สภาพของชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรครับ

 
ศึกษาธรรม1
วันที่  19 ต.ค. 2556
หมายเลข  23881
อ่าน  5,416

พระอาจารย์ท่านบอกว่า ชีวิตของเราคือการรวมตัวกันของขันธ์ 5 และ เรายึดว่า เป็นของเราเป็นตัวเรา ความจริงไม่มีอะไรเป็นของเรา จิตก็ไม่ไช่ของเรา ถ้าเราตายไป เราจะยังจำเรื่องราวต่างๆ ตอนยังมีชีวิตได้หรือไม่ครับ จำญาติพี่น้อง พ่อ แม่ เพื่อนพ้องได้หรือเปล่า ถ้าจะบอกว่า ความเกิดและตายอยู่ใกล้กันเป็นสันตะติ รูปเก่าหายไปและได้รูปขึ้นมา แล้วพวกญาติพี่น้องของเราที่ตายไปเขาน่าจะมีการส่งสัญญาณ หรืออะไรสักอย่าง เพื่อที่จะบอกให้รู้ถึงการติดต่อถึงกันได้ แต่นี่แต่ละคนตายแล้วก็หายไปเลย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากคำกล่าวที่ว่า พระอาจารย์ท่านบอกว่า ชีวิตของเรา คือการรวมตัวกันของขันธ์ 5 และเรายึดว่า เป็นของเรา เป็นตัวเรา ความจริงไม่มีอะไรเป็นของเรา จิตก็ไม่ไช่ของเรา ถ้าเราตายไป เราจะยังจำเรื่องราวต่างๆ ตอนยังมีชีวิตได้หรือไม่ครับ จำญาติพี่น้อง พ่อ แม่ เพื่อนพ้องได้หรือเปล่า

ชีวิต ก็คือ การเกิดขึ้นของจิตทีละขณะ ที่เกิดขึ้นและดับไป ชีวิต จึง เป็นเพียงเล็กน้อย สั้นมาก เมื่อมีการประชุมรวมกันของ จิต เจตสิก รูป จึงสมมติว่า เป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งมีชีวิต แท้ที่จริงก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคลเลย ซึงการจะจำเรื่องต่างๆ ได้ นั้นก็เป็นหน้าที่ของธรรม ที่จำ คือ สัญญา ที่จำในสิ่งต่างๆ ทีเกิดขึ้น และเมือมีการจำแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้นึกขึ้นได้เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ซึ่งการจะนึกขึ้นได้ว่า ชาติก่อนเกิดเป็นอะไร ก็อาศัยเหตุปัจจัยหลายประการ

1. ภพภูมิที่เกิด

หากตายจากความเป็นมนุษย์และไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ ที่จะต้องอยู่ในครรภ์ ซึ่งไม่ใช่โตเป็นตัวทันที ต้องค่อยๆ เจริญเติบโต อย่างนี้ โดยมากจำไม่ได้ เพราะมีการเกิดในครรภ์กว่าจะโต เป็นต้น จึงจำไม่ได้ หากแต่ว่า ถ้าเกิดเป็น เทวดา เป็นเปรตที่เป็นแบบ ตายแล้วเกิดโตเป็นตัวทันที ไม่ต้องเกิดในครรภ์อย่างนี้ เป็นปัจจัยให้ระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นใคร มีพ่อแม่ เป็นใครเป็นต้น ได้ เพราะว่า เป็นเพียงขณะจิตเดียว จากจุติจิต ไปเป็นปฏิสนธิจิต และ ไม่ต้องเกิดในครรภ์ แต่ โตทันที ที่เป็นโอปปาติกะก็สามารถจำชาติก่อนได้

2. การอบรมเหตุ คือ การเจริญสมถภาวนา

การจะระลึกชาติได้ หากตายไปแล้ว และ เกิดเป็นมนุษย์ หากเจริญสมถภาวนาได้ฌานสูงสุด ก็สามารถระลึกชาติได้ ครับ เพราะ มีปัญญาที่ทำให้ระลึกชาติได้

ถ้าจะบอกว่า ความเกิดและตายอยู่ใกล้กันเป็นสันตะติ รูปเก่าหายไปและได้รูปขึ้นมา แล้วพวกญาติพี่น้องของเราที่ตายไปเขาน่าจะมีการส่งสัญญาณ หรืออะไรสักอย่างเพื่อที่จะบอกให้รู้ถึงการติดต่อถึงกันได้ แต่นี่แต่ละคนตายแล้วก็หายไปเลย

ความตาย มีหลากหลายนัย ทั้งที่เป็นความตายที่แท้จริง ที่เป็นความตาย ของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป และ ความตายโดยสมมติ ที่ จากโลกนี้โดยสมมติว่า เป็นคนสัตว์ที่ตายจากไป และ ความตาย จากกิเลส คือ ดับกิเลสหมดสิ้น ซึ่ง การที่บุคคลหนึ่งจากโลกนี้ไป ก็เป็นเพียงการเกิดขึ้นและดับไป ระหว่างจุติจิต ไป สู่ ปฏิสนธิจิต ดังนั้น เมื่อเปลี่ยนภพภูมิ ก็เป็นการเปลี่ยน ประเภทของจิต เพราะฉะนั้น จิต เป็นเพียงสภาพรู้ จึงไม่ใช่มีหน้าที่ ที่จะไปส่งสัญญาณ บอก เพราะ ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างไปตามกรรม อะไรต่างมา อะไรต่างไป ก็คือ จิตต่างมา จิตต่างไป เกิดขึ้นใหม่ตอลดเวลา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ต่างมา ต่างไป ครับ เพราะฉะนั้น เมื่อเปลี่ยนภพภูมิ เปลี่ยนประเภทของจิต จึงไม่มีปัจจัยที่จะต้องมาบอกกันตามที่กล่าวมา ครับ เพราะ กรรม ก็จัดให้ สัตว์นั้นไปตามภพภูมิของแต่ละภพภูมิ ตามกรรม ครับ

เพราะฉะนั้น บุตร มารดา หรือ ใครก็ตาม ไม่สามรถต้านทานความตายได้ และ ไม่มีใครที่จะช่วยใครได้ กุศล ปัญญาต่างหากที่เป็นที่พึ่ง ที่แท้จริง ที่จะเป็นที่พึ่งในโลกหน้า และจะเป็นที่พึ่งให้พ้นจากการตาย ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ครับ เพราะฉะนั้น ควรอบรมหน้าที่ของตนเอง คือ การศกึษาพระธรรม เพราะ ต่างก็เป็นบิดา มารดา มาแทบทุกคนแล้ว และ ก็ต้องวนเวียนอบย่างนี้ อันนำมาซึ่งทุกข์ จึงควรเห็นโทษของความเกิด ความผูกพัน ด้วยการเจริญอบรมปัญญา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 19 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นผู้ที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาอยู่ เมื่อตายแล้ว (คือจุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก) ต้องเกิดทันที มีปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น การที่จะเกิดเป็นอะไร ในภพไหน นั้น ขึ้นอยู่กับกรรม ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็ทำให้ไปเกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย ชีวิตหลังจากตายแล้วจึงเป็นอย่างนี้ ทั้งหมดทั้งปวงนั้นยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอีก ยังพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ จนกว่าจะเป็นผู้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด เป็นพระอรหันต์ จึงจะเป็นผู้พ้นจากทุกข์ และเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย ไม่มีจิต เจตสิกและรูปเกิดขึ้นอีกเลย

ไม่ควรคิดว่า ตัวเองจะไม่ตาย เพราะแท้ที่จริงแล้ว ตายแน่ๆ ไม่วันใด ก็วันหนึ่งซึ่งไม่สามารถจะทราบได้เลย เมื่อคิดว่า ตัวเองจะต้องตาย ความตายย่อมเตือนให้ไม่ฆ่าสัตว์ เตือนให้ไม่ลักทรัพย์ เตือนให้ไม่ประพฤติผิดในกาม เตือนให้ไม่พูดเท็จ เตือนให้งดเว้นจากการดื่มของมึนเมา เพราะการดื่มของมึนเมาทำให้กลับไปสู่สังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่ออกจากสังสารวัฏฏ์ ความตายเตือนให้เจริญกุศลในชีวิตประจำวัน และทำให้ละเว้นจากการทำอกุศล ความตายเตือนให้ระลึกได้ว่า อะไรมีประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์

ในเมื่อต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเองอย่างแท้จิรง โดยไม่ต้องรอไปทำความดีเมื่อใกล้ตาย ถ้ารอ ก็แสดงว่าประมาทแล้ว และอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำก็ได้ การละกุศลกรรม (ความชั่ว) แล้วเจริญกุศล (ความดี) บ่อยๆ เนืองๆ ตามกำลังของตนและไม่ละเลยในการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตาม นั้น เป็นความดีที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นี้แหละคือสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น เพราะว่าบุคคลผู้ไม่ประมาทในชีวิตอันมีประมาณน้อยนี้ ย่อมจะไม่เดือดร้อนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Tomnana
วันที่ 19 ต.ค. 2556

กราบอนุโมทนา อ. ทั้ง 2 ท่านนะคับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 19 ต.ค. 2556

ความตายทำให้พรากจากสิ่งที่เป็นที่รักทุกอย่าง ทำให้ไม่ได้ทำความดี ไม่ได้สะสมบารมีต่อ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ศึกษาธรรม1
วันที่ 20 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
papon
วันที่ 20 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nopwong
วันที่ 20 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 21 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
peem
วันที่ 23 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ