ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๘๑

 
khampan.a
วันที่  10 มี.ค. 2556
หมายเลข  22595
อ่าน  1,358

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๑]

--- วันนี้ทั้งวันเป็นเรื่องของตัณหาทั้งนั้น ทั้งซ่านไป ทั้งแผ่ไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หนังสือ โทรทัศน์ ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเรื่องความสนุกสนาน รื่นเริง ความสวยงามต่างๆ

--- ควรที่จะได้คิดจริงๆ ว่า สภาพธรรมมี และปัญญาสามารถรู้ความจริงของสภาพ ธรรมในขณะนั้นแทนอวิชชาได้ เพราะเหตุว่าขณะใด ที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นปัจจัยให้เกิดโลภะ หรืออกุศลประการอื่นๆ ได้

--- การสนทนาธรรมไม่ใช่เรื่องอื่น แต่เป็นเรื่องธรรมดาที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะ นี้ คงไม่ลืมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เป็นธรรม แต่อวิชชาไม่สามารถ จะรู้ความจริงของธรรมเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ไม่ต้องคิดหวังอย่างอื่น

ถ้าเรายังพอกพูนด้วยอวิชชา และกิเลสมากมายเหลือเกิน เราก็เหมือนคนไข้หนัก

เราก็รู้หนทางอยู่ แต่เราไปไม่ได้ หัวเข่าก็ไม่มีแรง ขาก็ไม่มีแรง หนทางอยู่ตรงนี้ แต่

เราก็ต้องอยู่ตรงนี้ไปไม่ไหว แต่ถ้าเรามีบารมี (คุณความดีประการต่างๆ ) เพราะรู้ว่า

อวิชชา และกิเลสทั้งหลายมีมาก จึงอบรมเจริญบารมีเพื่อให้กิเลสอ่อนกำลังลง และ

เราก็แข็งแรงขึ้น ก็มีหนทางที่เราจะเดินไปถึงฝั่งได้ เพราะว่ามีปัญญาที่รู้อยู่แล้วว่า ไป

ทางไหนที่จะทำให้กุศลเจริญ

รู้คุณค่าของปัญญา รู้ว่า ปัญญาประเสริฐสุด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ไม่ประเสริฐ

เท่ากับปัญญา เพราะฉะนั้น มีทางใดที่จะทำให้เราเกิดปัญญา เพราะว่าเรายังมีโลภะ

เรายังมีอวิชชา เรายังมีกิเลสเยอะมาก เพราะฉะนั้น จึงไม่ทิ้งการสะสมอบรมเจริญ

ปัญญา

ขณะที่เรากำลังได้รับคำที่เราไม่ชอบใจ เหมือนคำดูถูก ไม่ใช่เขาเลย

กรรมของเราที่ทำมาแล้วทำให้โสตวิญญาณของเราได้ยิน คนที่ดูถูกเรา ไม่ใช่คน

อื่นทำให้เราเลย กรรมของเราจริงๆ ต่อให้เราแสนดีอย่างไร คนก็ดูถูกเราได้

เพราะฉะนั้น การที่โสตวิญญาณของเราจะเกิดเมื่อใด ย่อมเกิดขึ้นเพราะกรรมที่เรา

ทำมาทั้งหมด พอเป็นเพราะกรรมที่เราทำมาเอง แล้วเราจะโกรธคนนั้นได้อย่างไร

เพราะว่าอกุศลของเขาก็อกุศลของเขา เขาก็ต้องรับกรรมของเขา

ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “มิตร” หรือ “เมตตา” ให้ลึกซึ้งจริงๆ ว่า ไม่มีอะไร

ขวางกั้นเลยระหว่างความเป็นเพื่อนแท้ๆ ที่ต้องการอุปการะเกื้อกูล และมีความหวังดี

อย่างจริงใจ

ชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน สั้นแสนสั้น คือ มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา

ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจชั่วขณะๆ เท่านั้นเอง

ลองคิดถึงวันที่ไม่ได้ฟังพระธรรม อกุศลจะเกิดขึ้นมากมายแค่ไหน

ชีวิตประจำวัน ลอยไปกับอวิชชาความไม่รู้และความติดข้องจริงๆ

สิ่งที่ดีมีค่า ถึงแม้จะน้อย ก็มีค่า ต่างกันมากกับสิ่งที่ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์ แม้จะ

มาก ก็ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์ ปัญญา กับ อกุศลธรรม เทียบกันไม่ได้เลย

ศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้

ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ก็ไม่สามารถมีพระธรรมเป็นที่พึ่งได้เลย

ธรรมไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันจริงๆ ความติดข้องเป็นปกติ ชอบไปทุกอย่าง

ชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไป

ตัวอย่างของ “คำพูดพลิกชีวิต” : พระอัสสชิเถระ กล่าวธรรม กล่าวคำจริง

พลิกชีวิตของอุปติสสปริพาชก จากที่เป็นปุถุชนถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล

ธรรม ยาก ลึกซึ้ง ถ้าไม่ใส่ใจในความละเอียดลึกซึ้งของความเป็นจริงของ

ธรรม ก็ไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้

คำพูดที่น่าฟัง น่ารักทำให้ผู้ฟังสบายใจ มีปรากฏในพระไตรปิฎก

แก้ที่จิตของตน (ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส) ไม่ก้าวก่ายจิตของคนอื่น

คำจริง ไม่ตาย คือ จริงโดยตลอด ไม่ผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

เวลาได้ยินได้ฟังพระธรรม ด้วยคำใด ก็เพื่อที่จะรู้ความจริงโดยอาศัยคำนั้นๆ

ไม่ใช่ให้ไปติดที่คำ เพราะแต่ละคำ ก็ส่องให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม

สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ใครจะเข้าใจได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัม

พุทธเจ้าทรงแสดง

สภาพธรรม เป็นจริงแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วดับไป ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร

ซึ่งความเป็นจริงนี้ ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ฟังพระธรรมต่อไป ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น

ความเข้าใจ ไม่ใช่ความอยาก ละความอยาก เพราะเข้าใจ แต่ขณะใด

ที่อยาก ขณะนั้นไม่เข้าใจ

เกิดมาแล้ว ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อใด ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อ การสะสมกุศล และ อบรมเจริญปัญญา ต่อไป.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๘๐ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- แต่ถ้าเราเข้าใจละเอียดลงไปจนกระทั่งถึงว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเลย เป็น

สภาพของจิต ถ้าจิตของคนอินเดีย เป็นกุศลก็น่าอนุโมทนามากกว่าอกุศลของคนไทย

เพราะว่า กุศลเป็นกุศล อกุศล เป็น อกุศล ไม่ใช่ว่า กุศลของคนไทยจะต้องดีกว่า กุศล

ของคนชาติอื่น หรือว่า อกุศลของคนชาติอื่น จะต้องร้ายกว่า อกุศลของคนไทย นี่

เป็นสี่งที่ทำให้เรานี้สามารถจะเข้าถึง สภาพจริงๆ เมื่อเข้าถึงสภาพธรรมจริงๆ แล้ว ไม่มี

ช่องว่างเลย มีความรู้สึกที่เป็นเพื่อน และพร้อมที่จะมีพรหมวิหารทั้ง ๔ ทั้ง เมตตา

กรุณา มุฑิตา อุเบกขา และอบรมเจริญปัญญา ที่จะให้เข้าถึงลักษณะที่แท้จริง

ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ยิ่งขึ้น ก็เป็นประโยชน์ทุกด้านเพียงแต่ต้องพิจารณาจิต

อย่าให้เศร้าหมอง และมีหลายทาง ทั้งกาย ทางวาจา ทางใจ

- สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอกับคนอื่น อันนี้จะไม่ทำให้มีช่องว่างเลย และ

ทำให้เรามีความสบายใจด้วย อย่างหลายคนที่มาอินเดียนี้ ก็มักจะเขา ขาวอินเดีย

เขา อาหารอินเดีย หรือว่าอะไรต่างๆ แต่ถ้าเรามีตนเสมอกับเขา คือ เขาก็มีตา

เราก็มี ตา เขาก็ เห็น เรา ก็เห็น เขามีหู เราก็มี หู เท่าๆ กัน เขามีจมูก มีกายมีใจ

มีโลภะ มีโทสะ มีกุศล ก็เหมือนๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะผิวพรรณอย่างไรก็ตาม ก็ทำ

ให้เราสามารถที่จะเข้ากับคนทั้งโลกได้ เพราะว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ก็คือผู้ที่

เกิดมาร่วมโลก มีความเป็นมนุษย์ และเป็นผลของกุศลกรรมที่ทำให้เกิดมาเป็น

มนุษย์ แต่อกุศลที่สะสมมา ก็ทำให้แต่ละบุคคล มีอัธยาศัยต่างๆ กัน

- วาจาที่น่าฟังซึ่งเป็นที่รัก แต่ก่อนเราอาจจะเป็นคนที่มีความรู้สึกอย่างไร ก็พูด

ไปอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้ขัดเกลา หรือว่าโดยลืมว่า คนฟังจะรู้สึกอย่างไร แต่ถ้า

เพียงเห็นประโยชน์นิดเดียวว่า กุศล ควรจะพร้อม ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เพราะ

ฉะนั้นเวลาที่พูดกับใคร ก็พูดสี่งที่มีประโยชน์ และพูดคำพูดที่น่าฟัง มีการคิดถึง

จิตใจของเขา และอนุเคราะห์เกื้อกูลเขา ให้เขาสามารถจะเข้าใจในเหตุ ในผลได้

หรือ ด้วยวาจาของเรา เราสามารถจะเป็นประโยชน์ แก่คนอื่น เราก็มี ปิยวาจา ด้วย

- ความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอน ป่วย ไข้ หรือ สนุกสนาน

ร่าเริง แต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้...เพราะฉะนั้น ความ

ตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใด ถ้าคิดว่า

ก่อนตายจะทำอย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แต่ว่าไม่มีใครจะไปทำอะไรได้ เพราะ

ปกติ คนอยากจะมีกุศลทุกวัน แต่ตามเหตุพอมีเหตุของอกุศล อกุศลก็เกิด และ ไม่

ต้องคร่ำครวญว่า อกุศลมากเหลือเกินเพราะเหตุว่า ถ้ารู้เรื่องเหตุและผลแล้ว และ รู้

ว่ากุศลน้อย ก็ต้องอบรมเจริญกุศลโดยไม่ประมาท

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เข้าใจ
วันที่ 10 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Noparat
วันที่ 10 มี.ค. 2556

รู้คุณค่าของปัญญา รู้ว่า ปัญญาประเสริฐสุด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ไม่ประเสริฐ

เท่ากับปัญญา เพราะฉะนั้น มีทางใดที่จะทำให้เราเกิดปัญญา เพราะว่าเรายังมีโลภะ

เรายังมีอวิชชา เรายังมีกิเลสเยอะมาก เพราะฉะนั้น จึงไม่ทิ้งการสะสมอบรมเจริญ

ปัญญา

สิ่งที่ดีมีค่า ถึงแม้จะน้อย ก็มีค่า ต่างกันมากกับสิ่งที่ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์ แม้จะ

มาก ก็ไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์ ปัญญา กับ อกุศลธรรม เทียบกันไม่ได้เลย

ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
บรรพต
วันที่ 10 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 10 มี.ค. 2556

ขณะที่เรากำลังได้รับคำที่เราไม่ชอบใจ เหมือนคำดูถูก ไม่ใช่เขาเลย

กรรมของเราที่ทำมาแล้วทำให้โสตวิญญาณของเราได้ยินคนที่ดูถูกเรา ไม่ใช่คน

อื่นทำให้เราเลย กรรมของเราจริงๆ ต่อให้เราแสนดีอย่างไร คนก็ดูถูกเราได้

เพราะฉะนั้น การที่โสตวิญญาณของเราจะเกิดเมื่อใด ย่อมเกิดขึ้นเพราะกรรมที่เรา

ทำมาทั้งหมด พอเป็นเพราะกรรมที่เราทำมาเอง แล้วเราจะโกรธคนนั้นได้อย่างไร

เพราะว่าอกุศลของเขาก็อกุศลของเขา เขาก็ต้องรับกรรมของเขา

- ความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอน ป่วย ไข้ หรือ สนุกสนาน

ร่าเริง แต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้...เพราะฉะนั้น ความ

ตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใด ถ้าคิดว่า

ก่อนตายจะทำอย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แต่ว่าไม่มีใครจะไปทำอะไรได้ เพราะ

ปกติ คนอยากจะมีกุศลทุกวัน แต่ตามเหตุพอมีเหตุของอกุศล อกุศลก็เกิด และ ไม่

ต้องคร่ำครวญว่า อกุศลมากเหลือเกินเพราะเหตุว่า ถ้ารู้เรื่องเหตุและผลแล้ว และ รู้

ว่ากุศลน้อย ก็ต้องอบรมเจริญกุศลโดยไม่ประมาท

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.เผดิม ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natural
วันที่ 10 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 11 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 11 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 11 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kinder
วันที่ 11 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
rrebs10576
วันที่ 11 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
nong
วันที่ 12 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
yupaporn
วันที่ 20 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ปัญญาประเสริฐสุด จะพยายามให้เกิดปัญญาตามความเข้าใจค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ