อนุขณะของจิต

 
papon
วันที่  23 ต.ค. 2556
หมายเลข  23900
อ่าน  2,388

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

อนุขณะของจิตเท่าที่ได้ฟังจากซีดี จิต ปรมัตถ์ กระผมคิดว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับ "ไม่มี มี แล้วหามีไม่"ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อนุขณะจิต คือ ขณะย่อย หมายถึง ระยะเวลาการเกิดขึ้นและดับไปอย่างละเอียดของจิต หรืออายุของจิตอย่างย่อย ในขณะที่จิตเกิดขึ้นและดับไปเรียกว่า ๑ ขณะ แต่ใน ๑ ขณะจิตนี้ ยังแยกย่อยได้เป็น ๓ ขณะย่อย เรียกว่า อนุขณะ คือ อุปาทขณะ (ขณะเกิดขึ้น) ฐีติขณะ (ขณะที่ตั้งอยู่) และ ภังคขณะ (ขณะที่ดับไป)

คำว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยและเมื่อเกิดแล้ว ก็จะต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เช่น ก่อนเห็นเกิดขึ้น ไม่มีเห็น แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น และเมื่อเห็นเกิดขึ้น ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นตั้งอยู่เพียงขณะสั้นๆ เท่านั้น ตามข้อจาก

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ หน้า ๑๐๓ ว่า

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สังขารแม้ทั้งปวงในภพทั้งหลาย มีกามภพเป็นต้น เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย เพราะอรรถว่า มีแล้วไม่มี”

ตามความเป็นจริงแล้ว ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริง เป็นปรมัตถธรรม ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เพราะเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไป และทุกขณะของชีวิตไม่มีขณะใดเลยที่จะปราศจากจิต

จึงควรที่จะได้เข้าใจว่าไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ แต่สภาพธรรมเกิดแล้ว มีแล้วในขณะนี้จากที่ไม่มี แล้วเกิดมีเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือ มุ่งถึงสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม (สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง) เท่านั้น เพราะเป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง (เพราะเกิดดับ) เมื่อไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ (เพราะทนอยู่ไม่ได้ คือเกิดแล้วก็ต้องดับไป) และเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น)

ดังนั้น อนุขณะจิต จึงเกี่ยวข้องโดยตรง กับคำว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ เพราะแสดงถึง จิตที่เป็นขณะย่อยลงไปอีกที่ เป็นขณะที่เกิดขึ้น จากที่ไม่มี แล้วมี คือ จากไม่มีสภาพธรรม คือ จิตก็เกิดมี ที่เป็น อุปาทขณะ แล้ว ก็ตั้งอยู่ ฐีติขณะ และก็ต้องดับไป คือ ภังคขณะ คือ หามีไม่ ครับ อันเป็นการแสดงถึง ความไม่ใช่เราไม่ใช่สัตว์บุคคล และ ไม่เที่ยง ครับ อนุขณะจิต และ คำว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันนั้น เป็นการแสดงถึงสภาพธรรม กฎธรรมชาติที่เป็นไตรลักษณ์ คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา อย่างไรคือ เพราะมีแล้วก็หามีไม่ คือ ไม่เที่ยงเกิดขึ้นและดับไป เป็นทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้ คือ ไม่สามารถที่จะเกิดแล้ว ไม่ดับไปและเป็นอนัตตา คือ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย คือ ไม่สามารถบังคับให้ ไม่ให้มีเกิดขึ้น จากสภาพธรรมนั้นจะเกิดก็ต้องเกิด และไม่สามารถให้สภาพธรรมนั้นตั้งอยู่ตลอดไป ก็ต้องดับไป ไม่เหลือเลย และไม่มีสัตว์ บุคคล เป็นอนัตตา เพราะเป็นแต่จิตเจตสิก รูปที่เกิดขึ้น และ ดับไปเท่านั้น ครับ

การเข้าใจคำว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ประโยชน์ เพื่อละคลายความยึดถือ ว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีแต่ธรรม และบังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อละคลายความเห็นผิด ว่ามีเรา มีใครอยู่ในนั้น และที่สำคัญ เข้าใจว่า จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปบังคับได้เลย หากไม่มีเหตุปัจจัย สภาพธรรมนั้นก็ไม่เกิด คือ ไม่มี และ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็มี เกิดขึ้น และ ก็ต้องดับไป เพราะ หมดเหตุปัจจัยที่จะดำรงอยู่ ครับ

การศึกษาพระธรรมทุกคำ ประโยชน์ คือ เพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ว่าเป็น ธรรมไม่ใช่เรา เพราะ พระธรรมทุกคำ ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้นั่นเอง ครับ และผู้ถามขอตัวอย่างที่แสดงถึง สภาพธรรม ที่ ไม่มี แล้ว ก็มี แล้วหามีไม่

สภาพธรรมทั้งปวง เป็นสิ่งที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะเป็นชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นของจริง และสิ่งที่มีจริงทั้งหลายเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้ที่รู้แจ้ง บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสทั้งหลายได้ สำคัญอยู่ที่ปัญญา ซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 23 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย นั้น ไม่มีแม้แต่อย่างเดียวที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ล้วนแล้วแต่เกิดแล้วก็ต้องดับไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน แม้แต่จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นเป็นไป ก็มีแต่จะคล้อยไปสู่ความดับไป นั่นเอง ดำรงอยู่ชั่วขณะที่สั้นแสนสั้น เพียงแค่เกิดขึ้น ดำรงอยู่แล้วก็ดับไป เท่านั้น ก็ตรงกับความเป็นจริงที่ว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ เช่น เห็นในขณะนี้ ก่อนเห็น ไม่ใช่เห็น เมื่อเหตุปัจจัยมี ก็เป็นเหตุให้เห็นเกิดขึ้น เห็นเกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลือการฟังพระธรรม ด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ขาดการฟังการศึกษาความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น เพราะทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 23 ต.ค. 2556

ขอขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองท่านและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 25 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 26 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Suthida
วันที่ 27 เม.ย. 2565

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 27 เม.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
talaykwang
วันที่ 13 ส.ค. 2565

ขออนุโมทนาในกุศลค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ