การเข้าใจธรรมก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยใช่หรือไม่

 
papon
วันที่  17 ก.ย. 2556
หมายเลข  23628
อ่าน  1,429

การเข้าใจธรรมก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยใช่หรือไม่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมทั้งหลายที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ดั่งที่กล่าวว่า ธรรมไม่อิสระ ไม่อิสระ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งคำว่า เหตุปัจจัย ดูเหมือนพูดง่าย แต่มีความละเอียดลึกซึ้ง เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัยต่างๆ มีปัจจัย ๒๔ ปัจจัย ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง หรือหลายๆ ปัจจัยก็ได้ ซึ่งสำหรับปัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นเจตสิกฝ่ายดี เมื่อเป็นเจตสิกแล้ว ก็เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง จึงเกิดขึ้นเป็นไปได้ ซึ่งปัญญา เป็นความเห็นถูกนั้น ก็เป็นความเห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีหลายระดับ ซึ่งปัญญามี ๕ ประการ ดังนี้

๑. ปัญญาที่เชื่อกรรม และผลของกรรม

๒. ปัญญาที่เป็นไปในการเจริญสมถภาวนา

๓. ปัญญาที่เป็นไปในการเจริญวิปัสสนา

๔. ปัญญาในมรรคจิต

๕. ปัญญาในผลจิต

จะเห็นนะครับว่า ปัญญามีหลากหลายระดับ ตั้งแต่ปัญญาความเห็นถูกขั้นต้นจนถึงสูงสุด ซึ่งปัญญาจะเจริญได้ ก็ด้วยอาศัยเหตุปัจจัย ซึ่งเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญา ก็ด้วยการฟังพระธรรม ซึ่งพระธรรม นี่เป็นปัจจัยกว้างๆ แต่หากจะพิจารณารายละเอียดเหตุให้เกิดปัญญาแล้ว ก็มีปัจจัยหลายประการ

๑. การเคารพยำเกรง ผู้ที่เป็นมิตร ผู้มีปัญญา

๒. การสอบถาม สนทนากับผู้มีปัญญา

๓. ความเป็นผู้ได้ ความสงบกาย และสงบใจ

๔. เป็นผู้มีศีล

๕. เป็นผู้ฟังมาก

๖. เป็นผู้มีความเพียร

๗. เมื่ออยู่ในที่ประชุม สนทนาในสิ่งที่เป็นประโยชน์

๘. มีปัญญาเข้าใจความจริงของสภาพธรรม

นี่เป็นเหตุ ๘ ประการ ให้ได้ ปัญญา

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ

เหตุ ๘ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา [ปัญญาสูตร]

จากที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าปัญญา ความเข้าใจ อาศัยเหตุปัจจัย การสะสมมา จึงเกิดขึ้นได้ การจะมีปัญญาได้ ด้วยการคบสัตบุรุษ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมของท่าน ที่เป็นพระธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นต้น และก็เกิดกุศลจิตประการต่างๆ เป็นเหตุให้เกิดปัญญา ตามที่ได้ศึกษาและปัญญาก็เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ทั้งปัญญาที่เชื่อกรรม และผลของกรรม ก็เจริญขึ้นได้ ด้วยการศึกษาพระธรรม ปัญญาขั้นสมถภาวนา วิปัสสนา มรรค ผล จะมีได้ ปราศจากการฟังศึกษาพระธรรมไม่ได้เลยครับ

สมดังเช่น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง ธรรมที่ได้ฟังด้วยดี ย่อมเกิดปัญญา ความเข้าใจ สะสมไปทีละน้อย ครับ และเหตุให้เกิดปัญญา อีก ๔ ประการ คือ

ในอัฏฐสาลินี อรรถกถา ธรรมสังคณี ได้แสดงไว้ดังนี้ เหตุให้เกิดกุศลที่มีปัญญานั้น มีดังนี้ โดยกรรม โดยความเกิดขึ้น โดยความแก่รอบแห่งอินทรีย์ ความเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส

โดยกรรม หมายถึง กุศลกรรมที่ทำแล้วปรารถนาน้อมไปให้มีปัญญา ตามปกติที่ทำกุศล บางครั้งก็ทำโดยไม่คิดอะไร บางครั้งทำไปเพื่อหวังได้เกิดในภพ ภูมิที่ดี หรือบางครั้งทำไปเพื่อจะได้สิ่งตอบแทนมา เช่น ลาภ สักการะ เป็นต้น แต่กุศลใดที่ทำแล้ว น้อมบุญที่ทำไปนั้นเพื่อให้เข้าใจธรรม หรือเพื่อให้มีปัญญา โดยจุดประสงค์เพื่อดับกิเลส กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยการกระทำที่กล่าวมาคือ ทำกุศลแล้วน้อมกุศลไปเพื่อมีปัญญา

โดยความเกิดขึ้น กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เมื่อเกิด ก็เพราะกุศลนั้นเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด จะทำให้กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้นไม่ได้ครับ ดังเช่น บุคคลที่เคยอบรมปัญญามา เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา แต่ภพภูมินั้น เป็นไปด้วยความเพลิดเพลิน แต่เพราะเคยอบรมปัญญามาในอดีต สิ่งเหล่านั้นไม่สูญหาย เทวดาเหล่านั้นย่อมระลึกเองได้บ้าง กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาจึงเกิดขึ้น เพราะความเกิดขึ้นของกุศลนั้นเอง

โดยความแก่รอบแห่งอินทรีย์ กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาคือปัญญาจะเกิดขึ้นได้นั้น ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่เหมาะสม เหมือนการปลูกต้นไม้ ผล ที่จะออกก็ต้องอาศัยกาลเวลา ไม่ใช่แค่วันสองวัน ปัญญาที่จะเกิดก็เช่นกัน เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม อบรมมาจนถึงเวลา (อินทรีย์แก่กล้า) ปัญญาก็จะเกิดขึ้นครับ ปัญญามีหลายระดับ ตัวอย่าง เช่น ปัญญาขั้นสติปัฏฐาน ก็ต้องอาศัยความแก่รอบของอินทรีย์คือ ฟังจนเข้าใจจนเหตุปัจจัยพร้อม สติก็เกิดระลึกสภาพธัมมะ ดังนั้น การอบรมปัญญาหรือปัญญาจะเกิดขึ้น ต้องมีเวลา และอดทนที่จะฟังต่อไป ขณะใดที่เดือดร้อนว่า ปัญญาไม่เกิด สติไม่เกิด เพราะเราไม่เข้าใจเหตุของปัญญาว่าจะต้องมีความแก่รอบของอินทรีย์คือ กาลเวลาและเหตุปัจจัยพร้อมที่ได้สะสมมา เป็นระยะเวลายาวนานครับ

โดยความเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส ทุกคนก็อยากจะมีปัญญา แต่ปัญญาจะเกิดขึ้นก็ต้องมีเหตุคือ ความเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส ตรงนี้สำคัญมาก ห่างไกลจากกิเลส เป็นอย่างไรคือ ถ้าเต็มไปด้วยอกุศลมากๆ ไม่มีเมตตา โกรธ โลภ เป็นต้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ห่างไกลจากกิเลส แต่ผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสนั้น คือ กุศลจิตเกิดบ่อยขึ้น (ขณะที่กุศลเกิดอกุศลไม่เกิด) เพราะอาศัยการฟังพระธรรม และรู้ประโยชน์ของการเจริญกุศลทุกประการ เพราะขณะที่ไม่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นอกุศลและถ้าอกุศลมีกำลังมาก ปัญญาขั้นสติปัฏฐานที่ฟังมาน้อย จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลส ดังมีคำกล่าวว่า ไม่ควรเป็นผู้ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อยดังนั้น ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส โดยการฟังพระธรรมโดยเฉพาะ เรื่อง บารมี ๑๐ ซึ่งเป็นกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่นทาน ศีล เมตตา ขันติ เป็นต้น เมื่อเข้าใจเหตุของปัญญาแล้ว ก็จะไม่ประมาทในการเจริญกุศล เป็นผู้ที่มีเมตตามากขึ้น อดทนมากขึ้นพร้อมๆ กับการฟังเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน นี้เป็นเหตุปัจจัย ที่จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญญาขั้น สติปัฏฐานครับ

จากที่กล่าวมาแสดงถึง ทั้งการสะสมมาในอดีตที่เป็นปัจจัยให้มีการเกิด เกิดจากกรรมที่ทำให้มีปัญญา และอาศัยเหตุปัจจัยอื่นๆ อันแสดงให้เห็นว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ แต่มีการฟังศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ สมดังที่พระเถระกล่าวว่า

[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ หน้าที่ ๔๙

๑. มหาจุนทเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระมหาจุนเถระ
[๒๖๘] ได้ยินว่า พระมหาจุนทเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า การฟังดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ การฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา บุคคลจะรู้ประโยชนก็เพราะปัญญา ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ฯลฯ

ดังนั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องปัญญา ความเข้าใจ หน้าที่ที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรมต่อไป ปัญญาจะค่อยๆ เกิด เจริญขึ้นเอง ทีละน้อยเมื่อดำเนินในหนทางที่ถูก ในอนาคต ย่อมเกิดปัญญา และเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด เพราะ ปัญญาไม่ได้หายไปไหนหากเกิดแล้ว แต่สะสมต่อไป จนในที่สุดมีกำลัง ทำหน้าที่ดับกิเลส โดยอาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาตามที่กล่าวมาทั้งหมด ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 18 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 18 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคนจริงๆ คนในโลกนี้มีเท่าใด แล้วจำนวนผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องมีเท่าใด ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม มีน้อยมากเทียบส่วนกันไม่ได้เลย พระธรรมจึงสำหรับเฉพาะผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆ ปัญญาเอง ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดได้ ต้องอาศัยเหตุหลายอย่างหลายประการด้วยกัน เพราะได้เกิดในถิ่นที่มีพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีโอกาสได้พึ่งพิงบุคคลผู้มีปัญญา พร้อมกับได้ฟังความจริงซึ่งเป็นพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงจะเป็นเหตุให้ได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ขณะที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกนั้น ก็เป็นการสะสมปัญญาต่อไปแล้ว ก็เพราะว่าเคยเป็นผู้ได้เห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว จึงจะเป็นอย่างนั้นได้ ที่สำคัญจะต้องไม่ขาดการการฟังการศึกษาพระธรรม ตราบใดที่ยังมีการฟัง การศึกษา การสนทนา ไม่ละเว้นโอกาสอันสำคัญนี้ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป (เก็บเล็กผสมน้อย) ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานจริงๆ ในการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้ ชาตินี้เท่านั้นต้องเป็นเวลาที่ยาวนานกว่าปัญญาจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 18 ก.ย. 2556

ปัญญา เกิดจากปัจจัยหลายปัจจัย เช่น การคบสัตบุรุษ การฟังธรรม มีความตั้งใจ

ที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 22 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ