ฟังด้วยดีคืออย่างไร

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  1 ก.ค. 2556
หมายเลข  23112
อ่าน  1,810

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ฟังด้วยดีคืออย่างไร

อ.อรรณพ ฟังด้วยดีคืออย่างไร คือ เข้าใจ สิ่งที่กำลังฟัง แต่ละคำ ไม่ใช่รวมๆ ฟัง เพื่อเข้าใจ สิ่งที่มีจริง ขณะนี้ ทีละหนึ่ง ไม่ใช่ฟังอย่างอื่น หรือให้ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ (จากการสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที มศพ. ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕)

อ. สุจินต์ ฟังเข้าใจ สิ่งที่กำลังฟัง ทุกคำ เพียงคำเดียว อย่างคำว่า "ธัมมะ" ได้ยินแล้ว ก็เข้าใจด้วย ใช่ไหม สิ่งที่มีจริง ในภาษาไทยทุกอย่าง ที่มีจริง ในขณะนี้ เปลี่ยนไม่ได้ เป็น สิ่งที่ปรากฏ ว่า เป็นสิ่งนั้น เปลี่ยนเป็น สิ่งอื่นไม่ได้ มีความเข้าใจ ในสิ่งที่ปรากฏ จริง อย่างนี้หรือเปล่า

เพราะฉะนั้น เพียงคำเดียว ไม่ใช่ว่า เราจะผ่านไป โดยที่ไม่เข้าใจว่า ขณะนี้ เรากำลังฟังเรื่องอะไร แล้วฟังด้วยดี เป็นยังไง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ว่า มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ฟัง เพื่อที่จะให้เข้าใจ ในความจริงของสิ่งที่มีจริงเท่านั้น เพราะเหตุว่า ขณะนี้ ไม่มีสิ่งอื่น นะคะ นอกจาก สิ่งที่มีจริง ในขณะนี้มี แต่ว่า ยังไม่รู้ ความจริงของสิ่งที่มีจริง อย่างนี้ ชื่อว่า ฟังด้วยดี หรือเปล่า ฟังให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีจริงขณะนี้ ยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่า แม้ปรากฏ ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ไม่ได้รู้ความจริงเลย เพียงแต่ปรากฏ แล้วก็ไม่ได้ปรากฏตลอดไปด้วย ชั่วคราวจริงๆ ปรากฏแล้วก็หมดไป แต่การเกิดขึ้น ปรากฏ ก็ไม่รู้ หมดไปก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ฟัง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เพื่อเข้าใจ จนกว่าจะรูัว่า สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง เพียง หนึ่ง ไม่ใช่พร้อมๆ กัน หลายอย่าง เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่กำลังปรากฏว่า มีจริงขณะนี้ เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่สิ่งอื่นที่จะ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์

แต่ว่า ลักษณะของสิ่งนั้น เป็น สิ่ง ซึ่ง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย อย่างขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้เห็น ฟังด้วยดี สิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังปรากฏ ให้รู้ว่า เป็น สิ่งที่มีจริง ที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้น ที่เคยเข้าใจ ว่า เป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ ขณะนั้น เป็นความเข้าใจถูก หรือเปล่า ไม่ใช่ ให้ไปคิดทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ให้พิจารณาจนกว่า จะเข้าถึง หรือ เข้าใจจริงๆ ในความเป็นจริง ของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งยากมาก เพียงเท่านี้ ก็ยังเป็น คนนั้น คนนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่ปรากฏให้เห็น เพราะ การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว สุดที่จะประมาณได้ ไปเปลี่ยน สิ่งที่ปรากฏ ว่า เป็น ใบไม้ ดอกไม้ หรือว่า ขาโต๊ะ หรือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กำลังปรากฏ เปลี่ยนได้ไหม ไม่มีทาง แม้แต่ความเป็นใบไม้ ที่ปรากฏ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น แต่สามารถที่จะเข้าถึง ความจริง ว่าที่กำลังปรากฏ จริงๆ แล้ว ก็คือ แน่นอนที่สุด ต้องเป็นเพียง สิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ แต่จะปรากฏในรูปร่างลักษณะอย่างใด ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ความจริงที่แน่นอน ก็คือว่า เป็นเพียง สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น นี่คือ ฟังด้วยดี ไม่ใช่ไปฟังอย่างอื่นเลย แล้วก็พูดบ่อยๆ เพื่อว่า ให้พิจารณาว่า จริงอย่างนี้หรือเปล่า

เมื่อจริงอย่างนี้ ที่เข้าใจว่า เป็นคน ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ที่เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะ มีสิ่งซึ่งเป็น คำ ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำและเข้าใจแล้ว ก็คือว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ต้องมีแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว แล้วก็สภาพของอาโปธาตุ ที่เกาะกุม สิ่งที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว โดยที่ใครก็ไปสั่ง ไปเปลี่ยนแปลง ให้เป็นอย่างอื่น ไม่ได้เลย

นี่คือ ศึกษาให้เข้าใจความจริง ที่เป็นปรมัตถะธรรมะ เป็นธัมมะที่มีจริง เราบอกว่า ดอกไม้มีจริง แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสีสันวรรณะ แล้วเวลากระทบสัมผัส ก็อ่อนหรือแข็ง เวลาที่กลิ่นปรากฏ ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ สิ่งที่มีจริง แต่ละอย่าง ซึ่งรวมกัน แต่ว่า เป็นแต่ละหนึ่ง จริงๆ ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

ผู้ที่ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดง ความจริง ให้คนอื่น เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ เริ่มพิจารณาว่าความจริงเป็นอย่างนี้นะคะ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราเกิดเราตาย ไม่ใช่คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่เป็น"สิ่งที่มีจริง" ซึ่งใช้คำว่า "ธาตุ" ธาตุ ในภาษาบาลี หรือจะใช้คำว่า "ธัมมะ" ก็ได้ แต่ว่า ถ้าเราเข้าใจ ความหมาย ก็คือ สิ่งนั้น เป็น สิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะที่มีจริงนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้เลย

ฟังด้วยดี หรือเปล่า นี่ก็คือ ฟังให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ให้เข้าใจขึ้น ขอยกตัวอย่าง ถ้าเรียกชื่อคุณอรวรรณ แค่ได้ยิน ทุกคนจำได้ ใช่ไหม นึกถึง รูปร่างสัณฐาน หรือ เย็นร้อนอ่อนแข็ง หรือเปล่า ก็เปล่าเลย แต่ชื่อที่จำ สิ่งที่เคยปรากฏ รูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วก็เคยสนทนากัน ก็เป็นเรื่องเป็นราวว่า พบกันเมื่อไหร่ ครั้งไหน ยังไง เป็นต้น นั่นเป็นตัวตน เป็นการจำ ในสิ่งที่ไม่มี เพราะ ไม่ได้ปรากฏ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มีแต่ว่า ไม่ได้รู้ ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ นี่ก็เป็น ความต่างกัน

เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจ แม้แต่คำที่ว่า "สิ่งที่มีจริง เมื่อปรากฏว่า มี" แล้วเมื่อสิ่งนั้นหมดไป ยังคงเป็นสิ่งที่มีจริง หรือเปล่า หมดแล้ว ไม่เหลือเลย นี่คือ ฟังด้วยดี จนกว่า แม้ว่าเห็น แล้วก็รู้ว่า เป็นคุณอรวรรณ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจถูกว่า เพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มี ธาตุดิน น้ำ ไฟลม แล้วก็มี อากาสธาตุ แทรกคั่น ละเอียดยิบ เหมือนกองฝุ่น แล้วก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดที่เกิดแล้ว สิ่งนั้นก็ดับแล้ว จะรู้หรือไม่รู้ สิ่งนั้นก็เป็นอย่างนั้น

นี่คือ ฟังให้เข้าใจ สิ่งที่ปรากฏ ฟังด้วยดี แท้ที่จริง แค่เป็น คุณอรวรรณ แต่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสิ่งที่เคยยึดถือว่า เป็นคุณอรวรรณ ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีสิ่งที่จะปรากฏ กระทบตา ให้ปรากฏเป็น รูปร่างสัณฐานได้เลย

เพราะฉะนั้น ความจริงแท้ๆ ก็คือว่า มีสภาพธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริง เกิดดับปรากฏได้ แต่ละทาง ว่า มีจริงๆ เวลากระทบสัมผัส แข็งมีจริง แต่ก่อนนั้น เข้าใจว่า เป็นดอกไม้ เป็นถ้วยแก้ว เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ มีการจำรูปร่างสัณฐาน เพราะว่ารวมกัน จากสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็รูปร่างที่ปรากฏด้วย

เพราะฉะนั้น เวลาที่มีการนึกถึงสิ่งใด ขณะนั้น อะไรจริง คิดจริง แล้วสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน แม้แต่เวลานี้ ถ้าเทียบ กำลังคิดถึง คุณอรวรรณ คุณอรวรรณ อยู่ที่ไหน เห็นไหม เพราะ มี สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น กว่าจะเข้าใจธัมมะ ว่าคุณอรวรรณอยู่ที่ไหน มีหรือเปล่า แต่ว่า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว แม้แต่สิ่งที่เคยยึดถือว่า มีจริงๆ เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ปรากฏทีละทาง แล้วก็ยังจะคงยึดถือต่อไป ถ้าไม่เข้าใจ ความจริง

เพราะฉะนั้น การที่จะประจักษ์แจ้ง ความจริงของธัมมะ ไม่ใช่โดยความไม่รู้ แล้วก็ไปนั่งทำอะไร คิดว่าจะเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็เข้าใจว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แต่ต้องเป็น ความเข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะละความติดข้องได้ เพราะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

อ.นิภัทร เป็นธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม หรือเปล่า มีอากาสธาตุแทรกคั่น หรือเปล่า เกิดดับละเอียดยิบ เกิดแล้วดับแล้ว ไม่เหลือเลย หรือเปล่า ขณะนี้ เข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า คือ การฟังด้วยดี จนกว่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า "อนัตตา" แม้ว่าจะพูดว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

แต่ก็มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ในความหมายที่ว่า ไม่ใช่ตัวตน หมายความว่า สิ่งนั้นมี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สิ่งที่ดับแล้วหมดแล้ว ก็ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่เป็นใคร เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นเป็นคุณนิภัทร แต่ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ซึ่งเกิดดับ ว่างเปล่า จากการที่เคยยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง จนกว่าจะหมดความสงสัย ในลักษณะของสภาพธัมมะ แต่ละหนึ่ง ซึ่งกำลังปรากฏจริงๆ ด้วยความเข้าใจขึ้น

จาก ใหญ่ราชบุรี จันทร์ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เข้าใจ
วันที่ 1 ก.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
udomjit
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
rrebs10576
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
rrebs10576
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 8 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 24 มี.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 12 พ.ค. 2563

ยินดีในกุศลจิตของคุณธิดารัตน์​ ​เดื่อมณีด้วยค่ะ

... กราบเท้า​บูชา​คุณ​ท่าน​อาจารย์​สุ​จินต์​ด้วย​ความเคารพ​อย่างยิ่ง​ค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สิริพรรณ
วันที่ 14 พ.ค. 2563

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพ อย่างสูงยิ่ง

ถ้าไม่มีท่านอาจารย์คอยเตือน ชี้แนะในความละเอียดของสภาพธรรม ..แม้เรื่องการฟัง ก็หลงฟังเพลินไม่ใช่ฟังด้วยดี ก็ไม่มีวันที่จะรู้จักสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่ง ในขณะที่เกิดขึ้น ... แม้ขณะที่กำลังฟัง

ยินดีในกุศลคุณใหญ่ราชบุรี ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 14 พ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ