การฆ่าตัวตายแสดงว่าเคยฆ่าตัวตายมาแล้วหรือ

 
papon
วันที่  25 ก.ย. 2556
หมายเลข  23696
อ่าน  1,078

มีพระท่านหนึ่งบอกว่าการฆ่าตัวตายแสดงว่าเคยฆ่าตัวตายมาแล้ว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 25 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภา่คอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความตายเป็นธรรมดาของสัตว์โลก เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะเห็นได้ว่าการฆ่าตัวตาย เป็นเรื่องของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างแท้จริงที่อยากจะพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ไม่่ว่าจะเป็นทุกข์กายหรือทุกข์ใจก็ตาม อยากจะพ้นจากความทุกข์ดังกล่าว จึงมีการฆ่าตัวตาย ซึ่งไม่พ้นไปจากอกุศลจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น แต่การฆ่าตัวตาย ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ เพราะที่จะเป็นอกุศลกรรมบถ ต้องมุ่งหมายถึงการฆ่าสัตว์อื่นเท่านั้น การฆ่าตัวตายไม่เป็นเหตุที่จะทำให้รับวิบากในภายหน้า และ ที่สำัุคัญไม่ใช่เคยฆ่าตัวตายมาเพียง ๗ ชาติ เท่านั้น แต่เคยเป็นอย่างนี้มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เพราะในสังสารวัฏฏ์ที่ผ่านๆ มานั้น แต่ละคนเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน

ในคำสอนทางพระพุทธศาสนาแสดงไว้ว่า ผู้ที่ฆ่าตัวตายนั้น เพราะสะสมการฆ่าผู้อื่นมา ซึ่งผลโดยตรงของการฆ่าสัตว์อื่นนั้น วิบากโดยตรง คือ ทำให้เกิดในนรกเศษของกรรมที่ยังเหลือทำให้ผู้นั้นเกิดมามีอายุสั้น ตายก่อนวัยอันควร เพราะถูกผู้อื่นฆ่าบ้าง ตายเพราะถูกภัยต่างๆ บ้าง ตายเพราะฆ่าตัวตายบ้าง ทั้งหมดเป็นผลของการฆ่าสัตว์อื่น ซึ่งจะประมาทอกุศลไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าสะสมพอกพูนอกุศล ก็ยิ่งจะหมิ่นเหม่ต่อการกระทำอกุศลกรรมบระการต่างๆ ได้ และเมื่ออกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุมีแล้ว ก็ย่อมจะเป็นเหตุทำให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้าได้

ควรที่จะได้พิจารณาว่า การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นของยาก เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตราบใดที่ยังไม่สิ้นชีวิต ถึงแม้ว่าจะมีชีวิตที่ลำบาก ประสบทุกข์จะด้วยประการใดๆ ก็ตาม แต่ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา นั่นย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างมาก ไม่ควรเลยสำหรับการฆ่าตัวตาย เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสที่จะได้เจริญกุศลประการต่างๆ รวมถึงการอบรมเจริญปัญญาด้วย ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในภพภูมิใด ถ้าหากไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมหมดโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม ไม่มีโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
ฉะนั้นแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุด ด้วยการสะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาต่อไป นี้แหละ คือ สิ่งที่เป็นสาระที่สุดสำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

การฆ่าตัวตายเป็นผลของวิบากกรรม [อรรถกถาเวสาลีสูตร]

การฆ่าตัวตาย เป็นบาปมากไหม

คำถามว่าด้วยการฆ่าตัวตาย

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 25 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จาก คำถาม ทีมีการกล่าวว่า ฆ่าตัวตาย เพราะ เคยฆ่าตัวตายมาแล้ว 7 ชาติ ข้อนี้ไม่ได้มีในพระธรรมที่พระุพุทธเจ้าทรงแสดง และ ไมไ้ด้กำหนดตายตัวว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น ครับ ซึ่งการฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุ 2 ประการดังนี้

1.อกุศลกรรมที่เคยฆ่าสัตว์เป็นนิจ ให้ผล ทำให้จิตน้อมไปที่จะฆ๋าตัวตาย

2.อกุศลจิตที่สะสมมาในจิตใจ

ซึ่ง ในข้อแรก ที่เคยฆ่าสัตว์ หากเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมทีเ่ป็นจิตทีเ่ป็นสภาพธรรมที่สะสม เมื่อสะสมอุปนิสัยในการฆ่า ก็สะสมในจิตของตนเอง ที่ยินดีในการฆ่า และ เมื่อสะสมอุปนิสัยนั้น และ มีการทำอกุศลกรรม ตนเองก็ยินดีในการฆ่า แม้แต่ตนเอง และ เป็นเหตุให้ได้รับอกุศลวิบาก คือ ความเจ็บปวดจากการทำร้ายตนเอง ที่เรียกว่า ฆ่าตัวตาย เป็นสำคัญ ครับ นี่คือ เหตุผลจากข้อที่ 1

ข้อที่ สอง เพราะ อกุศลจิต ฆ่าตัวตายได้ ก็เพราะ มีกิเลสที่สะสมมาในจิตใจ เช่น เพราะ พลัดพรากจากสิ่งที่รกั ก็ทำให้ ฆ่าตัวตาย เป็นต้นได้ แม้แต่ เป็นผู้ปรารถนาจะบรรลุธรรม แต่ ย่อมเสื่อมจากคุณธรรมบ่อยๆ ดังเช่น ท่านพระโคธิกะที่ท่านเสื่อมจากฌานบ่อยๆ จึงฆ่าตัวตาย ขณะที่ฆ่า เป็นอกุศลจิต ที่สะสม แต่ท่านอบรมปัญญามา ก็บรรลุธรรม พร้อมๆ กับ การที่จะสิ้นชีวิต ครับ จะเห็นนะครับว่า ผู้ที่สะสมปัญญามาแล้ว เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็สามารถบรรลุธรรมได้ แม้ก่อนที่จะตาย อันมีการฆ่าตัวตายเป็นเหตุได้ ครับ

เชิญคลิกอ่านได้ที่...

พระโคธิกะปรินิพพาน [โคธิกสูตร]

เกิดมาแล้วก็นานหลายปี ยังไม่ตาย แต่ก็จะต้องตายแน่ๆ เกิดแล้วต้องทุกคนความตายไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะมาถึงเมื่อใด พระธรรมที่แสดงถึงความตายก็เพื่อเตือนให้ระลึกได้ว่า อย่างไรก็ต้องตาย และจะตายเมื่อใด ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดก่อนตาย คือ ได้เข้าใจความจริงว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย คืออะไร มีจริงๆ หรือไม่ เหลืออะไรบ้างหรือเปล่า? ยกตัวอย่าง จิตขณะแรกในชาตินี้ (ปฏิสนธิจิต) เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเหลือเลย แม้แต่เห็นขณะนี้ ก็ไม่มีเหลือ เกิดแล้วก็ดับไป ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์จากการที่เกิดมาแล้วต้องตาย (จะเร็วจะช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง) อย่างน้อยในชาตินี้ ก็มีประโยชน์ที่ได้รู้ความจริง ตามความเป็นจริงแล้ว เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง แม้แต่ในขณะต่อไป และที่สำคัญทุกคนจะต้องตายแน่นอน ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ยิ่งขึ้นด้วย ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด

ธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของกุศลเห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญา ย่อมไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญในการเจริญกุศล และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เคยกล่าวเตือนไว้ว่า

-มีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีความดี ก็ไม่ต่างอะไรกับซากศพ

-ชีวิตประจำวัน เก็บขยะ (สะสมอกุศล) หรือเริ่มทิ้งขยะ (สะสมกุศล ขัดเกลากิเลส) บ้างแล้ว?

-มีหรือที่ปัญญาจะเลือกทำชั่ว?

-เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่ คือ การเสียซึ่งคุณความดี.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kinder
วันที่ 28 ก.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
isme404
วันที่ 28 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sea
วันที่ 17 ต.ค. 2564

กราบขอบพระคุณค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ต.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ