โอฆะ และอรรณพ

 
kullawat
วันที่  3 ก.ค. 2557
หมายเลข  25052
อ่าน  5,285

เรียนท่านวิทยากร
จากอาฬวกสูตร กล่าวถึง
จะข้ามโอฆะ ได้อย่างไร (ตรัสตอบว่า ข้ามได้ด้วยศรัทธา) จะข้าม อรรณพ ได้อย่างไร (ตรัสตอบว่า ข้ามได้ด้วยความไม่ประมาท) คือ สงสัยระหว่างโอฆะ และอรรณพ มีความแตกต่างกันอย่างไรค่ะ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โอฆะ หมายถึง ห้วงน้ำ คือ กิเลส ที่เป็น โอฆะ 4 ประการ

อรรณพ หมายถึง ห้วงน้ำที่ลึก กว้างใหญ่ หมายถึง สังสารวัฏฏ์ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่ไม่มีที่สิ้นสุด ครับ และ หมายถึงกิเลสด้วย

เพราะฉะนั้น ทั้งโอฆะ และ อรรณพ ก็มีอรรถ ความหมายที่เหมือนกัน เพียงแต่ อรรณพ แสดงถึง สังสารวัฏฏ์ ด้วยเท่านั้น ครับ

[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 433

ในคาถานั้น เหมวตยักษ์ทูลถามถึงเสกขภูมิว่า ใครเล่าข้ามโอฆะสี่ได้ ด้วยบทนี้ว่า ในโลกนี้ ใครเล่าข้ามโอฆะได้. โดยไม่แปลกกัน เพราะคำว่า อณฺณว ได้แก่ ห้วงน้ำซึ่งมีประมาณไม่กว้างและไม่ลึก

ก็อีกอย่างหนึ่ง อรรณพเช่นกับที่ท่านกล่าวว่า ทั้งกว้างกว่าและลึกกว่านั้นแล ชื่อว่า อรรณพ คือ สังสารวัฏ ก็อรรณพ คือ สังสารวัฏนี้ โดยรอบก็กว้าง เพราะไม่มีที่สุด โดยเบื้องต่ำ ก็ลึก เพราะไม่มีที่ตั้ง โดยเบื้องบน ก็ลึกเพราะไม่มีที่ยึดเหนี่ยว เพราะฉะนั้น เหมวตยักษ์จึงทูลถามถึงอเสกขภูมิว่า ในโลกนี้ ใครเล่าข้ามอรรณพได้ และใครย่อมไม่จมลงในอรรณพที่ลึกซึ้งนั้น ไม่มีที่พึ่งไม่มีที่ยึดเหนี่ยว.

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โอฆะ เป็นกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่ ที่ท่วมทับหมู่สัตว์อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังพัดพาให้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ไม่ให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน ไม่ให้ถึงการดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด โดยสภาพธรรมของกิเลสที่เป็นดุจห้วงน้ำใหญ่ นั้น ไม่พ้นไปจาก โลภะความติดข้องยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน (รวมถึงความยินดีในภพ ความยินดีในขันธ์ด้วย) นอกจากนั้นก็ยังมีทิฏฐิ ซึ่งเป็นความเห็นผิด และอวิชชา ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

บุคคลผู้ที่จะข้ามกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่ได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น จึงไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เป็นผู้หมดจดจากกิเลส ไม่จมลงอยู่ในกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่อีกต่อไป นอกจากการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะนอกจากปัญญาแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาดับกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา ซึ่งต้องเริ่มอบรมเจริญจากการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ครับ .

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

โอฆะ...?

จมอยู่โดยนัยของโอฆะ ๔ [อุทกูปมสูตร]

ผู้ข้ามโอฆะแล้ว [กติฉินทิสูตร]

โอฆะ ๔.....และบุคคล ๗ จำพวก

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส ย่อมถูกท่วมทับด้วยกิเลสประการต่างๆ ทั้งโลภะ ความติดข้องยินดี พอใจ, มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากความเป็นจริง, โมหะ (อวิชชา ความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริง) และ กิเลสประการอื่นๆ อีกมากมาย จึงเป็นผู้ไหลไปตามกิเลส อีกทั้งยังถูกกิเลสเหล่านี้พัดพาให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ไม่ให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน เนื่องจากว่ายังเป็นผู้มีกิเลสอยู่ จึงยังต้องเดินทางไกล คือ สังสารวัฏฏ์ ไม่พ้นไปจากการเกิดการตายได้ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง ไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้น ไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เป็นผู้หมดจดจากกิเลส ไม่จมลงอยู่ในห้วงของกิเลส และ ไม่มี-การเดินทางไกล คือสังสารวัฏฏ์ อีกต่อไป นอกจากการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะนอกจากปัญญาแล้วไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาดับกิเลสได้เลย ดังนั้น จึงควรที่จะเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา ซึ่งต้องเริ่มอบรมเจริญจากการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับที่สำคัญ ไม่ขาดการฟัง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 3 ก.ค. 2557

โอฆะ คือ ห้วงน้ำเป็นกิเลส มีในชีวิตประจำวัน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kullawat
วันที่ 3 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 3 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 4 ก.ค. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ