คนตายมีแค่ 8 รูป

 
papon
วันที่  6 ส.ค. 2557
หมายเลข  25229
อ่าน  911

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

คำบรรยายของท่านอาจารย์ "คนตายมีแค่ 8 รูป " คำบรรยายตอนหนึ่งในแนวทางการเจริญวิปัสสนาตอนนี้ 23.10 น.อ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาให้คำอธิบายความด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คนตาย ก็คือ ร่างกายที่ไม่มีจิต เจตสิกเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นเพียงการประชุมรวมกันของรูปธรรมเท่านั้น ซึ่งก็มีเพียง ๘ รูปเท่านั้น สำหรับคนตาย ไม่ต่างจากต้นไม้ ภูเขา เพราะ ไม่มีจิต เจตสิกเกิดขึ้นต่อไปอีกครับ ซึ่งคนตาย ก็มีเพียง ๘ รูป เรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ ดังนี้

มหาภูตรูป (รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน) ๔ ได้แก่

ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) เป็นรูปที่อ่อนหรือแข็ง

อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เป็นรูปที่เอิบอาบหรือเกาะกุม

เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) เป็นรูปที่ร้อนหรือเย็น

วาโยธาตุ (ธาตุลม) เป็นรูปที่ไหวหรือตึง

มหาภูตรูป ๔ นี้ ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น จึงแยกกันไม่ได้เลย และมหาภูตรูป ๔ นี้ เป็นปัจจัย โดยเป็นที่อาศัยเกิดของรูปอีก ๔ รูป ที่เกิดร่วมกับมหาภูตรูปในกลาปเดียวกัน คือ อุปาทายรูป ๔ ได้แก่

วัณโณ (แสงสี) เป็นรูปที่ปรากฏทางตา

คันโธ (กลิ่น) เป็นรูปที่ปรากฏทางจมูก

รโส (รส) เป็นรูปที่ปรากฏทางลิ้น

โอชา (อาหาร) เป็นรูปที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป

รูป ๘ นี้แยกกันไม่ได้เลย เป็นกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดที่เกิดพร้อมกัน และดับพร้อมกันอย่างรวดเร็ว จะมีแต่มหาภูตรูป ๔ โดยไม่มี อุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) ๔ รูปนี้ไม่ได้เลย รวม ๘ รูป เรียกว่า อวินิพโภครูป คนตาย มี ๘ รูปนี้เท่านั้น ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 7 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 7 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริง ของรูปธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ คนที่ตายแล้ว ไม่มีชีวิตินทริยรูป ซึ่งจะแตกต่างไปจากคนที่ยังไม่ตาย ซึ่งมีชีวิตินทริยรูปเกิดขึ้นเป็นไป

เมื่อละจากโลกนี้ไป ร่างกายมีวิญญาณไปปราศแล้ว หาประโยชน์มิได้ ในที่สุดก็จะต้องเน่าเปื่อยผุพังไม่ช้าก็เร็ว เป็นเพียงรูปธรรมที่เกิดเพราะอุตุเท่านั้น

สิ่งที่ควรจะได้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ ในขณะนี้กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะรู้ความจริงว่า วันหนึ่งเราก็จะต้องตาย ตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง แต่ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า การที่จะจากโลกนี้ไปนั้นจะจากไปด้วยปัญญาที่อบรมจนกระทั่งเจริญขึ้นหรือว่าจะจากไปโดยที่ว่าไม่สนใจฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเลย?

ขณะนี้ทุกคนมีร่างกายซึ่งเป็นที่รักที่พอใจอีกไม่นานร่างกายนี้ก็จะเน่าเปื่อยผุพัง แล้วชาติหน้าจะมีรูปร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับว่า การกระทำทางกาย ทางวาจา เป็นไปด้วยอำนาจของอกุศลที่ครอบงำย่ำยีจิตใจหรือไม่ ที่จะทำให้ร่างกายในชาติต่อไป พิกลพิการ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่น่าดู หรือ จนกระทั่ง ทำให้ถึงความเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งก็เป็นเรื่องของขณะจิตที่เร็วมาก เร็วยิ่งกว่ากะพริบตาก็สามารถเปลี่ยนสภาพความเป็นบุคคลนี้ทั้งหมด จากการเป็นมนุษย์ในสุคติภูมิ ไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาทมัวเมา

แต่สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ตามระดับขั้นของความเข้าใจ ของตนเอง ดังนั้น พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง และ จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาเห็นประโยชน์ พร้อมทั้งมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อละคลายขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวันเท่านั้น ดังนั้น แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ควรจะได้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจพระธรรม ซึ่งจะเข้าใจได้ ก็ด้วยการฟัง การศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จริงๆ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 7 ส.ค. 2557

นามธรรม เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ ส่วน รูปธรรมหมายถึงสิ่งที่ไม่ใช่สภาพรู้ เช่น รูป ไม่รู้สึกสุข ทุกข์ เพราะฉะนั้นคนที่ตายแล้วท่านเปรียบเหมือนท่อนไม้ จะลุกขึ้นมาทำความดีไม่ได้ จะฟังธรรมก็ไม่ได้ ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ