บุคคลหาได้ยากในโลก

 
dets25226
วันที่  22 มิ.ย. 2555
หมายเลข  21289
อ่าน  10,575

ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

ไม่ได้เข้ามาสนทนาธรรมด้วยนานเหลือเกิน เข้าใจว่า จิตใจคงเต็มไปด้วยนิวรณธรรมมากเหลือเกิน น่าจะหาเวลาปฏิบัติสมาธิภาวนาบ้างแล้ว

วันนี้ มีโอกาสดีงาม จึงขอตั้งคำถามเพื่อขอคำอธิบายในทางที่ถูกที่ควรต่อไปนะครับ

คำถามมีว่า บุคคล ๒ จำพวกที่ชื่อว่า หาได้ยากในโลก นั้น เหตุใด จึงว่าอย่างนั้น

คนในสังคม ทั้งอดีตและปัจจุบัน ยิ่งเป็นสังคมไทยโบราณด้วยแล้ว ต่างก็อุปการะกันและกัน มีอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ทั้งทำคุณ รู้คุณกัน มีน้ำ ให้น้ำ มีข้าว ให้ข้าว และในสังคมปัจจุบัน ถึงจะน้อยลง แต่เข้าใจว่า มิอาจเลือนหายไปได้จากใจคนไทยได้ง่ายๆ

หรือ บุคคล ๒ จำพวกดังกล่าวนั้น มีอีกความหมายหนึ่งต่างหาก

...โปรดกรุณาชี้แนะด้วยครับ หากจะเมตตา...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๒ จำพวกนี้หาได้ยากในโลก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ

บุพพการีบุคคล ๑ กตัญญูกตเวทีบุคคล ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๒ จำพวกนี้แลหาได้ยากในโลก


บุพพการีบุคคล คือ บุคคลที่ทำอุปการะก่อน

กตัญญูกตเวทีบุคคล คือ บุคคลที่กระทำตอบแทนพระคุณ ด้วยความรู้คุณ หรือ ประกาศคุณของบุคคลที่ทำคุณนั้น

ซึ่งผู้ถาม ถามว่า ทำไมถึงหาได้ยาก ทั้งๆ ที่สังคมปัจจุบัน ก็มีการช่วยเหลือกันอยู่เห็นเป็นปกติ

ธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก เพราะ ธรรมเป็นเรื่องของสัจจะ โดยเฉพาะที่เป็นนามธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่ต้องเห็นได้ด้วยตา คือ ปัญญา ของบุคลนั้นเอง เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถตัดสินความดี ไม่ดี ด้วยเพียงเห็นในการกระทำภายนอกเท่านั้น แม้แต่ บุพพการี และ กตัญญูกตเวที ก็ต้องไม่พ้นจากเรื่องของจิต เจตสิก ที่เป็นนามธรรม

ที่สำคัญ บุพพการี และ กตัญญูกตเวที จะต้องเป็นสิ่งที่ดี คือ เป็นจิตที่ดี เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้น จึงจะเป็นบุพพการี และ กตัญญูกตเวที ครับ

เพราะฉะนั้น การทำอุปการะ ช่วยเหลือ ผู้อื่นก่อน ก็ต้องเป็นกุศลจิตที่ทำ ไม่ใช่ทำเพราะ หวังผลประโยชน์ ต้องการเป็นที่รัก หรือ ต้องการให้เขาทำตอบแทนทีหลัง ในการกระทำของเรา เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือก่อน ในการกระทำภายนอก จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องช่วยเหลือก่อนด้วยกุศลจิต ซึ่งก็สามารถจะเข้าใจได้ครับว่า การช่วยเหลือก่อน ทำด้วยอกุศลจิต กับ กุศลจิต การกระทำแบบไหนในสังคมโลก มีมากกว่ากัน

นี่ก็แสดงแล้วครับว่า การกระทำการช่วยเหลือด้วยกุศลจิต มีน้อยกว่า การกระทำช่วยเหลือด้วยอกุศลจิต บุพพการี การกระทำการช่วยเหลือก่อนด้วยกุศลจิต จึงหาได้ยากในโลก ครับ

โดยนัยเดียวกัน กตัญญูกตเวที ก็เช่นกัน หากเห็นเพียงการช่วยเหลือคนอื่น ก็ไม่สามารถจะกล่าวได้ทันทีว่าผู้นั้นเป็นคนกตัญญู แต่สำคัญที่จิตเป็นสำคัญว่า กระทำด้วยจิตอะไร เป็นสำคัญ ซึ่ง เมื่อเทียบกับสัตว์โลกทั้งหมด ผู้ที่รู้คุณด้วยกุศลจิต จึงหาได้ยากในโลก ครับ

อีกนัยหนึ่ง แม้ดูว่า ยังมีคนจำนวนมากที่ทำช่วยเหลือกัน และ เป็นกุศลจิต ที่เป็นบุพพการี และ กตัญญูกตเวที แต่หากเราเทียบกับจำนวนสัตว์โลกที่นับไม่ได้ การกระทำที่เป็นกุศลที่ช่วยเหลือก่อน โดยไม่มีเหตุเลย คือ ไม่มีเหตุที่คนนั้นมีพระคุณกับเรา แต่ ก็ทำการช่วยเหลือเพื่อประโยชน์สุขกับคนนั้นจริงๆ ใครคิดได้บ้าง แม้อาจจะดูมาก แต่ถ้าเทียบกับสัตว์โลกทั้งหมด ที่นับไม่ได้ จึงหาได้ยากในโลก เพราะ มีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับสัตว์โลกทั้งหมด ครับ

ผู้ที่รู้คุณ ด้วยกุศลจิตและทำการช่วยเหลือ และ ประกาศคุณความดี ผู้นั้น เมื่อเทียบกับสัตว์โลกทั้งหมด ก็มีน้อยมาก ผู้ที่กตัญญูกตเวที จึงหาได้ยากในโลก ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 23 มิ.ย. 2555

และในอรรถกถา ก็อธิบายเพิ่มเติมโดยละเอียด อีกนัยหนึ่งครับ ดังข้อความที่ว่า

พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 268

อีกนัยหนึ่ง บุคคลใด เมื่อผู้อื่นยังมิได้กระทำอุปการะเลย ไม่เพ่งเล็งถึงอุปการะที่ผู้อื่นกระทำในตน แล้วกระทำการอุปการะ ผู้นั้นก็ชื่อว่าบุพพการี เปรียบเหมือนบิดามารดาพวกหนึ่ง อาจารย์และอุปัชฌาย์พวกหนึ่ง

บุพพการี บุคคลนั้น ชื่อว่าหาได้โดยยาก

เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายถูกตัณหาครอบงำไว้.

จากข้อความนี้แสดงครับว่า บุพพการี หาได้ยาก เพราะ ถูกตัณหา ความติดข้องครอบงำ ตามที่กล่าวแล้วครับ ส่วนใหญ่ที่ทำการช่วยเหลือก่อน ส่วนมากของสัตว์โลก ก็ทำเพื่อหวังผลประโยชน์ นั่นคือ ถูกตัณหาครอบงำ คือ ต้องการได้รับสิ่งตอบแทน จึงทำ ต้องการเป็นที่รัก และต้องการคำชม สรรเสริญ นี่ก็ชื่อว่าถูกตัณหา ครอบงำ โลภะ ครอบงำ การช่วยเหลือนั้น ไม่ชื่อว่า บุพพการี ครับ และ บางคนก็ไม่ช่วยเหลือเลย เพราะ ถูกตัณหาครอบงำ คือ ความรักตนเอง ไม่อยากให้ตนเองเหนื่อย เดือดร้อน รักตนเอง จึงไม่ช่วยก่อน ซึ่งส่วนมากสัตว์โลกทั้งหมดที่มี ก็ย่อมถูกตัณหาครอบงำ รักตนเองเป็นส่วนมาก และ ทำการช่วยเหลือก่อนเพราะหวังอะไรบางอย่างตามที่กล่าวมา

ดังนั้น การช่วยเหลือก่อนด้วยกุศลจิต จึงหากได้ยาก บุคคลที่เป็นบุพพการีจึงหาได้ยากด้วยประการฉะนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 23 มิ.ย. 2555

พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 268

บุคคลใด รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำในตน ประกาศอยู่ซึ่งอุปการะที่เป็นไปตามสมควรแก่อุปการะที่ผู้อื่นกระทำแล้ว ผู้นั้นชื่อว่า กตัญญูกตเวทีเปรียบเหมือน บุคคลผู้ปฏิบัติชอบในมารดา และบิดา หรือในอาจารย์ และอุปัชฌาย์ทั้งหลาย.

กตัญญูกตเวทีบุคคลนั้น ชื่อว่า หาได้โดยยาก เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายถูกอวิชชาครอบงำไว้.


จากข้อความแสดงชัดเจนครับว่า กตัญญูกตเวที หาได้ยาก เพราะถูก อวิชชา ความไม่รู้ครอบงำ คือ ความกตัญญู คือ การทำการช่วยเหลือเพราะรู้คุณของบุคคลนั้น จึงทำด้วยกุศลจิต และประกาศคุณของผู้มีพระคุณด้วยกุศลจิต

โดยมาก สัตว์โลกมากไปด้วยความไม่รู้ ผู้ที่รู้คุณและทำคุณ ย่อมที่จะคิดถูก เพราะ มีปัญญาเข้าใจถูกว่าเป็นผู้มีพระคุณ ควรทำ เพราะฉะนั้น สัตว์คิดได้เช่นนี้ ที่รู้คุณและทำคุณตอบ มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับสัตว์โลกทั้งหมด ที่มีความไม่รู้ครอบงำ จึงไม่รู้คุณของผู้อื่น หรือ แม้รู้ว่าผู้นี้มีคุณก็ตาม แต่ก็ไม่ทำตาม เพราะ ถูกกิเลส คือ ความไม่รู้ครอบงำอีก ที่จะไม่ทำ กระทำดี ทางกาย วาจา ครับ บุคคลที่กตัญญูกตเวที จึงหาได้ยาก และ การประกาศคุณความดีของผู้มีพระคุณ ก็ต้องเป็นการประกาศคุณด้วยกุศล ผู้ที่ไม่รู้ มีมาก โดยมาก สัตว์โลก กล่าวคุณความดี หรือ ความชั่วโดยมาก ครับ ก็ต้องเป็นความชั่ว เพราะฉะนั้น กตัญญูกตเวทีจึงหาได้ยาก และ แม้กล่าวสรรเสริญคุณความดีของคนอื่น แต่โดยมาก กล่าวด้วยอกุศล ด้วยการให้ผู้นั้นรักตน หรือ ให้ผู้อื่นยกย่องสรรเสริญเป็นส่วนมาก ในสัตว์โลกทั้งหมด แต่กล่าวด้วยกุศลจิต รู้คุณจริงๆ โดยไม่หวังอย่างอื่น มีน้อย เมื่อเทียบกับสัตว์โลกอื่นๆ ครับ

กตัญญูกตเวทีจึงหาได้ยากในโลก ด้วยประการฉะนี้

และข้อความในอรรถกถาอธิบาย อีกนัยหนึ่งที่ว่า

ผู้แสดงธรรม ชื่อว่าบุพพการี. ผู้ปฏิบัติธรรมชื่อว่า กตัญญูกตเวที.


ผู้ที่แสดงธรรม ที่เป็นบุพพการี ก็หาได้ยากในโลก เพราะ ผู้ที่เข้าใจพระธรรมคำสอนหาได้ยาก แม้บางคนก็เข้าใจก็ไม่สามารถแสดงได้ก็มี ผู้ที่แสดงธรรมที่เป็นบุพพการี จึงหาได้ยาก ผู้ที่แสดงธรรม คือ เป็นผู้มีอุปการะก่อน คือ แสดงธรรมโดยไม่ได้หวังลาภสักการะ หรือ อย่างอื่น แต่แสดงธรรมเพื่อประโยชน์ของบุคคลนั้น

บุพพการีจึงหาได้ยากในโลก โดยนัยนี้ ครับ

ผู้ปฏิบัติธรรมชื่อว่า กตัญญูกตเวที คือ ผู้ที่ฟังพระธรรมเข้าใจและ ประพฤติปฏิบัติตาม ก็ชื่อว่า เป็นผู้รู้คุณ รู้คุณของผู้ที่แสดง รู้คุณของพระธรรม จึงปฏิบัติ จึงชื่อว่า เป็นผู้ที่กตัญญู กตัญญูต่อผู้ที่แสดง และกตัญญูต่อพระธรรมนั่นเอง ครับ

ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ประพฤติในกุศล หาได้ยากในโลก เมื่อเทียบกับสัตว์โลกที่มักทำอกุศล นั่นเอง ครับ

กตัญญูกตเวทีจึงหาได้ยากในโลก โดยนัยนี้ ครับ

และข้อความในอรรถกถาอธิบาย อีกนัยหนึ่งที่ว่า

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า บุพพการีในโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก.

พระอริยสาวก ชื่อว่า กตัญญูกตเวที.


พระพุทธเจ้า เป็นบุพพการี คือ ทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์กับสัตว์โลกให้เกิดปัญญา ละกิเลส โดยไม่ได้หวังอะไรจากสัตว์โลก และ ทำอุปการะกับสัตว์โลกก่อน จึงชื่อว่า บุพพการีที่ประเสริฐสูงสุด และ หาได้ยาก เพราะ พระพุทธเจ้าหาได้ยากในโลกทั้งหมด ครับ

บุพพการีจึงหาได้ยากในโลก โดยนัยนี้ ครับ

พระอริยสาวก ชื่อว่า กตัญญูกตเวที เพราะ ประพฤติตามพระธรรมที่พระพุทะเจ้าทรงแสดง กตัญญูในพระคุณของพระพุทธเจ้า รู้คุณของพระพุทธเจ้าด้วยปัญญา และรู้คุณของพระธรรมด้วยปัญญา และปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรม จึงชื่อว่า กตัญญูกตเวที

พระอริยสาวก ผู้บรรลุธรรมหาได้ยากในโลก เมื่อเทียบกับสัตว์โลกทั้งหมด กตัญญูกตเวที จึงหาได้ยากในโลกโดยนัยนี้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 23 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิมและทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 23 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 23 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกได้รู้ตาม พระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ก็เพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง

สัตว์โลกที่เต็มไปด้วยกิเลสอกุศลประการต่างๆ มากมาย พอได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็สามารถขัดเกลาละคลายกิเลสจนกระทั่งสามารถดับได้จนหมดสิ้นในที่สุด พระมหากรุณาคุณของพระองค์ คือ ทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเป็นบุพพการีที่สูงสุดโดยไม่มีใครเสมอเหมือน และในความกตัญญูกตเวทีนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นยอดของบุคคลผู้กตัญญูกตเวทีที่กระทำตอบแทนต่อบุคคลผู้มีพระคุณ อย่างสูงสุด ด้วยการทรงแสดงพระธรรมโปรดพระพุทธบิดา คือ พระเจ้าสุทโธทนะ จนได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นและดับขันธปรินิพพาน ไม่เกิดอีกเลย ส่วนพระพุทธมารดา ที่ไปเกิดในสวรรค์ พระองค์ก็ทรงแสดงพระธรรมโปรด จนได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง

เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว สำหรับบุคคลที่เป็นบุคคลผู้ที่หาได้ยาก ทั้งที่เป็นบุพพการี (ผู้ที่กระทำอุปการะมาก่อน) และ กตัญญูกตเวที (บุคคลผู้รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำ แล้ว กระทำตอบแทน) นั้น ก็เพราะสัตว์โลกสะสมอวิชชา ซึ่งเป็นความไม่รู้มากกว่าปัญญา สะสมกิเลสมากกว่าธรรมฝ่ายดี

บุคคลผู้ที่เพียบพร้อมด้วยธรรมฝ่ายดี จึงมีน้อยกว่าสัตว์โลกที่มากไปด้วยกิเลสอกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่ได้รับการแนะนำในพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

การมีโอกาสไดัฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ก็จะมีปัญญาเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตไปสู่ความดีทั้งปวง ให้ถือเอาแต่สิ่งที่ควรถือเอา คือ กุศลธรรม และ ละเว้นจากสิ่งที่ไม่ควรถือเอา นั่นก็คือ อกุศลธรรม ชีวิตในภพหนึ่งชาติหนึ่งสั้นมาก ไม่รู้ว่าจะละจากโลกนี้ไปเมื่อใด ที่สำคัญที่สุดแล้ว คือ เป็นคนดี และ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
edu
วันที่ 24 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับผม ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
supim
วันที่ 24 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผิน
วันที่ 25 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 25 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 27 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ