Sleepless in Bangkok

 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่  25 ก.ย. 2555
หมายเลข  21787
อ่าน  1,429

จากคำถามของคุณ iis ตามกระทู้หัวข้อเรื่อง อยู่ในกรุงเทพ ที่เจริญ ปฏิบัติธรรมยากจัง ซึ่งมีรายละเอียดว่า

"ผมอยู่คอนโด แล้วมีทั้งเซเว่น บิ๊กซี ร้านอินเทอร์เน็ต ตลาด สิ่งบริการต่างๆ เพียบเลย เวลาอยู่คอนโด ก็นั่งสมาธิไม่ได้ เสียงรถมอเตอร์ไซค์แต่งพวกแว้น มันดังมากๆ แสบหูเลย นอนก็นอนไม่ค่อยหลับ คนแถวนี้เขาไม่ค่อยนอนเร็วกัน เดี๋ยวผมก็แว็บ ออกไปเซเว่น ไปหาของกิน เดี๋ยวแว็บไปร้านหนังสือ เดี๋ยว อดนอนดูฟุตบอลที่เชียร์ เข้าร้านเน็ต คุยกับเพื่อน มันมีสิ่งยั่วเราตลอด เสาร์-อาทิตย์ ก็ไปเที่ยว บางวันทะเลาะกับแฟน ไม่เป็นอันกินอันนอน ผมอายุ ๓๐ ปี แล้ว ใกล้ครึ่งชีวิตแล้ว ยังปฏิบัติธรรมระดับอนุบาล หรือแทบไม่ได้ปฏิบัติเลย ฟังธรรมตามวิทยุ ก็ฟังไปพอสงบ พอเกิดศรัทธาประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวก็ลืมๆ ไป กลับไปยุ่งทางโลกเฮฮาเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แสดงว่าคนที่ปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ ต้อง ๔๐+ ชีวิตไม่ค่อยวุ่นวาย ฮอร์โมน เริ่มแห้ง ไม่มีกระมัง ถึงจะปฏิบัติธรรมง่าย เพราะทุกวันนี้ผมเห็นคนปฏิบัติธรรมจริงๆ อายุก็ปาไป ๔๐+ แล้วแทบทุกคน เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าอยู่ต่างจังหวัด แถบชนบท คนเขานอนเร็ว คนไม่พุ่งพล่าน ปฏิบัติธรรมง่ายกว่า สิ่งล่อใจ ล่อจิตมันน้อยกว่า"

นอกจากอาจารย์เผดิมและอาจารย์คำปั่นจะได้ตอบคำถามไปบ้างแล้ว ผมเห็นว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจ จึงได้ยกขึ้นสนทนากับคุณ Sarah ซึ่งเป็นสหายธรรมชาวออสเตรเลียที่ศึกษาธรรมะกับท่านอาจารย์สุจินต์มากว่า ๒๐ ปี ซึ่งคุณ Sarah ก็สนใจและตอบคำถาม ซึ่งขอตั้งเป็นกระทู้ใหม่นี้ครับ

Dear Thai friend, ถึงเพื่อนชาวไทยที่รัก

I sympathise and understand what you're saying. I live in busy, noisy HongKong and still "jerk around" even though I'm twice your age!

ดิฉันเห็นใจและเข้าใจที่คุณพูด ดิฉันเองก็อาศัยอยู่ในเมืองฮ่องกงที่วุ่นวายและหนวกหู และดิฉันเองก็ยังใช้ชีวิตเรื่อยๆ เปื่อยๆ อยู่ แม้ดิฉันเองมีอายุมากกว่าคุณถึงสองเท่า (60 ปี)

However, we are very fortunate in that we have the opportunity to listen to and understand the Buddha's Teachings about the realities which make up our ordinary lives and problems.

อย่างไรก็ตาม เราโชคดีที่ยังมีโอกาสฟังและเข้าใจพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เกี่ยวกับความจริงของชีวิตที่ทั้งธรรมดาและมีปัญหา

Let's consider: In reality, is there really a busy Bangkok or Hong Kong? Are there really sleepless and distracted people? Are there really cities and monasteries?

ลองพิจารณาดูนะคะ ในความเป็นจริงแล้ว มีกรุงเทพหรือฮ่องกงที่วุ่นวายจริงหรือ? มีคนไม่หลับไม่นอนหรือคนที่มาวุ่นวายจริงหรือ? จริงๆ แล้วมีเมืองหรือสถานที่สงบๆ จริงหรือ?

What is seen at this very moment? What is heard now? Are people and places and distractions really existing or are they figments of the imagination now?

อะไรล่ะที่มีให้เห็นขณะนี้ หรือมีให้ได้ยินขณะนี้ จะมีคนหรือสถานที่หรือความรบกวนใจอยู่จริงๆ หรือ? หรือ เป็นเพียงจินตนาการของความคิดฝัน

Is there anyone to change what has been conditioned to arise now, such as this moment of seeing which just sees visible object or this moment of thinking which reflects upon "me jerking around in Bangkok"?

มีใครที่สามารถจะเปลี่ยนที่สิ่งเกิดขึ้นตามปัจจัยขณะนี้ได้บ้าง เช่น ขณะที่เห็น ก็เห็นเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ ขณะที่คิด ก็สะท้อนให้เห็นว่า ตัวฉันกำลังใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอยู่ในกรุงเทพ

Would you agree that there is just this moment now, this moment of seeing what is visible, followed by all sorts of long stories about people and places. Surely when there is an idea that if we were in another place, life would be different, there is no understanding that realities - such as seeing visible object, hearing and sound - are conditioned to arise, beyond anyone's control.

คุณจะเห็นด้วยไหมว่า มีเพียงขณะนี้ที่เกิดขึ้นอยู่ มีขณะที่เห็นสิ่งที่สามารถเห็นได้ แล้วก็ตามมาด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสถานที่ แน่ล่ะเมื่อมีความคิดว่า ถ้าเราอยู่ในที่อีกแห่งหนึ่ง ชีวิตอาจจะเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่มีความเข้าใจเลยว่า ความจริง เช่น การเห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็น การได้ยิน และเสียง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย นอกเหนือไปจากที่ใครจะทำให้เกิดขึ้นได้

Even the thinking about "a monastery" or "a peaceful environment is conditioned, arises and falls away instantly. I should stress here that the thinking itself is real, it arises and falls away, but "the monastery" is just an idea that is thought about. It doesn't arise and fall away because it's not real in an ultimate sense. It is a conventional reality only. Food, cup, computer and people are also conventional realities, but not the ultimate realities, the paramattha dhammas, which can be directly understood now.

แม้แต่เพียงคิดถึง "สถานที่ปฏิบัติธรรม หรือ สถานที่สงบๆ " ก็เป็นไปตามปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไปทันที ดิฉันอยากจะเน้นว่า ความคิดนั้นจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ “สถานที่ปฏิบัติธรรม” ก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น “สถานที่ปฏิบัติ” ไม่ได้เกิดขึ้นและดับไปเพราะว่า “สถานที่ปฏิบัติธรรม” ไม่มีอยู่จริง ที่สามารถจะรับรู้ทางประสาทสัมผัสใดๆ ได้เลย “สถานที่ปฏิบัติธรรม” จึงเป็นเพียงความจริงทางโลกที่กำหนดขึ้นเท่านั้น อาหาร ถ้วย คอมพิวเตอร์ และคน ต่างเป็นความจริงโดยบัญญัติของทางโลก แต่ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่อย่างแท้จริงในที่สุด หรือ ที่เรียกว่า ปรมัตถธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ตรงๆ ในขณะนี้

At a moment of understanding of the absolute reality now, whether it be the seeing, the visible object, the thinking or any other dhamma, there is true peace, true quiet - the calm that arises with the kusala citta, the wholesome state of mind. This is how the Buddha taught us to truly live alone with the reality, no matter where or when.

ในขณะที่เข้าใจความจริงขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ความคิด หรือธรรมะอื่นๆ ความสงบที่แท้จริงย่อมเกิดขึ้น ความสงบที่เกิดด้วยกุศลจิต เป็นสภาวะที่ประเสริฐของจิตใจ นี้แหละคือสิ่งที่พระพุทธองค์สอนเราให้อยู่กับความจริงโดยลำพัง ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่

Perhaps you are familiar with the Migajala Sutta, SN 35:63, which has always been a favourite of mine because it emphasises how living alone, living at peace, depends on the citta, the mind, and not on the physical environment because ignorance and attachment are the real disturbances in life:

บางทีคุณอาจจะเคยได้ยินพระสูตรนี้ มิคชาลสูตร ซึ่งดิฉันชอบมากเพราะเน้นการอยู่คนเดียว อยู่กับความสงบ ด้วยจิต ไม่ใช่สิ่งแวดล้อม เพราะ อวิชชา และ ตัณหา คือ สิ่งที่แท้จริงที่รบกวนชีวิต

Here is an extract from it (translated into English by Bhikkhu Bodhi) :

นี้คือบางตอนของพระสูตร

"Migajala, even though a bhikkhu who dwells thus resorts to forests and groves, to remote lodgings where there are few sounds and little noise, desolate, hidden from people, appropriate for seclusion, he is still called one dwelling with a partner. For what reason? Because craving is his partner, and he has not abandoned it; therefore he is called one dwelling with a partner."

... ดูก่อนมิคชาละ ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ ถึงจะเสพเสนาสนะอันสงัดคือ ป่าไม้ และป่าหญ้า เงียบเสียง ไม่อื้ออึง ปราศจากกลิ่นอาย ควรเป็นที่ประกอบงานลับของมนุษย์ สมควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ยังเรียกว่ามีปกติอยู่ด้วยเพื่อน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้นั้นยังมีตัณหาเป็นเพื่อน เขายังละตัณหานั้นไม่ได้ ฉะนั้นจึงเรียกว่า มีปกติอยู่ด้วยเพื่อน.

"There are, Migajala, forms cognizable by the eye that are desirable, lovely, agreeable, pleasing, sensually enticing, tantalizing. If a bhikkhu does not seek delight in them, does not welcome them, and does not remain holding to them, delight ceases. When there is no delight, there is no infatuation. When there is no infatuation, there is no bondage. Released from the fetter of delight, Migajala, a bhikkhu is called alone dweller.

ดูก่อนมิคชาละ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ ที่ตั้งความกำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้น เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้นอยู่ ความเพลิดเพลินย่อมดับ เมื่อไม่มีความเพลิดเพลิน ก็ไม่มีความกำหนัด เมื่อไม่มีความกำหนัด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง ดูก่อน มิคชาละ ภิกษุไม่ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและความเกี่ยวข้อง เราเรียกว่ามีปกติอยู่ผู้เดียว

(same for sounds, odours, tastes, tacticle objects, mental phenomena)

เช่นเดียวกับเสียง กลิ่น รส วัตถุที่สัมผัส คิดนึก

"Migajala, even though a bhikkhu who dwells thus lives in the vicinity of a village, associating with bhikkhus and bhikkhunis, with male and female lay followers, with kings and royal ministers, with sectarian teachers and their disciples, he is still called a lone dweller. For what reason? Because craving is his partner and he has abandoned it; therefore he iscalled a lone dweller.

"ดูก่อนมิคชาละ ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้แม้จะอยู่ปะปนกับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ในละแวกบ้านก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว ดูก่อน มิคชาละ เราเรียกผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตัณหาซึ่งเป็นเพื่อน เธอละได้แล้ว เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่ามีปกติอยู่ผู้เดียว.

So, actually, wherever we live, there has to be the development of understanding of the reality experienced now so that gradually there will be more detachment, more equanimity towards what is seen and heard and more understanding that whatever reality arises now is anatta. That means it is just a conditioned dhamma that arises and falls away. It does not belong to you or me and it's not a place, thing or person of any kind.

ดังนั้น จริงๆ แล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ควรที่จะเจริญความเข้าใจความเป็นจริงขณะนี้ จะทำให้ละความติดข้องได้ทีละเล็กทีละน้อย มีความวางเฉยต่อสิ่งที่เห็น ได้ยิน และเข้าใจยิ่งขึ้นว่า ความจริงใดก็ตามที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นอนัตตา นั้นคือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ก็ด้วยเพียงธรรมที่เป็นปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ได้เป็นของคุณ ของฉัน ไม่ใช่สถานที่ สิ่งของ หรือใครเลย ก็ถือได้ว่าเป็นความเห็นที่เป็นประโยชน์และทำให้ได้เข้าใจความเป็นธรรมะมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีศรัทธาในการเริ่มศึกษาพระธรรมนะครับ

ขออนุโมทนากับคุณ Sarah และทุกท่านครับ

ภาพท่านอาจารย์สุจินต์ และคุณซาร่าห์ ขณะสนทนาธรรมที่ Poland


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pirmsombat
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และ อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
daris
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ได้อ่านแล้ว ได้รับประโยชน์มากครับ

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
นิรมิต
วันที่ 26 ก.ย. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
napachant
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Zeta
วันที่ 26 ก.ย. 2555

Insomnia, me either

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธรรมพระองค์นั้น

เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ครับ

เพราะธรรม เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ และ ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านผู้ร่วมเดินทางและทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kinder
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
rrebs10576
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ปวีร์
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ประสาน
วันที่ 26 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 27 ก.ย. 2555

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนา ท่านผู้ร่วมเดินทางครับ

สำหรับการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ เป็นประโยชน์มากครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เมตตา
วันที่ 27 ก.ย. 2555

ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็มีธรรมะปรากฏเกิดขึ้น และดับไปตามเหตุปัจจัย ...

เป็นประโยชน์อย่างมากค่ะ ที่ได้แบ่งปันธรรมให้พิจารณากัน

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านผู้ร่วมเดินทาง

และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 27 ก.ย. 2555
ขอบคุณและขออนุโมทนา
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
pairojj
วันที่ 30 ก.ย. 2555

อ่านคำอธิบายของคุณซาร่าแล้วปีติน้ำตาซึม

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
thassanee
วันที่ 11 ต.ค. 2555

ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
peem
วันที่ 10 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 10 พ.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ