ไม่มี มีแล้วหามีไม่

 
papon
วันที่  11 ต.ค. 2556
หมายเลข  23831
อ่าน  2,203

ไม่มี มีแล้วหามีไม่ คืออย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

“ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่” แสดงถึง ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิด เพราะเหตุปัจจัยและเมื่อเกิดแล้ว ก็จะต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เช่น ก่อนเห็นเกิดขึ้น ไม่มีเห็น แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น และเมื่อเห็นเกิดขึ้น ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นตั้งอยู่เพียงขณะสั้นๆ เท่านั้น ตามข้อจาก

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ หน้า ๑๐๓ ว่า

“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สังขารแม้ทั้งปวงในภพทั้งหลาย มีกามภพเป็นต้น เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย เพราะอรรถว่า มีแล้วไม่มี”

ควรเข้าใจความจริงว่า มีแต่ธรรมคือ จิต เจตสิก รูป ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล เพราะฉะนั้นคำว่าไม่มี ก็ไม่ได้หมายถึง เรื่องราว ไม่ได้หมายถึง
พระนิพพาน แต่กำลังหมายถึง สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่ยังไม่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ขณะนี้หากไม่มีปัจจัยให้การเห็นเกิดขึ้น เห็นก็ไม่เกิด เช่น เพราะ ไม่มีจักขุปสาทรูป คือ ไม่มีตา ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดการเห็น จึงชื่อว่า ไม่มี แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมคือ สภาพธรรมหลายๆ อย่าง ประชุมรวมกัน ทั้งมีตา มีแสงสว่าง มีรูปที่ปรากฎทางตา ที่เป็นสี และมีกรรมที่จะให้ผล ก็ทำให้เกิดจักขุวิญญาณคือ การเห็น เกิดขึ้นเรียกว่า มีแล้วจากไม่มีการเห็น ก็เกิดจากการเห็นเกิดขึ้น ไม่มีแล้ว มี คือ จากไม่มีสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจึงมีสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง มีจักขุวิญญาณ การเห็น เป็นต้น เกิดขึ้น และเมื่อการเห็นเกิดขึ้นที่เป็นจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม ที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป ไม่เที่ยงเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป เมื่อดับไปแล้ว จึงกล่าวได้ว่า หามีไม่

ความหมายของคำว่า หามีไม่ หมายถึง ไม่มีสภาพธรรมนั้นอีกเลย คือ ดับไปแล้ว ก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง ไม่กลับมาอีก และ ก็ไม่ได้ไปอยู่ที่ไหน ครับ เพราะฉะนั้นคำว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ จึงมุ่งหมายถึง สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งที่เป็นสังขารธรรมเท่านั้นคือ จิต เจตสิก รูปที่มีการเกิดขึ้นและดับไป จึงสามารถกล่าวได้ว่า ไม่มี คือ ยังไม่เกิด แล้ว มี คือ สภาพธรรมนั้นเกิด แล้ว หามีไม่ คือ ดับไปไม่เหลือเลย

ซึ่งคำว่าไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ แสดงถึงสภาพธรรม กฎธรรมชาติที่เป็นไตรลักษณ์คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา อย่างไรคือ เพราะมีแล้วก็หามีไม่ คือ ไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป เป็นทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้คือ ไม่สามารถที่จะเกิดแล้ว ไม่ดับไป และเป็นอนัตตาคือ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลยคือ ไม่สามารถบังคับให้ไม่ให้มีเกิดขึ้น จากสภาพธรรมนั้นจะเกิดก็ต้องเกิด และไม่สามารถให้สภาพธรรมนั้นตั้งอยู่ตลอดไป ก็ต้องดับไป ไม่เหลือเลย และไม่มีสัตว์ บุคคล เป็นอนัตตา เพราะเป็นแต่จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น และดับไปเท่านั้น ครับ

การเข้าใจคำว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ ประโยชน์ เพื่อละคลายความยึดถือ ว่ามี เรา มีสัตว์ บุคคล มีแต่ธรรม และบังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อละคลายความเห็นผิดว่า มีเรา มีใครอยู่ในนั้น และที่สำคัญเข้าใจว่า จะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปบังคับได้เลย หากไม่มีเหตุปัจจัย สภาพธรรมนั้นก็ไม่เกิดคือ ไม่มี และเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็มี เกิดขึ้น และก็ต้องดับไปเพราะ หมดเหตุปัจจัยที่จะดำรงอยู่ ครับ

การศึกษาพระธรรมทุกคำ ประโยชน์คือ เพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะพระธรรมทุกคำ ก็คือสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้นั่นเอง ครับ และผู้ถามขอตัวอย่างที่แสดงถึง สภาพธรรม ที่ไม่มี แล้วก็มี แล้วหามีไม่

เชิญอ่าน ครับ

[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ หน้าที่ ๖๘๒

ชื่อว่าการมา โดยรวมเป็นกอง โดยความสะสม ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่เกิดขึ้น ชื่อว่าการไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับ ชื่อว่าการตั้งลงโดยรวมเป็นกอง โดยสะสม โดยเก็บไว้ในที่แห่งหนึ่ง ย่อมไม่มีแม้แก่ขันธ์ที่ดับแล้ว เหมือนนักดีดพิณ เมื่อเขาดีดพิณอยู่เสียงพิณก็เกิด มิใช่มีการสะสมไว้ก่อนเกิด เมื่อเกิดก็ไม่มีการสะสม การไปสู่ทิศน้อยใหญ่ของเสียงพิณที่ดับไปก็ไม่มี ดับแล้วไม่ว่าที่ไหนก็ไม่สะสมตั้งไว้ ที่แท้แล้วพิณก็ดี นักดีดพิณก็ดีอาศัยความพยายามอันเกิดแต่ความพยายามของลูกผู้ชายไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ฉันใด ธรรมมีรูปและไม่มีรูปแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้นไม่มีแล้วยังมีได้ ครั้นมีแล้วยังเสื่อมได้ พระโยคาวจร ย่อมเห็นด้วยประการฉะนี้แล

เชิญคลิกอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ

ไม่มี...แล้วมี...แล้วหามีไม่

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 11 ต.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า สังขารทั้งหลาย (สภาพธรรมที่เกิดขึ้น เพราะปัจจัยปรุงแต่ง อันได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นใจ สังขารแม้อย่างหนึ่งที่เที่ยงนั้น ไม่มีเลย ชีวิตของแต่ละบุคคลก็ไม่พ้นจากสังขาร ทุกขณะของชีวิตเป็นสังขาร เนื่องจากว่า มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีอะไรยั่งยืน เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป จากที่ไม่มี ก็เกิดมีขึ้น แล้วก็ดับไปในที่สุด

ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด แน่นอนต้องเกิด มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นเป็นไปในภพต่างๆ สังสารวัฏฏ์นี้ยาวนานเหลือเกิน

ดังนั้น ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาตินั้นก็คือ มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญา (ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก) ไปตามลำดับ ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 11 ต.ค. 2556

นามธรรม รูปธรรม ปีที่แล้วก็ไม่มี เดือนที่แล้วก็ไม่มี อาทิตย์ที่แล้วก็ไม่มี เมื่อวานนี้ก็ไม่มี มีแต่ปัจจุบันนี้ วันนี้ ขณะนี้ พ้นจากขณะนี้ไปแล้วก็ไม่มีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 11 ต.ค. 2556

ขอขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองท่านและคุณ wannee.s มากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 12 ต.ค. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ