เป็นปกติ และเจริญกุศลทุกทาง

 
tanrat
วันที่  1 ต.ค. 2557
หมายเลข  25589
อ่าน  1,038

ฟังพระธรรม ต้องพิจารณา นำไปประพฤติปฏิบัติตาม แต่พระธรรมยาก พิจารณาแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ จึงต้องเจริญกุศลทุกทาง เช่น ทาน ปกติศีล และความดี ไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่มีตัวที่จะให้เอาแต่ตัวเอง และฟังธรรม ระลึกสติตามไป ต้องระลึกทันทีที่มีสภาพธรรมะปรากฏ เช่นขณะที่กำลังสนทนากับแม่ค้าอยู่ก็ระลึกสติได้ว่า กาย และวาจาดีไหม มีความเมตตา อยากได้ของถูก ต่อจนเกิดโทสะไหม ขณะที่จ่ายเงินก็ระลึกสติได้ว่าไม่ใช่เราจ่าย แต่สติทำกิจของสติ นอบน้อมไหม หรือรีบร้อนซะจนเหมือนโยนให้ ธรรมะเกิดดับเร็วมาก เป็นธรรมดาจริงๆ ค่อยๆ ระลึกไป มันจะชัดขึ้น คมขึ้น จนเป็นปกติของคนนั้นๆ แท้ที่จริง มีแต่จิตแต่กายแสดง ขัดเกลาไปเรื่อยๆ อย่าทำสถานการณ์ขึ้นมานะ ต้องเป็นปกติจริงๆ ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 1 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียนสนทนาเพิ่มเติม ครับ

หนทางที่เป็นปกติ

เป็นผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐาน คำว่าปกติและผิดปกติในที่นี้มุ่งหมายถึง ข้อปฏิบัติที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน สำหรับคฤหัสถ์ ก็มีชีวิตปรกติในชีวิตประจำวันที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เพศพระภิกษุ ไม่ได้หลีกเร้น หรือกระทำตัวให้เหมือนเพศบรรพชิตที่ออกจากเรือน สละทุกอย่างแล้ว ดังนั้นคำว่าเป็นผู้ปรกติเจริญสติปัฏฐาน ก็คือสติและปัญญาสามารถเกิดได้ แม้ขณะที่ดำเนินชีวิตประจำวันของคฤหัสถ์ในชีวิตประจำวัน จึงเป็นผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันคือ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งก็มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการปฏิบัติธรรม หรือการเจริญสติปัฏฐานที่เป็นปกติ ก็คือระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นปกติในขณะนี้ที่มีธรรมเป็นปกติ แต่การปฏิบัติธรรม มิใช่ว่าจะต้องทำอะไรให้ผิดไปจากปกติ คือไปพยายามปฏิบัติให้รู้ธรรมที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน คือทำผิดปกติ คือไปเข้าห้องกรรมฐาน ไปพยายามเดินจงกรม นั่งสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติของคฤหัสถ์ที่กระทำในชีวิตประจำวันเพราะว่าธรรมไม่ได้รู้และมีที่ห้องกรรมฐานหรือจะรู้ธรรมด้วยการนั่งสมาธิ เดินจงกรม แต่ความเป็นผู้มีคือ รู้ธรรมที่มีปกติด้วยการศึกษาฟังพระธรรมในเรื่องสภาพธรรม เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม สติปัฏฐานก็เกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีปกติ และก็เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานแล้วในขณะนั้นโดยไม่ต้องไปทำอะไรผิดปกติ คือไปปฏิบัติที่ไม่ใช่หนทางรู้ธรรมที่มีในขณะนี้ นั่นชื่อว่าผิดปกติในขณะนั้นครับ เพราะผิดปกติด้วยความเห็นผิดและด้วยข้อปฏิบัติที่ผิดครับ แต่ถ้ามีปัญญาย่อมเป็นปกติ เพราะเข้าใจว่าธรรมมีปกติในชีวิตประจำวัน และสติปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน ก็สามารถเกิดเป็นปกติได้ในชีวิตประจำวันนั่นเองครับ

กิเลสต้องละตามลำดับ คือละความเห็นผิดทึยึดถือว่าเป็นเราเป็นสัตว์บุคคล เห็นถึงความสำคัญของการอบรมปัญญาว่า ไม่ใช่การก้าวกระโดดที่จะไม่พอใจไม่ยินดี ติดข้องในสิ่งต่างๆ แต่กิเลสจะต้องละเป็นลำดับ ปัญญาจะต้องละเป็นลำดับ การอบรมปัญญาจึงเป็นการเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันที่เป็นปกติ ใช้ชีวิตเคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเป็นผิดปกติที่จะต้องหลีกเร้นหาสถานที่ หรือแต่งชุดสีขาว เป็นต้น เพื่อละกิเลส แต่กิเลสจะละได้ต้องเป็นไปตามลำดับและด้วยปัญญา ซึ่งจะต้องละความเห็นผิด ถึงความเป็นพระโสดาบันก่อน ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ใช้ชีวิตเป็นปกติที่เคยเป็นมา แต่เริ่มมีความเห็นถูก เข้าใจชีวิตขึ้นตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล นี่คือข้อปฏิบัติสายกลาง เพราะมีปัญญา ไม่สุดโต่ง จึงถึงการดับกิเลสได้ในที่สุดครับ ซึ่งกว่าที่จะไปถึงการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เป็นการดับทุกข์ ดับวัฏฏะได้อย่างเด็ดขาด (อามิสในโลกคือวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓) นั้น ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา เป็นระยะเวลาที่ยาวนานและเป็นเรื่องที่ไกลมาก ที่สำคัญจึงต้องเริ่มสั่งสมด้วยความเข้าใจธรรมที่ถูกต้องไปตามลำดับครับ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ

หนทางที่เป็นปกติ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
tanrat
วันที่ 1 ต.ค. 2557

กราบอนุโมทนาและขอบพระคุณยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 1 ต.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

"คนส่วนใหญ่ก็ทราบกันดีแล้วว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้นแสนไกล และถ้าไม่อบรมเจริญกุศลทุกประการ มุ่งหน้าอย่างเดียวที่จะให้ไประลึกลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรม แล้วให้เกิดความรู้ชัดแล้วละคลาย ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าผู้นั้นขาดสติและสัมปชัญญะ ละเลยแม้กุศลธรรมในชีวิตประจำวัน เช่น จาริตศีล (สิ่งที่ควรทำ) และวาริตศีล (สิ่งที่ควรเว้น)

สิ่งที่ควรเว้นใหญ่ๆ มีอยู่ ๕ ข้อ แต่ความละเอียดมีมากกว่านั้นอีก

เว้นคำที่ทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจ ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าเล็กน้อยเหลือเกิน เพราะไม่ใช่คำหยาบ แต่แม้กระนั้นก็จะต้องเป็นผู้มีความละเอียดด้วย ก่อนที่กิเลสจะหมดไปได้"

จึงเป็นสิ่งที่่น่าพิจารณาว่าเตือนตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้จุดมุ่งหมายในชีวิตมีความมั่นคง ถึงแม้ว่าจะยังมีความยินดี พอใจ ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อันเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจอยู่ก็ตาม เพราะเหตุว่ายังไม่ได้ดับกิเลสประเภทนี้โดยเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีความมั่นคงที่จะอบรมเจริญกุศลประการต่างๆ รวมทั้งการศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะ อบรมเจริญปัญญาต่อไปครับ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 1 ต.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 2 ต.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 2 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
วิริยะ
วันที่ 3 ต.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ