ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๘๐

 
khampan.a
วันที่  3 มี.ค. 2556
หมายเลข  22571
อ่าน  1,310

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๐]

--- บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรมและมีพระธรรมเป็นสรณะแล้วในชาตินี้ แต่ยังเป็นผู้มี กิเลสอยู่ เป็นผู้ที่กำลังดำเนินหนทางอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมที่ กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่ละภพแต่ละชาติ ก็จะต้องดำเนินตามรอยของพระโพธิสัตว์ ทั้งหลาย คือ สะสมบารมีต่างๆ สำหรับท่านที่บอกว่าจะปฏิบัติธรรม ซึ่งจะมีหลายท่าน ทีเดียว มิตรสหายของผู้ที่สนใจธรรมด้วยกัน ที่มีหลายท่านบอกว่าอยากจะปฏิบัติธรรม แต่ว่าสนใจเรื่องของการปฏิบัติธรรมมากน้อยแค่ไหน เพราะเหตุว่าการปฏิบัติธรรม คือ การละอกุศล ละโลภะ โทสะ โมหะ

--- สภาพธรรมที่เป็นสัจจะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความจริงของจิตเป็นอย่างไร ความจริงของเจตสิกเป็นอย่างไร ความจริงของรูปซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นอย่างไร ความจริงของนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ต่างกับจิต เจตสิก รูป อย่างไร ผู้ที่แสวงหาความจริง ต้องการประจักษ์แจ้งความจริง ผู้นั้นต้อง เห็นประโยชน์ของสัจจะ คือ ความจริงที่จะต้องอบรมไปทุกขั้น ตั้งแต่ขั้นของวาจาจริง

--- เป็นความจริงสำหรับคนทุกยุคทุกสมัย ที่ควรจะกลัวกำลังของกิเลสที่สะสมมา ในจิตนานแสนนาน เหมือนอสรพิษที่ขดอยู่ในข้อง ยังไม่มีโอกาสออกมาแสดงพิษร้าย ได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเล่าถึงอดีตชาติของพระองค์ เพื่อที่จะให้ ทุกคนไม่เป็นผู้ประมาท และมีสติระลึกถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรได้

ทุกท่านก็ต้องเป็นผู้ที่มีสัจจะ คำจริง วาจาจริง กายจริง ทำตามที่พูด และใจจริง

ต่อกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะสัจจะทั้งหมดต้องเป็นไปในกุศลธรรม

ทุกท่านที่ยังมีกิเลสอยู่ ลองพิจารณาดูว่า ท่านยังมีความโกงอยู่บ้างในตัวของ

ท่านเองไหม แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ ความโกงคือความไม่

ตรงต่อความจริง ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นผู้รู้ มีปัญญา ได้ฟังพระธรรมก็ตาม แต่ก็จะต้องเป็น

ไปตามกำลังของการแอบแฝงของกิเลสซึ่งในขณะนั้นมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น จึงทำให้

สภาพธรรมเป็นอกุศล เป็นความโกง

สัจจะ หมายความถึงกุศลจิตซึ่งตรงต่อการอบรมเจริญกุศล เพื่อเป็นบารมียิ่งขึ้น

ไม่คลาดเคลื่อนจากความคิดที่เป็นไปในกุศลว่า จะละเว้นการเบียดเบียนผู้อื่นด้วย

วาจาที่ไม่น่าฟัง เพราะรู้ว่าทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ว่าบางครั้งเวลาโกรธก็ลืมสัจจะนั้น

เสียแล้ว หรือว่าไม่ตรงต่อการยับยั้งที่จะไม่พูดวาจาที่ไม่น่าฟังนั้น ที่จริงเว้นไม่กล่าว

น่าจะสะดวกกว่า คือ รู้ว่าอะไรไม่จริง ก็ไม่กล่าว แล้วก็กล่าวเรื่องอื่น ซึ่งก็ทำให้คนอื่น

สบายใจได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าเป็นเรื่องจริงบางเรื่อง ก็ยังไม่ควรกล่าว ถ้าไม่เป็น

ประโยชน์จริงๆ

เพื่อจุดประสงค์ของการศึกษาพระธรรม คือ เพื่อละ พระธรรมทั้งหมด ทั้ง ๓ ปิฎก

เพื่อละ ละด้วยปัญญา ไม่ใช่เป็นการเร่งรัดให้ใครต้องการอะไร ให้ใครอยากได้อะไร

ให้ใครถึงอะไร แต่พระธรรมทั้งหมดนั้นเริ่มละอกุศลธรรมไม่ใช่เป็นสิ่งที่เห็นง่าย แม้ว่า

มี ตั้งแต่เช้า ตื่นขึ้นมากระทำกิจบริหารร่างกาย ประกอบกิจการงานต่างๆ บริโภคอาหาร

ติดต่อธุระการงานทั้งหมด เป็นโลภะ ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหมูลจิต ไม่ใช่กุศล

จิต แต่ไม่รู้เลย

การที่จะพบปะบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ย่อมมีการแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกัน

และคนที่คบหาสมาคมกันนั้น ก็ทำให้เกิดความคิดคล้อยตามกันได้

รสของความจริงเป็นรสที่ให้ความสุข ไม่ได้นำมาซึ่งความทุกข์เลย แม้ในเรื่อง

ของความเป็นมิตร ถ้าเป็นมิตรแท้ เป็นมิตรที่จริง ก็ทำให้มีความสบายใจ โดยเฉพาะ

สำหรับผู้เป็นกัลยาณมิตร คือ ผู้ที่มีความหวังดีต่อกันด้วยความจริงใจ

ชาดกคือชีวิตจริงของทุกคน เวลาที่ท่านฟังชาดก เสมือนว่าท่านฟังอดีตนิทาน

นิทาน คือ ความเป็นมาก่อนๆ ก่อนถึงสมัยนี้ แต่ว่าโลกจะอยู่ต่อไป หรือว่าคนที่จะต้อง

เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ก็มีชีวิตอีกเหมือนๆ อย่างนี้ หรือคล้ายๆ อย่างนี้ (ชาดก แปลว่า

เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว)

สภาพธรรมทุกอย่างไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ปัญญาเป็นบุญที่ประเสริฐสุด

โลกวุ่นวาย เพราะความไม่รู้

ความไม่เข้าใจ จะเป็นบุญไม่ได้

ถ้าไม่มีการตรัสรู้และทรงแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกย่อม

ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังความจริงที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็น

จริงได้เลย

ฟังซ้ำๆ ฟังบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อย้ำเตือนให้ไม่ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม

เพราะสะสมอัธยาศัยมาแตกต่างกัน สัตว์โลกจึงมีความหลากหลายต่างกันมาก

ความไม่รู้ ความติดข้อง อกุศลต่างๆ สะสมมามากมายแค่ไหนในสังสารวัฏฏ์?

ทุกอย่างชั่วคราว เกิดมาก็เพียงชั่วคราว ประโยชน์จริงๆ คือ ความเข้าใจถูก

เห็นถูก

การฟังพระธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องของความอยาก

ที่จะเข้าใจมากๆ แต่เป็นการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ทีละเล็ก

ทีละน้อย ฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

ทั้งหมดของพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เพื่อความเข้าใจ

ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง

ภาษาที่ใช้ต่างกัน แต่ความเป็นจริงของธรรมไม่เคยเปลี่ยน

ม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๗๙ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๙

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Noparat
วันที่ 3 มี.ค. 2556

รสของความจริงเป็นรสที่ให้ความสุข ไม่ได้นำมาซึ่งความทุกข์เลย แม้ในเรื่อง

ของความเป็นมิตร ถ้าเป็นมิตรแท้ เป็นมิตรที่จริง ก็ทำให้มีความสบายใจ โดยเฉพาะ

สำหรับผู้เป็นกัลยาณมิตร คือ ผู้ที่มีความหวังดีต่อกันด้วยความจริงใจ

ภาษาที่ใช้ต่างกัน แต่ความเป็นจริงของธรรมไม่เคยเปลี่ยน

ปัญญาเป็นบุญที่ประเสริฐสุด

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ - ในขณะนี้มีโมหะ คือ ขณะที่เห็น ก็ไม่รู้สภาพความจริงของนามธรรมและรูปธรรมในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้เอง หรือแม้ในขณะที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ในขณะที่ได้ยินและเสียงที่ปรากฏ ขณะนี้จะคลายเกลียวจากโมหะ โดยการอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือว่าจะพอใจในการหมุนเกลียวของโมหะให้มากขึ้นอีก โดยละเลยการที่จะระลึกศึกษารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

แต่ละบุคคลที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกพ้นได้ขึ้นอยู่กับว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ บุคคลรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา หรือ ญาติพี่น้องเป็นต้น ย่อมสามารถเป็นที่พึ่ง สามารถช่วยเหลือทำกิจต่างๆ ให้แก่เราได้ แต่พอถึงเวลาตายมาถึง บุคคลเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะช่วยต้านทานไว้ได้เลย ดังนั้น ในเมื่อทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไร? เรื่องตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเป็นเพียงจิตขณะเดียว ที่เกิดขึ้นทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะนี้จิตที่ว่านั้น (จุติจิต) ยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่มีใครทราบได้ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ จึงเป็นขณะที่สำคัญ ดังนั้น การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมกุศลในชีวิตประจำวัน ตามกำลัง ย่อมเป็นสิ่งที่สมควร

- การเข้าไปนั่งใกล้บัณฑิต สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจย่อมไม่ไร้ประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จากการฟัง การศึกษาแต่ละครั้ง ความเข้าใจย่อมจะเจริญขึ้นไปตามลำดับ (ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้ ปีนี้ ชาตินี้เท่านั้น แต่ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน) และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับทุกชีวิต แต่ละบุคคลไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่าโอกาสในการที่จะได้เจริญกุศล โอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมในชาตินี้ จะเหลืออยู่อีกเท่าใด ในแต่ละวันจึงควรที่จะเป็นโอกาสของการเจริญกุศล อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ

- บุคคลที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้พบกัลยาณมิตรที่เกื้อกูลในทางธรรม ทุกคน การได้อยู่ในประเทศที่มีการแสดงพระธรรม มีการเกื้อกูลกันในแนวทาง ที่ถูกต้อง นั้นเป็นมงคลอันสูงสุดอีกข้อหนึ่งในบรรดามงคลทั้งหลาย เพราะจะเป็นไป เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา

- การสืบทอดพระศาสนา คือ การที่สาวก ไม่ว่าจะบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยละเอียดจนเกิดความเห็นถูก เป็นปัญญาของตนเองละคลายอกุศลจนกระทั่งดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท บรรลุเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้นในเพศของตนครับ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการเจริญปัญญา การสืบทอดก็ต้องเป็นการสืบทอดด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยเหตุอื่น

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 3 มี.ค. 2556

สภาพธรรมที่เป็นสัจจะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความจริงของจิตเป็นอย่างไร

ความจริงของเจตสิกเป็นอย่างไร ความจริงของรูปซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่

บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นอย่างไร ความจริงของนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ต่างกับจิต

เจตสิก รูป อย่างไร ผู้ที่แสวงหาความจริง ต้องการประจักษ์แจ้งความจริง ผู้นั้นต้อง

เห็นประโยชน์ของสัจจะ คือ ความจริงที่จะต้องอบรมไปทุกขั้น ตั้งแต่ขั้นของวาจาจริง

- การเข้าไปนั่งใกล้บัณฑิต สำหรับผู้ที่มีความเข้าใจย่อมไม่ไร้ประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา จากการฟัง การศึกษาแต่ละครั้ง ความเข้าใจย่อมจะเจริญขึ้นไปตามลำดับ (ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้ ปีนี้ ชาตินี้เท่านั้น แต่ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน) และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับทุกชีวิตแต่ละบุคคลไม่สามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่าโอกาสในการที่จะได้เจริญกุศล โอกาสที่จะได้เข้าใจธรรมในชาตินี้ จะเหลืออยู่อีกเท่าใด ในแต่ละวันจึงควรที่จะเป็นโอกาสของการเจริญกุศล อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.เผดิม ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
บรรพต
วันที่ 3 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เข้าใจ
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขอกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
rrebs10576
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
natural
วันที่ 4 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Boonyavee
วันที่ 5 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 5 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
phawinee
วันที่ 6 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
kinder
วันที่ 6 มี.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
boonpoj
วันที่ 5 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
aurasa
วันที่ 5 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ