นเราเขลามานาน
เพราะไม่รู้ อวิชชา จึงยึดถือว่าเป็นเรา ด้วยความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลขณะนั้นเขลา เพราะ ไม่เข้าใจ ความจริง เข้าใจผิด และ เขลามานาน เพราะ ตราบใดที่ไม่มีปัญญา ก็เขลาตลอดมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน
เพราะไม่รู้ จึงคบพาลเผาผลาญตน
เพราะไม่รู้ มีอวิชชา จึงคบคนผิด เพราะ ไม่มีปัญญา ที่รู้ว่า คนพาล บัณฑิต คืออย่างไร ใจก็ย่อมไหลไปตามกระแสกิเลส ความไม่รู้ เป็นต้น ก็คบ เสพคุ้นกับ พาล เพราะ คบพาลทั้งภายใน คือ กิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจ และ คบพาล คือ บุคคลที่สมมติว่าเป็นพาล เพราะ มากไปด้วยความไม่รู้ ความเห็นผิด ในจิตใจ เผาผลาญบุคคลที่คบกับบุคคลที่เห็นผิด ให้เห็นผิดตามไปด้วย เผาผลาญความดีของตนเองในขณะนั้น
เพราะรู้คุณ ของพระธรรมจึงร่ำเรียน
เมื่อได้ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เกิดปัญญา ค่อยๆ เข้าใจถูก ก็เห็นคุณของพระธรรม ที่เป็นสิ่งที่มีค่า อันเป็นไปเพื่อละกิเลส จึง ศึกษาพระธรรมต่อไปร่ำเรียนต่อไป
เพราะรู้ธรรม จึงพร่ำเพียรเพิ่มกุศล
เพราะ รู้ธรรม คือ เข้าใจพระธรรม เกิดปัญญา ปัญญาหรือ วิชชา เป็นหัวหน้าของกุศลธรรม คือ เป็นปัจจัยให้เกิด กุศลธรรมประการต่างๆ เพิ่มขึ้น เพราะ มีความเข้าใจถูก ก็ทำให้คิดถูก วาจา กาย และ อื่นๆ ก็ถูกตาม ไปด้วย กุศลประการต่างๆ ก็เจริญตามปัญญาที่เพิ่มขึ้น
เพราะรู้ชัด จึงไม่ใช่สัตว์บุคคล
เพราะรู้ชัด คือ ปัญญาที่เกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้น มีเพียงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ขณะนั้นไม่มีเรา ไม่มีใคร เพราะ มีเพียงธรรม จึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล
เพราะรู้ละ ตัวตนจึงพ้นภัย
เพราะ รู้ คือ ปัญญาที่เกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม อันเป็นหนทางเดียวที่จะดับกิเลส ที่เป็นสติปัฏฐาน ๔ ขณะที่เจริญสติปัฏฐาน รู้ความจริงของสภาพธรรม ว่าไม่ใชเรา ก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ และ จนในที่สุด ก็พ้นภัย ภัย คือ กิเลส และ พ้นภัยคือ การเกิดในสังสารวัฏฏ์ได้ในที่สุด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.
ลึกซึ้งและไพเราะมาก
อนุโมทนาค่ะ
เนื้อหาพระธรรม ทำให้เกิดปัญญา (มหากุศลจิต ญาณสัมปยุตต์) เสียงที่ทุ้มและไพเราะของอาจารย์ ทำให้เกิดความชอบ (โลภมูลจิต) เกิด ดับ สลับกันอย่างรวดเร็ว
กราบเท้าอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
กราบขอบพระคุณอาจารย์วิทยากรทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลที่ได้กระทำแล้วของทุกท่าน
ได้เนื้อความที่มีความหมายครบถ้วนจริงๆ ค่ะขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบพระคุณสำหรับกลอนดีๆ ที่มีความหมายลึกซึ้ง และขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อนะคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
















