ทุกคนกำลังสะดุ้งกลัว

 
เมตตา
วันที่  1 ม.ค. 2557
หมายเลข  24272
อ่าน  1,822

ทุกคนกำลังสะดุ้งกลัว ขณะนี้กำลังสะดุ้งกลัวหรือเปล่า เพราะมีแต่ความปรารถนาให้ตนเองได้แต่สิ่งที่ดี อยากมีอยากได้ความสวัสดี แต่ที่แท้ไม่สวัสดีเลย เพราะว่าความอยากไม่ได้นำมาซึ่งความสวัสดีเลย เพราะความรักตนจึงมีแต่ความสะดุ้งกลัว ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาก็สะดุ้งกลัวอยู่ตลอดเวลา กลัวไม่แข็งแรง กลัวเป็นทุกข์ กลัวจะไม่สุข กลัวต่อภัยต่างๆ หาทางให้พ้นจากภัย

แต่จะพ้นภัยได้จริงๆ ก็ต้องพึ่งความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ขณะที่เข้าใจจึงไม่กลัว กลัวเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทุกขณะเป็นไป เป็นไป ตลอดเวลา เช้านี้เป็นไป ขณะนี้ก็กำลังเป็นไปทุกขณะเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เกิดดับสืบต่อเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเราที่จะสะดุ้งกลัวเลยขณะที่รู้ความจริง ขณะที่ไม่รู้ก็สะดุ้งกลัว ขณะต่อไปจะไปไหนก็ไม่มีใครรู้ได้ พรุ่งนี้ หรือแม้เย็นนี้ อาจไปนรก แล้วกลัวไหม แท้จริงไม่มีเราไปนรก ความเข้าใจจะไม่กลัว ปัญญารู้ความจริงเมื่อไรเมื่อนั้นก็ปลอดภัย

ประโยชน์จริงๆ ที่ได้เกิดมาขอให้ได้เข้าใจธรรม ขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ทุกขณะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เรา ทุกขณะที่เกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ไม่มีเราสะดุ้งกลัว ทั้งหมดอยู่ที่ความเข้าใจ ถ้ามีเหตุต้องไปนรกก็ยับยั้งไม่ได้ แต่ขณะที่เข้าใจธรรมไม่ได้นำไปสู่นรก ทุกขณะที่อกุศลเกิดคือสะดุ้งกลัว ผู้ไม่ศึกษาธรรมเมื่อตื่นขึ้นมาก็คิดว่าตนเองไม่เห็นสะดุ้งกลัวอะไรเลย เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ ตื่นขึ้นมาก็อยากเห็นแต่สิ่งที่ดี หวังได้พบ ได้เห็นสิ่งที่ดี ขณะนั้นเป็นอกุศลย่อมสะดุ้งกลัว แต่ไม่รู้ว่าตนเองสะดุ้งกลัว

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 1 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนาพี่เมตตา ที่นำธรรมดีๆ ที่เกี่ยวกับ ความสะดุ้้งกลัว ให้ได้เข้าใจกัน ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นดังนี้ ครับ

ความสะดุ้ง ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนามธรรมที่เป็น จิต เจตสิก เพราะฉะนั้น ความสะดุ้งก็ด้วย อกุศลที่ทำให้เกิดความสะดุ้ง เพราะ มีความติดข้องต้องการจึงเกิดความสะดุ้ง เมื่้อไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา เพราะ มีความยึดถือ พอใจ ในลาภ สักการะเมื่อเห็นผู้อื่นได้ลาภ สักการะ ชื่อเสียง ย่อมทนไม่ได้ เกิดความสะดุ้งใจ หรือ เพราะลาภ สักการะ สิ่งที่ต้องการแปรปรวนไป ก็ย่อมเกิดความสะดุ้ง ผู้ที่ไม่สะดุ้ง คือ ผู้ที่ไม่หวัง ไม่โกรธ ไม่มีกิเลส เพราะ ไม่ติดข้องในสิ่งต่างๆ จึงไม่เกิดความสะดุ้งใจ ที่เป็นอกุศลจิตที่เป้็นโทสะ เป็นต้น แม้สิ่งนั้นแปรปรวนไป หรือไม่ได้สิ่งที่ปรารถนาก็ตาม พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่ไม่สะดุ้งเลย เพราะ ไม่มีกิเลสที่ทำให้สะดุ้งใจ ครับ

คำบรรยายบางตอนของท่านอาจารย์สุจินต์

ในเรื่องสติปัฎฐาน ม้วนที่ ๒ ตอนที่ ๕๔

บางท่านเท่าที่ดิฉันเคยทราบกล่าวว่า เจริญสติปัฏฐานมาประมาณ ๓๐ กว่าปี เป็นอาจารย์ของสำนักหนึ่ง แล้วก็ในขณะที่ปฏิบัติ ก็มีความรู้สึกว่ามีสติสัมปัชชัญญะ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ก็มีความนุ่มนวล มีความเบามีความควรแก่การงานเป็นผู้มีสติแต่เมื่อได้ฟังเรื่องการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ก็รู้ว่าไม่ใช่ปัญญา ที่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏจริงๆ ตามปกติ เพราะฉะนั้นขอให้ท่านที่เคยจดจ้องนะคะ หรือว่าเคยรู้รูปรวมๆ กัน เป็นท่านั่ง ท่านอน ท่ายืน ท่าเดิน ว่าในขณะที่ท่านกำลังรู้อย่างนั้นน่ะค่ะ เวลาที่มีเสียงปรากฏ สะดุ้งไหมคะ ตกใจไหม? ตกใจเพราะอะไร รู้ไหมคะ? คนที่กำลังสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใด เป็นต้นว่าอ่านหนังสือเพลินๆ ถ้ามีคนเรียกตกใจไหมคะ ก็ตกใจ เพราะว่ากำลังสนใจอ่านหนังสืออยู่ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น ถ้ามีสิ่งอื่นเกิดขึ้น ไม่เคยเจริญสติ ไม่เคยรู้ลักษณะของเสียง ตามปกติเลย มีแต่การจดจ้องอยู่ที่สิ่งหนึ่ง

เพราะฉะนั้น เวลาที่เสียงเกิดตามปกติแท้ๆ ผู้นั้นก็สะดุ้งตกใจ แล้วก็ไม่รู้ด้วย ถ้าสอบสวนจริงๆ นะคะว่า ขณะนั้นเป็นนามหรือเป็นรูป ก็จะตอบไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของ ได้ยินไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของเสียง ตามปกติ แต่ว่าไปจ้องที่จะให้รู้รวมๆ เมื่อเป็นการไปจ้องให้รู้รวมๆ ไม่รู้นามใดรูปใดชัดสักนามเดียว แม้แต่เพียงนามเดียวก็ไม่รู้ แม้แต่เพียงรูปเดียวก็ไม่รู้ กำลังเห็นตามปกติ ไม่เคยเลยที่จะมีการระลึกรู้ว่า เป็นสภาพรู้ทางตา สีสันวรรณที่กำลังปรากฏ ก็ไม่เคยระลึกรู้เลยสักขณะเดียวว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏเพื่อจะละคลายว่า ทางตาก็เท่านี้เอง

ไม่ว่าจะเห็นอะไร ไม่ว่าจะเกิดความชอบความไม่ชอบหลังจากที่เห็นแล้วก็เป็นเพียงแต่ความพอใจเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้เห็นสิ่งที่พอใจแล้วก็ดับ มีอย่างอื่นเกิดขึ้นปรากฏมีลักษณะต่างๆ กันไป เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ผู้ที่มีปัญญาเพิ่มขึ้น ไม่สะดุ้ง เพราะว่าชินกับลักษณะของสิ่งที่ปรากฏขึ้นตามปกติ แต่ผู้ที่ไปจ้องรู้รวมๆ แล้วก็ไม่ได้ระลึกถึงลักษณะของนามใดรูปใด ให้ชัดเจน ตามปกติเพิ่มข้ึนทีละเล็กทีละน้อย ผู้นั้นจะสะดุ้งและก็การสะดุ้งอย่างนั้น เป็นปัญญาหรือเปล่าคะ หรือว่าเป็นความไม่รู้ สะดุ้งแล้วไม่รู้นะคะ ไม่รู้ว่าอะไร ตกใจด้วยเป็นตัวตนตลอดเวลา ไม่ได้มีความรู้ชัดในลักษณะของนาม ไม่ได้มีความรู้ชัดในลักษณะของรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติเลยเพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดไปฟังถือประโยชน์จากธรรมะ เทียบเคียงกับการที่เคยประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ก็ย่อมจะละสีลพรตปรามาสกายคันถะ การลูบคลำข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด คือ ไม่ทำให้รู้ลักษณะของนามและรูป ชัดเจน แต่ละทางตามปกติ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 1 ม.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 1 ม.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สัมมาทิฏฐิ
วันที่ 2 ม.ค. 2557

เกิดความสว่างขึ้นทันทีกับประโยค ที่ว่า ไม่สะดุ้ง เพราะว่าชินกับลักษณะของสิ่งที่ปรากฏขึ้นตามปกติ กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 3 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"...ทั้งหมดอยู่ที่ความเข้าใจ ถ้ามีเหตุต้องไปนรกก็ยับยั้งไม่ได้ แต่ขณะที่เข้าใจธรรมไม่ได้นำไปสู่นรก ทุกขณะที่อกุศลเกิดคือสะดุ้งกลัว ผู้ไม่ศึกษาธรรม เมื่อตื่นขึ้นมาก็คิดว่าตนเองไม่เห็นสะดุ้งกลัวอะไรเลย เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ ตื่นขึ้นมาก็อยากเห็นแต่สิ่งที่ดี หวังได้พบ ได้เห็นสิ่งที่ดี ขณะนั้นเป็นอกุศล ย่อมสะดุ้งกลัว แต่ไม่รู้ว่าตนเองสะดุ้งกลัว..."

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตา สำหรับธรรมเตือนใจด้วยครับ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณเผดิม และ ทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ms.pimpaka
วันที่ 29 มี.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ