ธรรมะจากน่าน

 
kanchana.c
วันที่  21 ก.พ. 2557
หมายเลข  24502
อ่าน  2,406

โชคดีที่มีโอกาสได้เดินทางไปพักผ่อนพร้อมกับท่านอาจารย์และสมาชิกชมรมบ้าน ธัมมะทีจังหวัดน่าน แม้ผู้จัด คือ ดร. อนุสรณ์ กุศลวงศ์ไม่ได้ร่วมเดินทางด้วย เพราะต้อง ดูแลคุณพ่อสากล อัตตปัญโญที่ป่วยก็ตาม แต่คุณเดือนฉาย ค่ำอำนวย ประธานฝ่าย จัดการท่องเที่ยวของชมรมบ้านธัมมะ ก็ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ ทำให้สมาชิกทั้งหมด 1 คันรถทัวร์ 35 คน ทางเครื่องบิน 14 คน และรถส่วนตัว 1 คัน 5 คน รวมทั้งสิ้น 54 คนได้ รับความสะดวกสบายทุกอย่าง ขอขอบคุณและอนุโมทนาที่เสียสละทำหน้าที่นี้ ค่ะ

เมื่อเดินทางไปถึงที่สนามบินพร้อมกับท่านอาจารย์ ผู้เดินทางไปก่อนทางสถลมารค (ถนน) ก็มาต้อนรับท่านอาจารย์ที่สนามบินพร้อมกับคณะทหารที่เดินทางมาดูแล และ สนทนาธรรมที่ห้องรับรอง VIP เมื่อพร้อมกันแล้วก็พากันขึ้นรถชมเมืองน่าน เมืองเล็กๆ น่า รักที่สงบเงียบ มีวัดวาอารามอาราม เจดีย์ ให้ชมทั่วเมือง แต่เห็นแล้วก็ลืมจริงๆ ว่าได้ เที่ยวดูชมอะไรบ้าง แต่ช่างภาพทั้งหลาย มีคุณวันชัย ภู่งาม เป็นต้น คงจะนำภาพมา ประกอบเช่นเคย

หลังจากนั้นเดินทางไปพักที่โรงแรมชมพูภูคาอ. ปัว ระหว่างทางเห็นดอกฝ้ายคำ หรือ มีชื่อเพราะๆ ว่า สุพรรณิการ์ ออกดอกสีเหลืองทองเต็มต้นที่เกาะกลางถนน รถผ่าน อ. ท่าวังผา เห็นธงแดงปักหน้าหมู่บ้านหลายแห่ง เห็นสีเหลืองของดอกฝ้ายคำกับธงแดง ตัดกันชัดเจน ในอดีตน่านก็เป็นที่อยู่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) แม้ความคิดที่เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง ก็ยังเป็นปัจจัยให้แสดงออกมาเป็นสีเหลือง สีแดง แบ่งพวกต่อสู้กัน เพราะความไม่รู้ว่า แม้ความคิดนั้นก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา คิดแล้วก็ดับไป แล้วก็คิดอย่างอื่นต่อไป

แต่เพราะต่างก็ยังไม่เข้าใจตามความเป็นจริง จึงยังคงยึดถือความเห็นของตนว่า ถูกต้อง ของคนอื่นไม่ถูก พยายามทำให้ถูกตามความเห็นของตนเหมือนๆ กัน และ จะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในสังสารวัฏ ที่หมุนเวียนไปอย่างรวดเร็ว เหมือนลูกข่างที่ ถูกหมุนอย่างเร็วจนเหมือนอยู่นิ่งๆ หมุนอยู่ก็ยังไม่รู้ว่าหมุน เช่นเดียวกับเห็น ได้ยิน คิดนึก เกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก แล้วจะหาความเป็นเราจากสิ่งที่ดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกได้อย่างไร เราจะอยู่ตรงไหน ในเมื่อสิ่งนั้นไม่มีแล้ว แต่ที่ยังคงมีอยู่ ก็เพราะยังจำได้ ซึ่งความจำก็ไม่เหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดแล้วจริงๆ จำได้เฉพาะสิ่งที่ ฝังใจหรือติดข้อง ถ้าไม่คิดถึงสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็เหมือนไม่มีเลย มีหลายอย่างที่เราจำได้ แต่คนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์เดียวกันจำไม่ได้เลยก็มี เพราะไม่ใส่ใจในสิ่งนั้นเหมือนกับ คนที่จำได้ ลองไปถามคนที่ไปน่านครั้งนี้ดูก็ได้ว่า จำได้ไหมว่า สีเหลืองของดอกฝ้ายคำ และธงแดงที่หมู่บ้าน อ.ท่าวังผาเป็นอย่างไร หลายคนก็อาจจะบอกว่า ไม่เห็นเลยก็ได้

เช้าวันรุ่งขึ้นนั่งรถขึ้นภูเขาไปทางตะวันตก จุดหมายปลายทาง คือ อ.บ่อเกลือ และศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ใกล้ชายแดนลาว ระหว่างทางเห็นเทือกเขาสูงเป็นสีครามสวยงาม ดูชุ่มชื่นกว่าในเมือง เห็นดอกไม้ป่าหลายชนิดตามไหล่เขา ดอกเสี้ยวสีชมพูอ่อนๆ ออกดอกทั้งภูเขา บางแห่งมีดอกทองหลางป่าสีส้มจัดเป็นหย่อมๆ สลับกับสีเขียวของป่า ทั่วไป โลกนี้ตระการดุจราชรถจริงๆ คนเขลาเช่นเรายังมีเหตุปัจจัยให้ติดข้องอยู่ ไม่อยาก หลุดพ้นไปจากภาพสวยงามที่เพียงปรากฏให้เห็นทางตา เมื่อได้เห็นได้ชมผ่านไปแล้ว ก็ สอดส่ายสายตาหาสิ่งอื่นๆ ชมไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้งๆ ที่ท่าน อาจารย์เตือนเสมอว่า เห็นเพื่อลืม คิดเอาเองว่า ลืมว่า เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ลืม ว่าเป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เสมอกับธรรมะอื่นๆ ทั้งหมด แต่เพราะยังไม่เข้าใจตามความเป็นจริง จึงยังไม่ประพฤติเสมอว่า ทุกอย่างเป็น ธรรมะที่มีลักษณะเหมือนๆ กัน คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ปรากฏแล้วก็ดับไป และไม่กลับมาอีกเลย ในสังสารวัฏ

แวะที่จุดชมวิวเพื่อชมต้นชมพูภูคา สัญลักษณ์ของเมืองน่าน ต้นไม้ที่ขึ้นเฉพาะ บนภูเขาสูงที่นี่ เพราะอากาศเย็นและความสูงจากระดับน้ำทะเลพอเหมาะ เขาบอกว่าไป ปลูกที่อื่นไม่ได้ (“เขาบอก” เพราะได้ฟังมาอย่างนั้น ไม่ได้ค้นว่าจริงหรือเปล่า) ต้นใหญ่ ที่มีอายุยืนนานนั้นตายแล้ว เหลือต้นขนาดกลางที่เพิ่งออกดอกตูม อาทิตย์หน้าคงบาน เต็มที่ และมีต้นเล็กๆ ที่เพาะจากเนื้อเยื่อปลูกอยู่หลายต้น คงอีกหลายปีกว่าจะออกดอก แต่ก็มีภาพดอกชมพูภูคาติดไว้เป็นกรอบให้จินตนาการว่า สวยงามเพียงใด ถ้าไม่มีภาพ อาจจะจินตนาการไปคนละอย่างตามการสะสม จึงต้องมีตัวช่วยให้คิดในกรอบ

ที่จุดชมวิวนี้ นอกจากต้นชมพูภูคาแล้ว ยังมีต้นเต่าร้างยักษ์ซึ่งมีลักษณะคล้าย ต้นปาล์ม ที่คนขับรถตู้ชาวม้งเล่าให้ฟังว่า เป็นต้นไม้อัศจรรย์ เพราะถ้าเอาแกนในของ ต้นไปต้ม จะเป็นอาหารที่มีลักษณะเหมือนเมล็ดข้าวโพด บนภูเขานั้นอากาศเย็นปลูก ข้าวเมล็ดก็ลีบ จึงหาอาหารจากต้นเต่าร้างที่เดิมมีมากมายบนเขา

จากนั้นไปเที่ยวชมบ่อเกลือ สิ่งมหัศจรรย์อีกแห่งหนึ่ง เพราะบ่อเกลือที่เห็นเป็น บ่อเกลือสินเธาว์ที่มีค่ามาก ในสมัยโบราณต้องสู้รบกันเพื่อแย่งชิงบ่อเกลือ เพราะห่าง ไกลทะเล เกลือจึงเป็นสิ่งที่หายากพอๆ กับทองคำ บ่อเกลือที่เห็นเป็นเหมือนบ่อน้ำ บาดาล ที่ลึกมาก มองลงไปสุดสายตา ชาวบ้านต้องใช้รอกดึงกระป๋องน้ำเกลือขึ้นมาใส่ ตุ่มซีเมนต์บนปากบ่อ แล้วต่อท่อไปตามโรงทำเกลือของแต่ละบ้าน เพื่อต้มน้ำจนเป็น เกลือขาย ข้างๆ บ่อเกลือเป็นลำธารสายเล็กๆ ที่มีน้ำจืดสนิทไหลผ่าน มีกระทะต้มเกลือ ที่ใช้งานนานแล้วจนเกลือเกาะหนาแช่ไว้ในลำธารให้เกลือหลุดออกไป มีปลาว่ายวน มากมาย ชาวบ้านหัวใสขายอาหารปลาให้นักท่องเที่ยวซื้อไปเลี้ยงปลาด้วย

หลายคนประหลาดใจว่า บ่อเกลือกับลำธารก็อยู่ติดๆ กัน แต่ทำไมน้ำในลำธารจึง ไม่เค็ม และน้ำในบ่อเกลือก็ไม่จืดลง เพราะถ้าจืดคงต้มแล้วไม่เป็นเกลือ คิดเอาเองว่า คงเพราะใต้ดินเป็นหินแข็งหนากั้นระหว่างบ่อเกลือกับลำธาร ทำไห้น้ำไม่ซึมถึงกัน น้ำจืดก็ยังคงจืด น้ำเค็มก็ยังเค็มอยู่เหมือนเดิมเป็นร้อยๆ ปี พันๆ ปี ทั้งๆ ที่น้ำจืดและน้ำ เค็มต่างกันเป็นน้ำเหมือนกัน แต่มีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน เหมือนกุศลกับอกุศลไม่ปะปน กัน กุศลก็เป็นกุศล อกุศลก็เป็นอกุศล ถึงแม้จะเป็นธรรมะเหมือนกัน แต่ก็มีลักษณะต่าง กัน ทำกิจต่างกันและให้ผลต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือเกิดแล้วดับทันทีเหมือนกัน ความ คิดยังวิจิตรต่อไปอีกว่า ที่ปากอ่าว แม่น้ำยังกร่อยเวลาน้ำขึ้น เพราะน้ำเค็มมาผสม หรือ บางเวลาน้ำทะเลยังจืดทำให้สัตว์ทะเลตาย เพราะไม่มีเครื่องกั้นระหว่างน้ำทะเลกับ น้ำจืด เหมือนเครื่องกั้นที่บ่อเกลือแห่งนี้ เช่นเดียวกับคนพาลกับบัณฑิต ถ้ายังไม่เข้าใจ ความจริงอย่างมั่นคงจนเป็นพระอริยบุคคลแล้ว คบกับคนพาลก็สามารถทำให้เป็นคน พาลได้ และถ้าได้สะสมบุญไว้แต่ชาติปางก่อน ได้มีโอกาสฟังธรรมจากบัณฑิต ก็ สามารถเป็นบัณฑิตได้เช่นกัน

วันสุดท้ายที่อำเภอปัว อากาศหนาวเย็นกว่าทุกวัน ตื่นแต่เช้าเพื่อไปชมตลาดสด ดูวิถีชีวิตของชุมนุม มีของขายแปลกๆ ที่ไม่รู้จัก ต้องถามแม่ค้า ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพร นำมาใส่แกงพื้นบ้าน มีรังผึ้งที่ยังมีตัวอ่อนขายขีดละ 30 บาท เขาบอกว่าตัวอ่อนตาย แล้ว (ถ้าไม่ตายแล้วจะดิ้น หรือไม่ดิ้นเพราะหนาวก็ไม่รู้นะ แต่อย่างไรตัวอ่อนเหล่านั้น ก็ต้องตายอยู่ดี เพราะไม่มีผึ้งงานนำน้ำหวานมาเลี้ยง คงไม่บาปนะ) จึงซื้อกลับมาให้ แม่ครัวที่โรงแรมทาเกลือ ห่อใบตองนึ่ง มาแบ่งกันชิม เพราะรู้ว่า มีสารอาหาร ที่มีประโยชน์สูง รสชาติมันๆ แปลกๆ บางคนก็กลัวไม่กล้าลองชิม บอกว่าเหมือน หนอน (ก็คือหนอนนั่นเอง ไม่ใช่เหมือนหรอก) แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้ชิม เพราะไม่มีเหตุ ปัจจัยทำให้ชิวหาวิญญาณเกิดสำหรับลิ้มรสอย่างนี้ในขณะนั้นนั่นเอง

หลังอาหารเช้า มีพระคุณเจ้าจากวัดใกล้ๆ ๒ รูป ที่ได้อ่านจากเว็บไซต์ว่า ท่านอาจารย์ จะมาพักผ่อนที่น่าน เมื่อติดต่อกับมูลนิธิฯ ทราบว่า ท่านอาจารย์พักที่ปัว ท่านเคยฟัง ธรรมะทางวิทยุไม่เคยเห็นตัวจริง จึงมาขอสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ พวกเราดีใจที่มี สนทนาธรรม อาจารย์คำปั่นบอกว่า มีแต่คนถามว่าเมื่อไรจึงจะสนทนาธรรม อยากฟังมาก แต่พอถึงเวลาสนทนาธรรมจริงๆ ก็ง่วงบ้าง หรือชมวิวภูเขาสลับซับซ้อนที่อยู่เบื้องหน้า อย่างเพลิดเพลิน ลืมฟังก็มี บางคนก็ติดตามข่าวสารการเมืองอยู่ในห้องนอน ไม่ยอมออก มาฟังก็มี ตามเหตุปัจจัยที่สะสมไว้แล้วจริงๆ

ท่านอาจารย์เริ่มการสนทนาด้วยการกล่าวถึง “อริยสาวิตรี” คำฉันท์ที่เลิศ ประเสริฐที่สุด คือ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ซึ่งจะเป็นที่พึ่งได้เมื่อได้เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรง บำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรมและทรงแสดงธรรมนั้นแก่ผู้ที่ได้สะสมปัญญา บารมีมามากพอที่จะเข้าใจตามได้ และพระอริยสงฆ์ ผู้เข้าใจพระธรรมแล้วประพฤติปฏิบัติ ตามจนรู้แจ้งอริยสัจธรรมเช่นกัน ได้เผยแพร่พระธรรมคำสอนนั้นสืบทอดจนมาถึงรุ่นเรา ต่อไปนี้เป็นการสนทนาธรรมบางส่วนที่จำได้ ที่จำไม่ได้ทั้งหมด เพราะบางครั้งก็มอง เทือกเขาสลับซับซ้อนสีครามเข้มสวยงามตรงหน้า อากาศเย็นสบาย รื่นรมย์ จนลืมฟัง ด้วยดี

พระภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า วันนี้ไม่กล้าถามมาก เพราะทราบว่าท่านอาจารย์มา พักผ่อน ชื่นชมกับบรรยากาศเย็นสบาย สายลม แสงแดด วันหลังจะเรียนเชิญท่าน อาจารย์มาเพื่อถามมากๆ วันนี้ขอถามแค่ 3 ข้อ คือ ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไร เรียนอภิธรรม เริ่มอย่างไร ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นอย่างไร และสุดท้ายก็ถามเรื่องปฏิจจสมุป ปาท (ที่ถามมานั้น ก็ต้องฟังกันตลอดชีวิตจึงจะเข้าใจ) ท่านอาจารย์ตอบว่า ทั้งหมดที่ถามนี้เกี่ยวข้องกับธรรมะ จึงต้องเข้าใจก่อนว่า ธรรมะ คืออะไร ... ธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง ศึกษาธรรมะ คือเข้าใจสิ่งที่มีจริง ฟัง แล้วไตร่ตรองแล้วเข้าใจสิ่ง ที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ฟังเข้าใจเพิ่มขึ้น จนเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา ...ฟังเพื่อไตร่ตรอง ไม่ใช่ฟังไปเรื่อยๆ ลืมก็ฟังอีก จนกว่าจะเป็นความจำที่มั่นคงว่า ทุก อย่างเป็นธรรมะ

...วัฏฏะ วนเวียน เหมือนลูกข่างหมุนเร็วจนเหมือนไม่หมุน ทั้งเห็นและสิ่งที่ปรากฏก็เกิด ดับอย่างรวดเร็ว ที่ไม่เห็นอย่างนี้ เพราะไม่เข้าใจ เป็นอวิชชา ไม่ใช่เรา ...อริยทรัพย์มีมากหรือมีน้อย เป็นคนจนหรือรวย ถึงแม้จะมีสิ่งที่น่าพอใจมากมาย แต่จิต เห็นเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย จริงๆ แล้วไม่ใช่สมบัติของใคร ...สิ่งที่มีทั้งหมด ไม่เคยรู้ตามความเป็นจริงเลย ... ศรัทธาเป็นเพื่อนสอง เพื่อนที่เป็นกุศล โลภะก็เป็นเพื่อนสอง เพื่อนที่เป็นอกุศล สนิท กับใครมากกว่ากัน

พระถามเรื่องปฏิจจสมุปปาท ท่านอาจารย์ตอบว่า เป็นชื่อ ถ้ายังไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ เป็นธรรมะ ที่พูดธรรมะทั้งหมดเป็นการบ่นเพ้อธรรมะ ขณะนี้เห็นก็ไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ จึงทำให้นึกคิดปรุงแต่งชอบไม่ชอบ (อวิชชา ความไม่รู้ เป็นปัจจัยแก่สังขาร คือการปรุงแต่ง ซึ่งได้แก่เจตนาเจตสิกเป็นต้น) ... ที่ไม่รู้เพราะอวิชชา ... เมื่อไรคำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรมะ” จะอยู่ในใจ จะฟังเรื่องใด แล้วไม่ลืมว่าเป็นธรรมะ ทั้งหมดที่สามารถรู้ได้ แต่จะรู้หรือไม่แล้วแต่บุญที่ได้สะสมมาแล้ว

ฯลฯ

สนทนาธรรมจบเวลา 11 โมง พวกเราร่วมกันถวายภัตตาหารเพลแก่พระคุณเจ้า คุณจิรา พร ศรีสมุทร นำหนังสือของมูลนิธิไปถวายพระคุณเจ้าด้วย รวมทั้งหนังสือใหม่ของคุณ วีณา พจน์ประสาท แล้วนั่งรถเดินทางกลับน่าน เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับเวลา 16.30 น.

ก่อนถึงสนามบินได้กราบนมัสการพระธาตุแช่แห้ง ซึ่งในประวัติที่เขียนไว้หน้าพระเจดีย์มี ย่อๆ ว่า พระมหาธาตุแห่งนี้ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายได้อัญเชิญพระบรม สารีริกธาตุข้อพระหัตถ์ด้านซ้าย และเศษของพระสรีรังคารธาตุมาประดิษฐานไว้อีกครั้ง หนึ่ง เพื่อให้มนุษย์และเทวดาได้สักการะตราบ 5,000 พระวัสสา ที่สนามบิน มีผู้ฟังธรรมะจากจังหวัดน่าน เป็นครูโรงเรียนมัธยมพาลูกศิษย์ชั้น ม. 4 มาก ราบเรียนถามธรรมะกับท่านอาจารย์อีก คุณครูบอกว่า ฟังธรรมะมาประมาณ 5 ปี แล้วไป สอนนักเรียนด้วย จะเห็นว่าไม่ว่าที่ไหนก็มีผู้สนใจจะฟังความจริงแท้ แล้วแต่โอกาสของ แต่ละคนจริงๆ

จะเห็นได้ว่า เวลาของท่านอาจารย์ช่างมีคุณค่าแก่ผู้สนใจพระธรรมจริงๆ ทหารที่ติดตาม มาดูแลท่านอาจารย์ ได้จองห้อง VIP เพื่อความสะดวกแก่การสนทนาธรรม จนถึงเวลา เครื่องบินออก กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ที่นำความจริงมาแสดงแก่ผู้สนใจทุกครั้ง ทุก สถานที่ ค่ะ

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม...

เยือนเมืองน่าน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอบพระคุณ อาจารย์กาญจนามากๆ เลยครับ

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
orawan.c
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
montha
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

อ่านแล้วเหมือนไปเอง ได้ทั้งภาพ และ ธรรมะ อริยสาวิตรี

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 21 ก.พ. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์กาญจนา

เป็นอย่างยิ่ง ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 22 ก.พ. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงและทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 22 ก.พ. 2557

...เมื่อไรคำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรมะ” จะอยู่ในใจ

จะฟังเรื่องใด แล้วไม่ลืมว่าเป็นธรรมะ ทั้งหมดที่สามารถรู้ได้ แต่จะรู้หรือไม่ แล้วแต่บุญที่ได้สะสมมาแล้ว...

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดง

(พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง) เป็นอย่างยิ่งครับ

เรื่องเล่าของพี่แดงประกอบไปด้วยความเข้าใจธรรมะ ที่ทำให้เห็นความเป็นปรกติ ของผู้ศึกษาธรรม เป็นแบบอย่างให้ผู้ศึกษารุ่นหลังๆ ได้เห็นถึงความเป็นปรกติจริงๆ ของผู้ที่มีศรัทธามั่นคงขึ้น จากการฟังและศึกษาธรรมะ เพื่อความมั่นคงขึ้นว่า ธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว และ ฝังอยู่ในใจอย่างมั่นคงขึ้นนี้เอง ที่จะเป็นปัจจัย ให้บุคคล มีการคิด พิจารณา ระลึก รู้ สังเกตุ สำเหนียก ในธรรมทั้งหลาย ที่ปรากฏขึ้น เป็นไป ในทุกๆ ขณะนี้ด้วยความเป็นปรกติ จริงๆ ครับ

ขออนุโมทนาครับพี่แดงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 22 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
napachant
วันที่ 22 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
natural
วันที่ 22 ก.พ. 2557

...ศรัทธาเป็นเพื่อนสอง เพื่อนที่เป็นกุศล โลภะก็เป็นเพื่อนสอง เพื่อนที่เป็นอกุศล สนิทกับใครมากกว่ากัน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ch.
วันที่ 23 ก.พ. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
panasda
วันที่ 24 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 24 ก.พ. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 24 ก.พ. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
jariya.tr
วันที่ 24 ก.พ. 2557

ไม่เคยผิดหวังกับงานเขียนและบรรยายของพี่แดงเลยค่ะ

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
Boonyavee
วันที่ 25 ก.พ. 2557

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและอนุโมทนา ในกุศลจิตของคุณแม่แดง ที่เขียนเล่าบรรยากาศที่เมืองน่าน และเรื่องราวธรรมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หากไม่มีโอกาสฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ชีวิตคงจะเต็มไปด้วยความไม่รู้ อยู่แต่ในบ่อเกลือของอกุศล ไม่ได้รสของลำธาร เพราะความความติดข้องต้องการที่มีมานานก็อยากที่จะละคลายและ ขัดเกลาได้ ความเค็มของเกลือยิ่งมากเท่าไหร่ ก็ต้องอาศัยพระธรรม ที่เป็นเหมือนลำธาร ค่อยๆ หลั่งรินให้ความเค็มของเกลือค่อยๆ เจือจางไปได้ด้วยความเข้าใจสภาพธรรมที่มีอยู่ อย่างเป็นปรกติจริงๆ เหมือนที่ท่านอาจารย์สุจินต์ กรุณาคอยย้ำให้ระลึกอยู่เสมอ แต่ด้วย ความเข้าใจในสภาพธรรมยังน้อย การได้พบกับกัลยาณมิตรทางธรรมอย่าง คุณแม่แดง และคุณพ่อสงบ ที่เมตตาพูดธรรมให้ฟังทุกครั้งที่มีโอกาส และเกื้อกูลกับทุกๆ ท่าน ที่มา สอบถามอย่างเท่าเทียมกัน ขอกราบขอบพระคุณท่านทั้งสองเป็นอย่างยิ่งค่ะ ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม ที่กรุณาถ่ายภาพ ที่สวยงามและสื่อภาพเข้ากับบทความได้เป็นอย่างดีค่ะ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 26 ก.พ. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
rrebs10576
วันที่ 28 ก.พ. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
รู้จบลงที่รู้
วันที่ 25 มี.ค. 2557

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ