ที่ละหนึ่งจิต


    อ.อรรณพ จิตเป็นสภาพรู้ เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ทำกิจหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เห็น แล้วก็ดับไป แล้วจิตขณะต่อไปก็เกิดขึ้นทันที ไม่มีระหว่างคั่น แต่เพราะความเกิดดับสืบต่อที่รวดเร็วจึงเป็นนิมิต รูปร่างสัณฐานต่างๆ ปัญญาเท่านั้นที่ทำให้เข้าใจถูกว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แต่เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ

    จากการสนทนาจุนทิสูตร ที่ มศพ. ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕

    ผู้ฟัง ที่ศึกษา หนูยังไม่เข้าใจคำว่า “ทีละหนึ่ง”

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ๒ จิต หรือ ๑ จิต

    ผู้ฟัง ตามการศึกษาก็เกิดทีละจิตค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะเหตุว่าเห็นก็เป็นจิต ได้ยินก็เป็นจิต เพราะฉะนั้น จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน ก็ต้องต่างกันเป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น จิตเป็นธรรมซึ่งทันทีที่จิตนั้นดับไป ปราศไป หมดไป จึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้

    ด้วยเหตุนี้ถ้าจิตขณะนี้ยังไม่ดับ จิตต่อไปเกิดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จิตจึงเกิดขึ้นเพียงทีละหนึ่ง เพราะตัวจิตเองเป็นปัจจัยที่ตราบใดที่จิตนั้นยังไม่ดับไป จิตอื่นเกิดสืบต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตทุกจิต เว้นจุติจิตของพระอรหันต์เป็นอนันตรปัจจัย ชื่อนี้หมายความว่า ทันทีที่จิตนี้ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น ทีละหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะนี้ที่เข้าใจว่ามีจิตมากมาย ทั้งจิตเห็น จิตได้ยิน จิตคิดนึก และรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นเพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วของจิต สุดที่จะประมาณได้ เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือจิตเห็นเพียงเห็นเท่านั้น ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย แต่ที่จะรู้ว่า สิ่งที่เห็นเป็นอะไร ไม่ใช่จิตเห็น แต่เป็นเพราะเห็นแล้วคิด และจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏก็เกิดดับด้วยอย่างเร็วมาก จนกระทั่งปรากฏเป็นนิมิต เป็นรูปร่างสัณฐาน และในขณะที่จิตเกิด ก็ต้องมีสภาพของความจำซึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิกที่พระผู้มีพระภาคทรงใช้คำว่า “สัญญาเจตสิก” เป็นสภาพที่เกิดพร้อมจิตทุกขณะ

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจิตจะรู้แจ้ง มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ถ้าทางตา สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ คนตาบอดไม่เห็น ไปบอกคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอย่างไร เพราะจิตเห็นเท่านั้นที่กำลังเห็นแจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

    นี่ก็คือทีละหนึ่ง ถ้าตราบใดที่ยังไม่เห็นว่า สภาพธรรมมีความหลากหลายต่างกัน เกิดขึ้นจึงเป็นสภาพธรรมนั้นชั่วคราวแล้วก็ดับไป ก็ยังคงมีหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างปรากฏเสมือนว่าพร้อมกัน แต่ยังไม่เห็นอย่างนั้น แต่ฟังด้วยความเข้าใจว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้อง และเป็นจริงไหม และใครเป็นผู้ทรงแสดงความจริงนี้ และแสดงได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีทุกอย่างโดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ก็จะไม่ทรงแสดงให้คนอื่นสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยทีละหนึ่ง แล้วก็ดับไป อย่างแข็งไม่ใช่เสียง แข็งก็เป็นแข็ง แข็งก็เกิดดับ เสียงก็เกิดดับ ก็ทีละหนึ่ง จะเอาเสียงมาปนกับแข็งก็ไม่ได้ ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ๆ ๆ เท่านั้นเอง

    ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะรู้ไหมคะว่า ที่กำลังเห็น เห็นแล้ว กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแล้ว ไม่มีใครทำ และเปลี่ยนเห็นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ด้วย

    นี่คือฟัง จนกว่าจะเข้าใจการเกิดขึ้น และเห็นเพียงชั่วคราว แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก จึงสามารถละการยึดถือสภาพธรรม ความติดข้องว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตน หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้

    นี่คือการฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ไม่ไปคิดเรื่องอื่น เพราะคิดเรื่องอื่น ต้องคิดไม่เหมือนที่กำลังฟัง ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ปัญญายังไม่ถึงที่จะไปคิด ณ ๑ ขณะจิต ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นเป็นคุณกนกวรรณพิจารณา ถูกต้องไหมคะ แต่ถ้าขณะนี้เห็นแล้วก็ได้ฟังว่า เห็นมีจริงๆ และกำลังเห็นด้วย และเห็นก็จริงด้วย และไม่มีใครทำให้เห็นเกิด พอมีได้ยินก็ไม่ใช่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น เห็นนี้ต้องดับไปก่อน เพราะเหตุว่ารูปหรือสิ่งที่เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เห็นไม่ได้เลย ต้องเป็นธาตุที่สามารถรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นแล้วก็ดับไป คือ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป

    ฟังให้เข้าใจค่ะ ไม่ว่าเราจะพูดคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก กี่ภพกี่ชาติ แต่แม้จะเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ก็ยาก แต่เมื่อเป็นความจริง ก็ฟัง จนกระทั่งสามารถเริ่มเข้าใจแต่ละหนึ่งที่มีจริงๆ ว่าเพียงชั่วคราว จริงหรือเปล่า เสียงปรากฏเพียงชั่วคราวหรือเปล่า คิดปรากฏเพียงชั่วคราวหรือเปล่า ชอบปรากฏเพียงชั่วคราวหรือเปล่า ทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป


    หมายเลข 9481
    19 ก.พ. 2567