การอริยุปวาท

 
มัจฉา
วันที่  4 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24939
อ่าน  5,018

ถ้าหากเราเคยทำอริยุปวาทกรรมไปแล้ว เพียงแค่การคิดในใจ ยังไม่ล่วงออกมาทางวจีกรรม เราจะแก้กรรมได้ไหมคะ ถ้าเรามีเจตนามากจนถึงขั้นร้ายแรงมาก ถ้าหากไม่สามารถไปพบพระอริยเจ้าได้ เราจะขอขมาต่อพระพุทธรูปที่บ้าน หรือพระประธานที่วัดได้ไหมคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อริยุปวาท คือ เจตนา ว่าร้ายพระอริยเจ้า ซึ่งมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวก รวมทั้งแม้พระอริยเจ้าที่เป็นคฤหัสถ์ การมีเจตนาด้วยจิตที่เป็นอกุศล เจตนาว่าร้ายและทำการว่า ร้าย ชื่อว่า อริยุปวาท ซึ่งการติเตียนว่าร้ายพระอริยเจ้า ก็ด้วยการกล่าวว่าร้ายในสิ่งที่ไม่จริง เป็นต้น ว่ากล่าวว่าไม่มีคุณความดี ติโทษพระอริยะเจ้าครับ ซึ่งโทษก็คือห้าม สวรรค์และมรรคผล นิพพาน โทษหนักเท่าอนันตริยกรรม

การกล่าวว่าร้ายพระอริยเจ้า คือ บุคคลนั้น จะต้องเป็นพระอริยเจ้า และไม่ใช่เพียงคิดในใจ แต่มีเจตนาพูดออกมาว่าร้ายท่าน ด้วยคุณธรรมของท่านเป็นสำคัญ ว่าท่านไม่ได้มีคุณธรรมอย่างนี้ เป็นต้น อริยุปวาท สำคัญที่เจตนา ว่ามีเจตนาว่าร้ายที่เป็นผรุสวาจาหรือไม่ แม้การขอขมาก็เช่นกัน สำคัญที่เจตนา หากมีเจตนาขอขมา สำนึกผิด และกล่าวการขอขมา หากท่าน มรณภาพไปแล้ว ก็สามารถที่จะไปที่วัดที่มีการทำการเผาศพท่านก็ได้ หรือ นึกถึงท่าน และ ขอขมาก็ได้ เพราะ มีเจตนาที่จะสำนึกในสิ่งที่ทำไป และกล่าวขอขมาด้วยเจตนาการขอขมานี้ ก็เป็นการที่จะเห็นโทษ และ ไม่กั้นสวรรค์มรรคผล ในชาตินั้น สบายใจได้นะครับ

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 220

ถ้าพระอริยะนั้นเป็นเอกจาริกภิกขุ (ภิกษุผู้จาริกไปผู้เดียว) สถานที่อยู่ของท่านไม่มีใครรู้ สถานที่ไปขอท่านเล่าก็ไม่ปรากฏไซร้ ก็พึงไปหาภิกษุที่เป็นบัณฑิตรูปหนึ่ง แล้วบอก (ปรึกษาท่าน) ว่า "ท่านขอรับ กระผมได้กล่าวถึงท่าน กะท่านผู้มีอายุชื่อโน้น วิปฏิสาร (เกิดมีแก่กระผมทุกทีที่ระลึกถึงท่าน กระผมทำอย่างไร (ดี) " ภิกษุบัณฑิตนั้นจะกล่าวว่า "ท่านอย่าคิดไปเลย พระเถระจะย่อมอดโทษให้แก่ท่าน ท่านจงทำจิตให้ระงับเถิด" ฝ่ายเธอก็พึงบ้างหน้าต่อทิศทางที่พระอริยะไป ประคองอัฐชลีกล่าว (ขึ้น) ว่า "ขมตุ" ขอพระเถระนั้นจงอดโทษเถิด"

ถ้าพระอริยะนั้นเป็นผู้ปรินิพานเสียแล้ว เธอพึงไป (ให้) ถึงที่ที่นับว่าเป็นเตียงที่ท่านปรินิพพาน กระทั่งถึงป่าช้าผิดิบก็ดี ขอขมา (ท่าน) เถิด

เมื่อได้ทำ (การขอขมา) เสียได้อย่างนี้แล้ว กรรมนั้นก็ไม่เป็นสัคคาวรณ์ ไม่เป็นมัคคาวรณ์เลย (กลับ) เป็นปกติเท่านั้นเองแล

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มัจฉา
วันที่ 4 มิ.ย. 2557

แล้วถ้าเราจะขอขมาต่อพระพุทธรูปที่บ้านได้ไหมคะ หมั่นขอขมาทุกๆ วันค่ะ คือจิตยังมีกิเลสห้ามความคิดไม่ได้ มีทั้งเจตนาคิดและไม่เจตนาคิดรวมกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 4 มิ.ย. 2557

ได้ครับ สามารถขอขมา ที่เคยคิดในใจไม่ดี ได้ต่อหน้าพระพุทธรูปบ่อยๆ ได้ ครับ

ที่สำคัญ อกุศลเกิดแล้วย่อมไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดกับใครแต่อย่างไรก็ดี ประโยชน์ไม่ได้อยู่ที่ เมื่อไม่มีผล ก็จะไม่เป็นไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ควรจะเห็นโทษในการกระทำแม้ทางใจ ที่เป็นอกุศล และสำรวมระวังต่อไป และเป็นผู้เห็นโทษในอกุศล ในกิเลสที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านมา ก็ทำบาปมามากมาย ซึ่งย่อมอาจจะมีกับพระรัตนตรัยด้วย จึงควรจะมีโอกาสที่จะขอขมาพระรัตนตรัย ในบางครั้ง บางโอกาสที่สมควร โดยการกล่าว หรือ คิดในใจด้วยเจตนาขอโทษขอขมาว่า บุญใดอันข้าพเจ้า ผู้ไหว้พระรัตนตรัย ได้ประกอบแล้วในทวีปนี้ ด้วยเดชะบุญนั้น ขออันตรายคือความเห็นผิด จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า กรรมอันน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินแล้ว ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ได้โปรดอดโทษแก่ข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้สำรวมระวังในพระรัตนตรัย ในกาลต่อไป

ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ

ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นความชัดเจน ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไร ก็ควรที่จะให้ได้เข้าใจกระจ่างเท่าที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น คุณบุษกรก็คงคิดถึงว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ปรินิพพานแล้ว แล้วเราจะไปขอขมาอะไรอย่างนี้ ก็ดูเหมือนว่า แล้วจะหายหรือ ที่เราได้กระทำไป ขอขมา แต่ว่าตามความเป็นจริง ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้กระทำกรรมแล้ว ถึงแม้คนอื่นจะยกโทษ แต่กรรมนั้นก็ยังเป็นเหตุให้เกิดผล ถูกไหมคะ?

เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็มีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม โดยเฉพาะการที่จะกล่าวคำขอโทษ หมายความว่า คนนั้นต้องรู้สึกตัวจริงๆ ว่าทำสิ่งที่ผิด เพราะว่าไม่ควร เพราะฉะนั้น บางคนรู้ตัวว่าผิด ขอโทษไม่ได้ไม่ได้เลยค่ะ ทั้งๆ ที่ผิด ก็ไม่ยอมที่จะขอโทษ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีกุศลจิต ไม่ละอายในอกุศลที่ได้กระทำแล้ว ต่อสิ่งที่เป็นพระรัตนตรัยหรือว่าบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่เกิดกุศลจิต นอบน้อมต่อผู้ที่เราขอขมา เป็นการแสดงความเคารพ ความนอบน้อมนั่นเองค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 4 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้ทำผิดแล้ว สำนึกผิด เห็นโทษโดยความเป็นโทษแล้วมีความจริงใจที่จะน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงามต่อไป ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เป็นความประพฤติเป็นไปของคนดี

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจึงเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา พิจารณาไตร่ตรอง แล้วน้อมที่จะประพฤติตามพระธรรมขัดเกลากิเลสของตนเอง ย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งเมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ก็จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีคำสอนแม้แต่บทเดียวที่จะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้คนเกิดอกุศลเลย แม้เพียงเล็กน้อย พระธรรมจึงเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสอย่างแท้จริง เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเป็นเครื่องนำทางชีวิตแล้ว ก็จะทำให้ความประพฤติเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควรยิ่งขึ้น ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ครับ.

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 4 มิ.ย. 2557

นึกว่าร้ายในใจเป็นอกุศลจิต ภายหลังสำนึกก็ตั้งใจว่าคิดใหม่ คิดในทางที่ดี นอบน้อมคิดในทางกุศล เคารพเลื่อมใสด้วยศรัทธา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มัจฉา
วันที่ 5 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
peem
วันที่ 3 ต.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 20 ก.ย. 2558

สาธุ อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ