ควรชี้แจงหรือควรปล่อย

 
นิรมิต
วันที่  23 เม.ย. 2556
หมายเลข  22796
อ่าน  1,082

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน

คือ ตอนนี้ในเครือข่ายเฟสบุ๊คได้เกิดมีการนำเสนอการ์ตูนออกแนวขำขันอย่างหนึ่ง โดยที่มีตัวละครเป็นศาสดาจากศาสนาต่างๆ (ตามที่เห็นคร่าวๆ ไม่กล้าเข้าไปดูโดยละเอียด) โดยที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เนื้อหาเป็นการนำเสนอคล้ายๆ เชิงจิกกัดหรือล้อเลียน โดยนำเรื่องราว คำสอน ของศาสนาต่างๆ มาเขียนเป็นการ์ตูนแล้วเทียบกับอีกฝ่ายในเรื่องต่างๆ ว่า ถ้าเป็นศาสนานี้ ศาสดาองค์นี้ๆ จะกล่าวในเรื่องนี้ว่าอย่างไรในเชิงล้อเลียน ที่มองแล้วคิดว่าเนื้อหาค่อนข้างหนัก และเป็นการไม่เคารพในพระพุทธศาสนาอย่างมาก แต่เพราะเหตุว่าผู้เขียนน่าจะเป็นปุถุชนที่ไม่ได้สดับ ก็เป็นการเขียนที่สื่อออกมาค่อนข้างชัดว่าผู้เขียนไม่ได้มีความเคารพในคำสอนของพระศาสนา

ซึ่งขณะนี้ก็มีความเห็นต่างๆ เป็นเรื่องทะเลาะวิวาทกันในคอมเม้นท์ของเฟสบุ๊ค และ ยังมีเพจที่เป็นสื่อนำเสนอเรื่องราววิวาทต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ แล้วนำเรื่องราวเหล่านั้นไปตีความ และ วิพากษ์วิจารณ์อย่างออกรส เพื่อความบันเทิงของผู้อ่านที่ชื่นชอบในการตีความประเด็นที่ผู้คนชอบการทะเลาะวิวาทกัน ได้นำการทะเลาะวิวาทนี้ไปเขียนตีความนำเสนอในเพจของตน และก็มีผู้ออกความเห็นเป็นสองฝ่ายถกเถียงกันมากมาย

ในฐานะชาวพุทธที่ศึกษาพระธรรม ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ควรจะอยู่เฉยๆ หรือควรจะยื่นมือเข้าไปชี้แจง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่น่าจะใช่กาลที่สมควรเพราะประโยชน์คงไม่เกิด เพราะผู้คนขาดความเข้าใจพระธรรม แต่ถ้าไม่กระทำอะไร จะถือว่าปล่อยปะพระศาสนาให้ถูกทำลายหรือเปล่า เพราะประเด็นนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องหนัก ที่อาจพาผู้มีความเห็นผิดให้ทำกรรมหนักจนปิดสวรรค์ ปิดมรรคผล และก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากที่ไม่ใช่ว่าอธิบายไปแล้วจะมีผู้คนเข้าใจ

กราบขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในสมัยปัจจุบัน ในสมัยอนาคต และ แม้แต่ในสมัยพุทธกาล สภาพธรรมที่เป็นอกุศลก็ไม่เปลี่ยนแปลง อกุศลก็ไม่เปลี่ยนเป็นกุศล และ เป็นธรรมดาของสภาพธรรมเมื่อมีเหตุปัจจัย อกุศลก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ความเห็นผิด มีสำนักต่างๆ มากมาย พวกอัญเดียรถีย์ที่ไม่เลื่อมใสก็มีมาก และมีมากกว่าความเห็นถูก เพราะอกุศลย่อมมีมากกว่ากุศล แม้ในสมัยนั้น ก็ไม่มีใครที่จะสามารถจัดการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปดั่งใจได้ทั้งหมด เว้นไว้แต่บางส่วน บางพวกที่สะสมปัญญา สะสมความเห็นถูกมา อาศัยกัลยาณมิตรผู้มีปัญญามาก มีพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร เป็นต้น ที่ทราบอัธยาศัยของสัตว์โลกในแต่ละคน ในท่ามกลางความเห็นผิด ก็สามารถให้ผู้นั้นเข้าใจพระธรรม และ กลับมาเห็นถูกได้ นี่สำหรับบางบุคคล และ ผู้ที่เกื้อกูลก็มีปัญญามาก ที่จะรู้ว่าจะเกื้อกูลอย่างไร และเหลือวิสัยหรือไม่ที่จะเกื้อกูล ที่จะอธิบาย แต่แม้บางครั้ง ผู้ที่มีความเห็นผิดมาก ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย และ ไม่ได้สะสมความเห็นถูกมา พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงอนุเคราะห์ เพราะแทนที่จะเป็นประโยชน์ กลับจะเป็นโทษกับผู้นั้นเอง เพราะจะทำให้ผู้ที่ไม่เลื่อมใสและเห็นผิดเกิดอกุศลมากกว่าเดิม และ ทำทุจริตทางกาย วาจาที่ไม่ดีต่อพระพุทธเจ้าได้ เป็นเหตุให้เขาไปอบาย ไปนรก มีแต่เพิ่มโทษให้กับบุคลนั้น ครับ

ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญา พิจารณาว่าอะไรควรไม่ควร แม้แต่ในสมัยเมื่อคราวที่ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีทะเลาะกัน แม้พระพุทธเจ้าจะแสดงพระธรรมในเรื่องความสามัคคี และ พระธรรมส่วนต่างๆ ภิกษุเหล่านั้นก็ไม่เลิกทะเลาะกัน จนพระพุทธเจ้าต้องทรงหลีกเร้นไปที่อื่น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่ก็เป็นอกุศลที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่า การที่จะไปช่วยเหลือเกื้อกูลนั้น ควรคิดพิจารณาถึงประโยชน์ตน และ ประโยชน์ของผู้อื่นเป็นสำคัญ ว่าสิ่งใดทำแล้ว ทำให้กุศลเจริญ อกุศลเสื่อม ทั้งตนเอง และ ผู้อื่น สิ่งนั้นควรทำ แต่สิ่งใดก็ตามที่ทำแล้ว ทำให้กุศลเสื่อม อกุศลเจริญ สิ่งนั้นก็ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือเกื้อกูล จึงต้องพิจารณาจิตของตนเอง พิจารณาบุคคลที่จะเกื้อกูลว่า เมื่อมีแต่การทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างมาก ควรหรือไม่ ที่จะเข้าไปยุ่ง เพราะการเขียนการ์ตูน ล้อเลียน ก็แสดงอยู่แล้วว่าไม่มีความเคารพ ไม่มีความเลื่อมใส ไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ดังนั้น คำที่อธิบายไปกับผู้ที่ไม่เลื่อมใส ไม่มีศรัทธาเลย คำพูดนั้นแม้ดี แต่กลับเป็นคำพูดชั่วของบุคคลที่ไม่เลื่อมใสก็ได้ เพราะไม่ได้มีความเข้าใจ เพราะบุคคลนั้นไม่ได้ศึกษาธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ

พระพุทธศาสนาจะถูกทำลายหรือไม่นั้น ก็สำคัญที่ใจของแต่ละคน ที่มีความเข้าใจพระธรรมหรือไม่ หากผู้นั้นไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เลื่อมใส แม้อธิบายก็ไม่ได้ทำให้ใจเขากลับมาสู่ความเห็นถูก แต่สำคัญ คือ อาจจะเพิ่มอกุศลของปุถุชนที่ยังไม่มั่นคงในสิ่งที่มากระทบก็เป็นไปได้ การจะรักษาพระศาสนาที่ถูกต้อง เริ่มจากตนเองให้มีความเข้าใจถูกมากขึ้น และ การจะเพิ่มเปลวเทียนมากขึ้น ก็คือ การต่อไฟ กับเทียนที่มีไส้ มีไข สามารถที่จะจุดไฟต่อได้ คือ ให้ความเข้าใจพระธรรมกับบุคคลที่รับฟังและสนใจอยู่แล้ว ให้เขามีความเข้าใจถูกมากขึ้น ดีเสียกว่า การจะให้เกื้อกูลกับผู้ที่จะคิดว่าร้ายในพระรัตนตรัยอยู่แล้ว ก็มีแต่เพิ่มอกุศลทั้งสองฝ่าย ครับ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ไม่ว่าใครจะติเตียนเรา หรือ พระรัตนตรัย เธอจงเป็นผู้ไม่คัดค้าน เกิดอกุศล ชี้แจงในฐานะที่ชี้แจงได้ หากว่าเหลือวิสัยที่จะเป็นไปเพื่อเพิ่มอกุศลกับตนเองหรือผู้อื่น ก็กลับมาที่ตนเองที่จะรักษาพระศาสนาที่ใจของตน ที่จะให้มีความเข้าใจมากขึ้น ด้วยการเจริญอบรมปัญญา ตามกำลังของตนเองเป็น สำคัญ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
boonpoj
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nopwong
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
daris
วันที่ 24 เม.ย. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตามความเป็นจริงแล้ว อกุศลธรรม กับ กุศลธรรม เป็นธรรมคนละประเภทกัน ไม่ปะปนกัน แต่ละคนก็มีทั้งดีทั้งไม่ดี เป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตได้เลย จึงมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล

ควรที่จะได้พิจารณาว่า ความดีทุกอย่างทุกประการเป็นสิ่งที่ควรกระทำ ควรอบรมเจริญให้มีขึ้นทั้งนั้น โดยไม่ได้มีการบังคับว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ความดีเป็นความดี เป็นกุศลธรรม เป็นสิ่งที่ถูกต้อง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจตามความเป็นจริง ได้เห็นคุณของกุศลธรรม ว่าเป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นสุข ไม่นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยใดๆ , และ อกุศลธรรมทั้งหลาย พระองค์ก็ทรงแสดงไว้อย่างมากมาย เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่แต่ละคนก็มีมากๆ ด้วยกันทั้งนั้น เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจ ตามความเป็นจริง ได้เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลโดยประการทั้งปวง แล้วถอยกลับจากอกุศล ขัดเกลาด้วยกุศลธรรม ทั้งหมดนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไปตามความเป็นจริง ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นคุณของกุศล และ เห็นโทษของอกุศล มากน้อยแค่ไหน ตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ

พระธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว ผู้ไม่เห็นคุณของพระธรรม ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีมากทีเดียว ไม่ใช่เฉพาะในสมัยนี้เท่านั้นที่ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมมีมาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลเอง ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็มีเป็นจำนวนมาก แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ

เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หน้าที่ที่สำคัญของตน คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม เป็นคนดี ตนเองมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด มีชีวิตดำเนินไปตามปกติควบคู่ไปกับการอบรมเจริญปัญญา จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และเจริญกุศลประการต่างๆ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป ถ้ามีโอกาสที่จะแนะนำ พูดในสิ่งที่ถูกต้องตามความเป็นจริงแก่ผู้อื่นเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามโอกาสที่เหมาะสม ก็ย่อมเป็นสิ่งที่สมควร ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 24 เม.ย. 2556

มันยากที่จะแก้ไขความเห็นผิด เพราะเขาสะสมมาที่จะเห็นผิด เราไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ นอกจากตัวเองที่จะอบรมปัญญา ละความเห็นผิดของตนเอง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
นิรมิต
วันที่ 24 เม.ย. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
natural
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nong
วันที่ 25 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
small
วันที่ 2 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Thanapolb
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณอาจารย์เผดิมมากครับ ผมเข้าใจตามที่ท่านกล่าวสรุปโดยย่อดังนี้

"การจะรักษาพระศาสนาที่ถูกต้อง เริ่มจากตนเอง ให้มีความเข้าใจถูกมากขึ้น....ให้ความเข้าใจพระธรรมกับบุคคลที่รับฟังและสนใจอยู่แล้ว ให้เขามีความเข้าใจถูกมากขึ้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ไม่ว่าใครจะติเตียนเรา หรือ พระรัตนตรัย เธอจงเป็นผู้ไม่คัดค้าน เกิดอกุศล ชี้แจงในฐานะที่ชี้แจงได้ หากว่าเหลือวิสัย ที่จะเป็นไปเพื่อเพิ่มอกุศลกับตนเอง หรือ ผู้อื่น ก็กลับมาที่ตนเองที่จะรักษาพระศาสนาที่ใจของตนที่จะให้มีความเข้าใจมากขึ้น ด้วยการเจริญอบรมปัญญา ตามกำลังของตนเองเป็นสำคัญ..........."

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
orawan.c
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ