สัพเพ ธัมมา อนัตตา

 
ดรุณี
วันที่  22 เม.ย. 2556
หมายเลข  22790
อ่าน  9,774

สัพเพ (ทั้งหมดทั้งปวง)

ธัมมา (สภาพธรรมะ อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน)

อนัตตา (ไม่มีตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา)

แต่เท่าที่เห็นมีพระภิกษุหลายรูปรวมทั้งนักเขียนแนวธรรมะ นำประโยค "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ไปสอนคนว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น รวมทั้งพระธรรมและพระไตรปิฎกก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมีความละเอียดลึกซึ้ง และ ควรศึกษาด้วยความเคารพ ละเอียดรอบคอบ แม้แต่คำว่า อนัตตา ก็มีหลากหลายนัย ทั้งที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล และ เป็นสภาพธรรมที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เป็นต้น

นี่คือ ความหมายของความเป็นอนัตตา

ส่วนการไม่ควรยึดมั่นถือมั่น คำนี้จะต้องละเอียด ว่าอะไรที่ทำหน้าที่ไม่ยึดมั่น ถือมั่น และ ไม่ควรยึดมั่นถือในอะไร และ ไม่ควรยึดมั่น อย่างไร

ประเด็นแรก การยึดมั่นถือมั่น คือ ด้วยความเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล ด้วยโลภะ มานะ และ ความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์บุคคล ยึดมั่นด้วยกิเลส สภาพธรรมที่ทำหน้าที่ไม่ยึดมั่น ถือมั่น คือ ปัญญา ความเห็นถูก และ จะต้องเป็นปัญญาระดับสูงมาก ที่ดับความเห็นผิดจนหมดสิ้นถึงความเป็นพระโสดาบัน ชื่อว่า ละความยึดมั่นยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคลจริงๆ ไม่ใช่เพียงบอกว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น แล้วจะไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือ แค่เพียงคิด

ไม่ควรยึดมั่นในอะไร คือ ไม่ควรยึดมั่นในสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล เช่น เห็นขณะนี้ ก็สำคัญว่าเป็นเราเห็น เมื่อปัญญาเกิด ย่อมรู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เห็น ไม่ใช่เราที่เห็น ครับ

ไม่ควรยึดมั่นอย่างไร คือ ไม่ควรยึดมั่นที่สำคัญผิดว่ามีเรา มีสัตว์บุคคล แต่ปัญญาที่เกิดระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎแต่ละอย่าง ย่อมรู้ลักษณะของสภาพธรรมว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ในแต่ละขณะ ย่อมค่อยๆ ละความยึดถือผิดได้ทีละน้อย จนหมดสิ้นได้ ครับ

ดังนั้น การใช้คำว่า อย่ายึดมั่น มุ่งหมายถึง อย่ายึดมั่นในสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล ด้วยความเห็นผิด แต่ไม่ใช่หมายถึงอย่ายึดมั่นพระไตรปิฎก อย่ายึดมั่นตำราที่เป็นความเข้าใจเผินๆ ในคำว่า ยึดมั่น ครับ เพราะย่อมทำให้เข้าใจผิดว่า อย่ามัวเอาแต่ปริยัติ ไม่ปฏิบัติ แท้ที่จริง อาศัย ปริยัติ คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระไตรปิฎก ย่อมเกิดความเข้าใจถูก และถึงการปฏิบัติ คือ รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ และ ย่อมละความยึดมั่น ละความเห็นผิดว่าเป็นเราได้ เพราะอาศัยพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือพระไตรปิฎก ครับ

ซึ่ง คำว่า อนัตตา จึงครอบคลุมสภาพธรรมทุกอย่าง แม้แต่การไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ต้องละเอียดว่า บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย ที่จะเพียงบอกให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นและจะไม่ยึดมั่นถือมั่น เพราะไม่มีเรา เป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เพราะเป็นแต่เพียงธรรม คือ ปัญญาที่จะทำหน้าที่เอง ที่จะละความยึดมั่น เมื่อปัญญาไม่เกิดย่อมไม่สามารถละความยึดมั่น เห็นผิดว่าเป็นเราเป็นสัตว์ บุคคลได้ ครับ

การศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ สำคัญที่จะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานอย่างดี ก็จะทำให้เมื่อได้ยินคำใดก็ไม่คิดเอง ก็จะไม่เข้าใจผิด แม้แต่คำว่า อนัตตา และ ไม่ยึดมั่น ตามที่กล่าวมา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
boonpoj
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตาม พระมหากรุณาคุณที่พระองค์มีต่อสัตว์โลกนั้น ไม่มีผู้ใดเสมอกับพระองค์ได้เลย

ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่รวบรวมเป็นพระธรรม ๓ ปิฎก คือ พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้เลย และถ้าไม่มีความเข้าใจถูก เห็นถูกตั้งแต่ต้นแล้ว ก็ไม่สามารถละคลายความไม่รู้ ความติดข้อง ความยึดมั่นถือมั่นในสภาพธรรมได้เลย สภาพธรรมเกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน หาความเป็นสาระแก่นสารไม่ได้ ไม่ควรติดข้องยินดีไม่ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น

ถ้าจะไปถึงตรงนั้นได้ ก็ต้องมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจะไปมีความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาพธรรม ด้วยความไม่รู้ หรือด้วยความเป็นตัวตน เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญาโดยตลอด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นอนัตตาทั้งหมด เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ดรุณี
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สืบต่อพุทธ
วันที่ 17 มี.ค. 2557

ขอบคุณคำถามคุณดรุณี และพระอาจารย์ทั้งสองท่าน ผมได้สงสัยคำถามนี้อยู่ครับ

อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุครับ ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
กรุงศักดิ์
วันที่ 12 พ.ย. 2562

กราบอนุโมทนาครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ZanTa
วันที่ 25 ม.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 1 มี.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไปอีกแสนไกลและกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาตินั่นก็คือกุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันด้วย)

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
มังกรทอง
วันที่ 17 มิ.ย. 2565

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ