--ทีละหนึ่งจิต--

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  1 ก.ค. 2556
หมายเลข  23113
อ่าน  1,207

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอเชิญรับฟัง...

ที่ละหนึ่งจิต

อ.อรรณพ "ทีละหนึ่งจิต" จิตเป็นสภาพรู้ เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ทำกิจหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เห็นแล้วก็ดับไป แล้วจิตขณะต่อไป ก็เกิดขึ้นทันที ไม่มีระหว่างคั่น แต่เพราะ ความเกิดดับสืบต่อ ที่รวดเร็ว จึงเป็น นิมิต รูปร่าง สัณฐานต่างๆ ปัญญา เท่านั้น ที่ทำให้ เข้าใจถูกว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน แต่เป็น สภาพธัมมะ ที่เกิดแล้วดับ (จากการสนทนา จุนทิสูตร ที่ มศพ. ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕)

คุณกนกวรรณ ที่ศึกษา หนูยังไม่เข้าใจ คำว่า ทีละหนึ่ง ค่ะ ท่านอาจาย์

ท่าน อ. สุจินต์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหมคะ

คุณกนกวรรณ มีค่ะ

ท่าน อ. สุจินต์ สองจิต หรือ หนึ่งจิต

คุณกนกวรรณ ตามการศึกษา ก็เกิดขึ้นทีละจิตค่ะ

ท่าน อ. สุจินต์ เพราะเหตุว่า เห็น ก็เป็นจิต ได้ยิน ก็เป็นจิต

คุณกนกวรรณ ค่ะ

ท่าน อ. สุจินต์ เพราะฉะนั้น จิตเห็น ไม่ใช่ จิตได้ยิน เพราะฉะนั้น ก็ต้องต่างกัน เป็นแต่ละหนึ่ง ใช่ไหม จิต เป็น ธัมมะ ซึ่งทันทีที่จิตนั้นดับ ปราศไป หมดไป จึงเป็นปัจจัย ให้จิตขณะต่อไป เกิดได้ ด้วยเหตุนี้ ถ้าจิตขณะนี้ ยังไม่ดับ จิตต่อไปเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จิต จึงเกิดขึ้นได้ เพียงทีละหนึ่ง เพราะว่า ตัวจิตเอง เป็น ปัจจัยที่ ตราบใดที่ จิตนั้น ยังไม่ดับไป จิตอื่น เกิดสืบต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตทุกจิต เว้น จุติจิตของพระอรหันต์ เป็น อนันตรปัจจัย ชื่อนี้ หมายความว่า ทันทีที่ จิตนี้ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น ทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะนี้ ที่เข้าใจว่า มีจิตมากมาย ทั้งจิตเห็น จิตได้ยิน จิตคิดนึก และ รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นเพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วของจิต สุดที่จะประมาณได้ เพราะเหตุว่า ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็คือว่า จิตเห็นเพียงเห็น เท่านั้น ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย แต่ที่จะรู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร ไม่ใช่จิตเห็น แต่เป็นเพราะเห็นแล้ว คิดและจำ รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏ ก็เกิดดับด้วย อย่างเร็วมาก จนกระทั่ง ปรากฏ เป็น นิมิตตะ เป็นรูปร่างสัณฐาน แล้วก็ในขณะที่จิตเกิด ก็จะต้องมีสภาพของความจำ ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ที่พระผู้มีพระภาค ใช้คำว่า สัญญาเจตสิก เป็น สภาพที่ เกิดพร้อมจิต ทุกขณะ

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจิตจะรู้แจ้ง มี สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ถ้าทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ คนตาบอดไม่เห็น ไปบอกคนอื่น ที่เขาไม่อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่สามารถ ที่จะรู้ได้ ว่า สิ่งที่ปรากฏ ขณะนี้ เป็นอย่างไร เพราะ จิตเห็นเท่านั้น ที่กำลังเห็นแจ้ง ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ นี่ก็คือ ทีละหนึ่ง ถ้าตราบใด ที่ยังไม่เห็นว่า สภาพธัมมะ มีความหลากหลายต่างกัน เกิดขึ้น จึงเป็น สภาพธัมมะนั้น ชั่วคราว แล้วก็ดับไป ก็ยังคงมีหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ปรากฏ เสมือนว่า พร้อมกัน แต่ยังไม่เห็นอย่างนั้น แต่ฟังด้วยความเข้าใจ ว่า สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ถูกต้อง และเป็นจริงไหม และ ใครเป็นผู้ที่ทรงแสดงความจริงนี้ และ แสดงได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ ผู้ที่ตรัสรู้ ความจริงของสิ่งที่มี ทุกอย่าง โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ก็จะไม่ทรงแสดง ให้คนอื่น ได้สามารถ เห็นถูก เข้าใจถูก ว่า ไม่มีอะไรเลย ที่จะเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่มั่นคง เพราะเหตุว่า เป็น สภาพธัมมะ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย ทีละหนึ่ง แล้วก็ดับไป อย่างแข็งไม่ใช่เสียง แข็งก็เป็นแข็ง แข็งก็เกิดดับ เสียงก็เกิดดับ ก็ทีละหนึ่ง จะเอาเสียงมาปนกับแข็ง ก็ไม่ได้ ก็เป็นสภาพธัมมะ แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง เท่านั้นเอง ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะรู้ไหม ว่า ที่กำลังเห็น เห็นแล้ว กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแล้ว ไม่มีใครทำ แล้วก็เปลี่ยนเห็น ให้เป็นอย่างอื่น ไม่ได้ด้วย นี่คือ ฟัง จนกว่าจะเข้าใจ การเกิดขึ้น และ เห็น เพียงชั่วคราว แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก จึงสามารถที่จะ ละ การยึดถือ สภาพธัมมะ ความติดข้อง ว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นตัวตน หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือ การฟัง แล้วเข้าใจ สิ่งที่กำลังฟัง ไม่ไปคิดเรื่องอื่น ถ้าคิดเรื่องอื่น ต้องคิดไม่เหมือนที่กำลังฟัง ใช่ไหมคะ

คุณกนกวรรณ ปัญญา เรายังไม่ถึงขนาด ที่จะไป คิดถึง ณ หนึ่ง ขณะจิต ใช่ไหมคะ ท่านอาจารย์

ท่าน อ. สุจินต์ ขณะนั้น เป็นคุณกนกวรรณ พิจารณา ถูกต้องไหมคะ

คุณกนกวรรณ ค่ะ

ท่าน อ. สุจินต์ ถ้าขณะนี้ เห็น แล้วก็ได้ฟัง ว่า เห็นมีจริงๆ แล้วกำลังเห็นด้วย และ เห็น ก็จริงด้วย แล้วก็ไม่มีใครทำให้เห็นเกิด พอมีได้ยิน ก็ไม่ใช่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น เห็นนี่ต้องดับไปก่อน เพราะเหตุว่า รูปหรือสิ่งที่เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เห็นไม่ได้เลย ต้องเป็นธาตุ ที่สามารถรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดขึ้น รู้สิ่งนั้น แล้วก็ดับไป คือ เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ฟังให้เข้าใจค่ะ

แม้ว่าเราจะพูดคำนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก กี่ภพกี่ชาติ แต่แม้แต่จะเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ก็ยาก แต่เมื่อเป็นความจริง ก็ฟัง จนกระทั่งสามารถเริ่มเข้าใจ แต่ละหนึ่ง ที่มีจริงๆ ว่า เพียงชั่วคราว จริงหรือเปล่า เสียงปรากฏ เพียงชั่วคราว จริงหรือเปล่า คิด ปรากฏ เพียงชั่วคราว จริงหรือเปล่า ชอบปรากฏ เพียงชั่วคราว จริงหรือเปล่า ทุกอย่าง ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ เกิด ปรากฏ แล้วก็หมดไป

จาก ใหญ่ราชบุรี จันทร์ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
daris
วันที่ 1 ก.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nong
วันที่ 1 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
rrebs10576
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
rrebs10576
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ