ตายแล้วเกิดใหม่

 
บริสุทธิ์
วันที่  29 พ.ค. 2555
หมายเลข  21187
อ่าน  13,101

พระพุทธศาสนาสอนเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น มักมีคำพูดเสมอว่า เมื่อสั่งสม ความดีมากย่อมเกิดเป็นสิ่งที่ดีในภพหน้า และเมื่อทำความดีมากขึ้นอาจเกิดในชั้นที่ สูงกว่า เช่น ในชั้นของเทพ จึงมีคำถามว่า ภพหน้า หรือชาติหน้าหมายถึงอะไร เป็น อีกชาติภพนอกเหนือจากโลกนี้หรือ? หรือว่าหมายถึงโลกนี้ ถ้าหมายถึงโลกนี้ คนที่ได้เกิดเป็นเทพเทวดาแล้ว ทำไมเราไม่เห็นท่านเหล่านั้น? ท่านเหล่านั้นอยู่ที่ไหน? แล้วเทพมีเรือนร่างและเพศไหม?

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่าโลกนี้ โลก มีหลายความหมาย คือ สังขารโลก คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป มี จิต เจตสิก รูป ชื่อว่า สังขารโลก สัตวโลก คือ หมู่สัตว์ และ โอกาสโลก คือที่อยู่ของหมู่สัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึง โลกนี้ ตามความเข้าใจกัน คือโอกาสโลก ที่เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ เช่น โลกมนุษย์ สวรรค์ นรก เป็นต้น ชื่อว่า โลกโดยเป็นโอกาสโลก โลกนี้ จึงหมายถึงที่อยู่ของหมู่สัตว์ที่กำลังเป็นไปอยู่ คือ กำลังอยู่ในชาตินี้ ยังไม่สิ้นชีวิตไปนั่นเอง ชื่อว่า โลกนี้

คำว่าโลกหน้า หรือ สัมปรายภพ หมายถึง ผู้ที่ตายจากชาตินี้ คือ จุติจิตเกิด สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เมื่อยังมีกิเลส ก็ทำให้เกิดในภพภูมิใหม่ การเกิดในภพภูมิใหม่ ในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ภพภูมิที่เกิดใหม่นั้น ชื่อว่าภพหน้า ชาติหน้า หรือ สัมปรายภพ

เพราะฉะนั้น ภพหน้า ไม่จำเป็นจะต้องเป็นโลกนี้ คือ เป็นโลกมนุษย์ โลกหน้า ภพหน้า จึงเป็น นรก ก็ได้ สวรรค์ก็ได้ สำหรับผู้ที่ตายไป แล้วไปเกิดในภพภูมินั้น ครับ

ซึ่ง คำว่า ภพ มี ๒ นัย คือ ภพ โดย ความเป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม กับ ภพ โดยนัยของ เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ อันมีความหมายเดียวกับ โอกาสโลก ครับ เพราะฉะนั้น ภพหน้า ก็คือ ที่อยู่ของหมู่สัตว์ในชาติหน้า หลังจากสิ้นชีวิตไปแล้ว มี ๓๑ ภพภูมิ มี นรก สวรรค์ มนุษย์ เป็นต้น ครับ เพราะฉะนั้น โลกมนุษย์ ก็เป็นภพหน้าได้ สำหรับคนที่ตายไปแล้ว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ สวรรค์ก็เป็นภพหน้าของบุคคลที่ตายไปแล้วไปเกิดบนสวรรค์ก็ได้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 30 พ.ค. 2555

ประเด็นคำถามที่ว่า

คนที่ได้เกิดเป็นเทพเทวดาแล้วทำไมเราไม่เห็นท่านเหล่านั้น? ท่านเหล่านั้นอยู่ที่ไหน?แล้วเทพมีเรือนร่างและเพศไหม?

- เมื่อกล่าวถึงเทวดา ก็เป็นสัตว์โลกประเภทหนึ่งที่เกิดจากผลของกุศลกรรมที่ประณีตกว่ามนุษย์ ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา ซึ่งที่อยู่ของเทวดา ก็คือ สวรรค์ ๖ ชั้น แต่เทวดาบางพวกที่เป็นเทวดาภาคพื้น คืออาศัยบนโลกมนุษย์ เช่น ในวิมานที่อยู่ในต้นไม้ก็มี ส่วนเทวดาชั้นที่ สอง ถึง หก ก็อยู่ในวิมานที่อยู่เบื้องบน ครับ ซึ่ง การเรียก บัญญัติว่าเทวดาได้ ก็เพราะ มีจิต เจตสิกและรูป ประชุมรวมกัน ในเมื่อมีรูปธรรมที่เป็น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น ก็ต้องมีรูปร่างกาย และก็มีเพศชายและหญิง สำหรับเทวดา ๖ ชั้น ครับ แต่ที่เราไม่เห็นก็เพราะว่า รูปร่างกายของเทวดา อันเกิดจากกุศลกรรมที่ประณีตกว่ามนุษย์ เป็นรูปร่างกายที่ละเอียด เพราะเกิดจากผลของกุศลที่ประณีต ที่รูปเป็นทิพย์ เพราะ ความละเอียดของรูปร่างกายของเทวดา จึงไม่สามารถทำให้จักขุปสาทของมนุษย์ หรือ ตา ไม่สามารถเห็นรูปของเทวดาได้ ที่มีความละเอียดของรูปเกินกว่าตาของมนุษย์จะเห็นได้ นอกเสียจาก ผู้ที่อบรมปัญญา ที่เป็นสมถภาวนา จนได้ตาทิพย์ย่อมเห็นได้ หรือ เทวดาประสงค์ให้เห็น ก็เนรมิตรูปให้หยาบเพียงพอที่สายตาของมนุษย์จะเห็นได้ ครับ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่เห็น ตามเหตุผลที่กล่าวมา ครับ เหมือนกับเทวดา ก็ไม่สามารถเห็นพรหมได้ เพราะ พรหมเกิดด้วยกุศลที่ประณีตกว่าเทวดา รูปร่างกายจึงละเอียดกว่าเทวดามาก จักขุปสาท หรือ ตาของเทวดา จึงไม่สามารถที่จะเห็นรูปที่ละเอียดของพรหมได้ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 30 พ.ค. 2555

พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของภพชาติ ชาตินี้ ชาติหน้า และเรื่องของ สวรรค์ นรก เทวดา เป็นต้น ว่ามีจริง ประโยชน์คือ เพื่อให้เกิดกุศลจิต เห็นโทษของกิเลสที่เป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิ เห็นโทษของการทำอกุศลกรรมที่ไม่ดี และงดเว้นด้วย ปัญญา และเห็นคุณของกุศลธรรม ที่จะนำไปสู่การเกิดในภพภูมิที่ดี มีสวรรค์ เป็นต้น และเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดง คุณ โทษ ของสวรรค์ และ นรก เป็นต้นแล้ว ก็ทรงแสด ความจริงของสภาพธรรมที่เป็นสัจจะว่า ที่มีการบัญญัติว่าโลกนี้ โลกหน้า มนุษย์ เทวดา เป็นต้น ก็เพราะมีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิกและรูป ของสภาพธรรม ที่สัตว์โลกหลงยึดถือด้วยความเห็นผิดว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคล พระองค์ทรงแสดงหนทางการละกิเลส ที่เป็นเหตุปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก รูปที่ทำให้เกิดความทกุข์ต่างๆ ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นหนทางดับกิเลส ก็จะไม่เกิดอีกเลย เพราะ แม้จะมีความสุขมากเพียงใดในสวรรค์ สิ่งเหล่านั้น ก็ไม่เที่ยงเลย และก็ต้องกลับมาวนเวียน เกิดในนรก เป็นต้นได้อีกเป็นธรรมดา ตราบใด ที่ยังมีกิเลส ไม่ใช่พระอริยบุคคล ครับ เพราะฉะนั้น การอบรมปัญญา จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่สุด ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้พ้นจากการเกิดในโลกนี้ และ โลกหน้า อันนำมาซึ่งความทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 30 พ.ค. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 30 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเกิดอีกนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้น เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ก็ได้ เกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมโลกก็ได้ หรือ เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิก็ได้ ขึ้นอยู่กับกรรมเป็นสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิดอีกในภพภูมิต่างๆ อย่างแน่นอน ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ไปได้ แม้บุคคลที่ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว ท่านก็ยังต้องเกิดอีก แต่เกิดไม่เกิน ๗ ชาติและเกิดเฉพาะในสุคติภูมิเท่านั้น เพราะเหตุว่าพระอริยบุคคลจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ แต่ปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น กิเลสเหล่านี้ยังดับไม่ได้และยังไม่ได้เบาบางลงไปเลย ถึงอย่างไรก็ต้องได้เกิดอีก ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ทั้งในสุคติภูมิและอบายภูมิอีกอย่างนับชาติไม่ถ้วนเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ กับการที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมทุกประการ ชาติหน้าอาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งจะประมาทในชีวิตไม่ได้เลย เพราะถ้าหากอาศัยความประมาทเพียงนิดเดียวอาจจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิซึ่งเป็นภูมิที่ปราศจากความเจริญในกุศลธรรมหมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น ก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น ด้วยเวลาเท่าที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ จึงควรเป็นไปเพื่อการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ เพิ่มพูนกุศล เป็นเสบียงเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะถึงกาละที่ไม่ต้องเดินทางในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป เมื่อดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ ครับ.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

นรก สวรรค์ ภพภูมิอื่น ที่มองไม่เห็น จะอธิบายกับผู้อื่นได้ไงว่ามันมีอยู่จริงๆ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 30 พ.ค. 2555

เทวดาเห็นมนุษย์ได้ แต่มนุษย์ไม่สามารถเ็ห็นเทวดาได้ ยกเว้นผู้ที่ได้ตาทิพย์ หูทิพย์

ส่วนการเห็นที่ประเสริฐที่สุด คือ การเห็นสภาพธรรมะที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นแต่เพียง

ธรรมะ ที่ไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นการเห็นด้วยปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 30 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การเกิดในภพภูมิใหม่ ในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ภพภูมิที่เกิดใหม่นั้น

ชื่อว่าภพหน้า ชาติหน้า หรือ สัมปรายภพ

ภพ มี ๒ นัย คือ ภพ โดย ความเป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม กับ ภพ

โดยนัยของ เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ อันมีความหมายเดียวกับ โอกาสโลก ครับ

บัญญัติว่าเทวดาได้ ก็เพราะ มีจิต เจตสิกและรูป ประชุมรวมกัน

ในเมื่อมีรูปธรรมที่เป็น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น ก็ต้องมีรูปร่างกาย

และก็มีเพศชายและหญิง สำหรับเทวดา ๖ ชั้น ครับ

"เป็นรูปร่างกายที่ละเอียด เพราะเกิดจากผลของกุศลที่ประณีต

ที่รูปเป็นทิพย์ เพราะ ความละเอียดของรูปร่างกายของเทวดา จึงไม่สามารถ

ทำให้ จักขุปสาทของมนุษย์ หรือ ตา ไม่สามารถเห็นรูปของเทวดาได้

ที่มีความละเอียดของรูปเกินกว่า ตาของมนุษย์จะเห็นได้"

เพราะฉะนั้น การอบรมปัญญา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้พ้นจากการเกิดในโลกนี้

และโลกหน้า อันนำมาซึ่งความทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
บริสุทธิ์
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนา แด่ทุกท่านที่ให้ความอันชัดแจ้ง

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 31 พ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ