อารัมมณปัจจัย[2]

 
gboy
วันที่  5 มี.ค. 2555
หมายเลข  20705
อ่าน  1,108

เนววิปากนวิปากธัมมธธรรม เป็นปัจจัยแก่วิปากธัมมธรรม ด้วยอำนาจของอารัมมณปัจจัย.

พระเสกขะ หรือปุถุชน พิจารณาเห็นจักษุ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักษุนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส ย่อมเกิดขึ้น.

จากข้อความข้างต้น

เรียนถามอาจารย์ว่า เกิดทั้งกุศลและอกุศลต่อเนื่องกันหรืออย่างไรครับ หรือบางครั้งก็เกิดกุศล บางครั้งก็เกิดอกุศล

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระเสขะ คือ ผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ มีพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ส่วน พระอเสขะ คือ ผู้ที่ไม่ต้องศึกษาแล้ว เพราะเสร็จกิจ คือ การดับกิเลสแล้ว นั่นคือพระอรหันต์ ครับ

ปุถุชน คือ ผู้ที่หนาด้วยกิเลส ยังไม่บรรลุ มรรผล ครับ รวมทั้ง ยังจะต้องเป็นผู้ที่จะต้องศึกษาด้วย ซึ่ง ปุถุชน ก็มี ๒ ประเภท คือ พาลปุถุชน และ กัลยาณปุถุชน

พาลปุถุชน คือ ปุถุชนผู้มืดบอด ไม่ได้สนใจพระธรรมและไม่อบรมปัญญาเลย ครับ ส่วน

กัลยาณปุถุชน คือ ปุถุชนอันงาม เพราะเป็นผู้ที่อบรมปัญญา เจริญกุศล และฟังพระธรรม

ดังนั้น ในสูตรนี้ ที่ผู้ถามยกมา มุ่งหมายถึง กัลยาณปุถุชน เป็นสำคัญ ครับ เพราะ พระเสกขะ และ ปุถุชน ที่พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ต้องเป็นผู้ที่อบรมปัญญามาแล้ว และขณะที่เห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ในขณะนั้น เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา แต่ จิตขณะต่อไป ก็เป็นอกุศลได้ เพราะว่า ยังเป็นปุถุชน และ พระเสกขะ ยังไม่ใช่พระอรหันต์ที่จะไม่เป็นอกุศลเลย ครับ

ดังนั้น เมื่อห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ก็สามารถเกิดปัญญารู้ความจริงในสภาพธรรมในขณะนั้น เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา เป็นกุศลในขณะนั้น แต่เพราะยังมีกิเลส จิตขณะต่อไป ก็เป็นอกุศลได้ และ ย่อมเกิดราคะโทสะ (โทมนัส) เป็นธรรมดา ดังนั้น กุศลก็เกิดสลับกับอกุศล ได้เป็นธรรมดา โดยไม่จำเป็นจะต้อง เป็นจิตที่เป็นกุศลเกิดต่อเนื่องครับ อกุศลก็เกิดสลับได้ครับ ซึ่งอาศัยการฟังพระธรรม อบรมปัญญาไปเรื่อยๆ ก็ย่อมก้าวข้ามจากความเป็นปุถุชน สู่ ความเป็นพระเสขะ และถึงความเป็นพระอเสขะได้ เพราะอาศัยปัญญาที่เจริญขึ้น จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมนั่นเองครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
gboy
วันที่ 7 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณครับ

อยากจะเรียนถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ มโนทวารวิถีจิตครับ เพราะเคยอ่านเจอว่า อาศัยหทยวัตถุเกิดแต่อย่างเดียว หรือมิฉะนั้นก็เกิดโดยไม่ต้องอาศัยวัตถุใดๆ เลย ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 7 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียน ความคิดเห็นที่ 2 ครับ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า มโนทวารวิถีจิต ต้องเป็นวีถีจิต แต่เป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยมโนทวาร เท่านั้น ไม่ได้เกิดโดยอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทวาร แต่อาศัยใจเป็นทวาร คือ อาศัยภวังคุปัจเฉทจิตเป็นทวาร และต้องเข้าใจอีกว่า จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยมโนทวารนั้น มีจิตอะไรบ้าง เริ่มตั้งแต่มโนทวาราวัชชนจิต เป็นต้น ล้วนเป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยหทยวัตถุเป็นที่เกิดทั้งได้ ไม่ได้เกิดที่จักขุวัตถุ ไม่ได้เกิดที่โสตวัตถุ ไม่ได้เกิดที่ฆานวัตถุ ไม่ได้เกิดที่ชิวหาวัตถุ ไม่ได้เกิดที่กายวัตถุ แต่เกิดที่หทยวัตถุ เท่านั้น

ส่วนจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และ จุติจิต ก็เกิดที่หทยวัตถุ นี้กล่าวถึงเฉพาะในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ครบ คือ มีจิต เจตสิก และ รูป แต่ถ้าเป็นในภูมิที่มีขันธ์ ๔ (อรูปพรหมภูมิ) คือ มีเฉพาะนามธรรม ได้แก่ จิต และเจตสิก เท่านั้น จิตไม่ได้อาศัยวัตถุเป็นที่เกิด เพราะ ไม่มีรูปธรรมใดๆ เลย แต่อาศัยเจตสิกเกิดขึ้น ดังนั้น ในภูมิที่มีขันธ์ ๔ จิตและเจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ครับ

...ขออนุโทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
gboy
วันที่ 7 มี.ค. 2555

แสดงว่าจิตในมโนทวารวิถีเกิดที่หทยวัตถุ จะเกิดโดยไม่อาศัยวัตถุใดๆ นั้นไม่ถูกต้อง

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 7 มี.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 2 และ 5 ครับ

ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ครับ แม้แต่ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น โดยมาก ต้องอาศัยรูปเกิดขึ้น เช่น ภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ มี มนุษย์ เป็นต้น จิต เจตสิกจะเกิดขึ้น แม้ใน มโนทวารวิถี ก็ ต้องอาศัย รูป เป็นที่เกิดของจิต มี หทยรูป เป็นต้น แต่ในบางภพภูมิ มี อรูปพรหมภูมิ ก็ไม่ต้องอาศัย รูป เป็นที่เกิด ไม่ต้องอาศัย หทยรูปเกิด เพราะ อรูปพหรม ไม่มีรูปเกิดขึ้นเลย แต่ จิต เจตสิกก็สามารถเกิดขึ้นได้

ดังนั้น อรูปพหรม ไม่มีรูปเกิดขึ้นเลย ไม่มี จักขุปสาทรูป เป็นต้น จึงไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส ที่เป็นปัญจทวารวิถี แต่มี ทางมโนทวารวิถี ที่คิดนึกต่างๆ และมีจิต เจตสิก เกิดขึ้น ทางมโนทวารวิถี แต่ จิต เจตสิกที่เกิดทางมโนทวารวิถีของอรูปพรหม เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยที่เกิดที่เป็นรูปเลย เพราะอรูปพรหม ไม่มีรูปเกิดขึ้น ดังนั้น จึง ไม่มีหทยรูปในอรูปพรหม จิต เจตสิกทางมโนทวารวิถีของอรูปพรหม จึงไม่ต้องอาศัยหทยรูป ในการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกทางมโนทวารวิถี ครับ

ดังนั้น ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้อง กล่าวว่า จิต เจตสิกที่เกิดทางมโนทวารวิถี อาศัย วัตถุรูปเกิดก็ได้ ไม่อาศัยวัตถุรูปเกิดก็ได้ หรือ จิต เจตสิกที่เกิดทาง มโนทวารวิถีจิต อาศัยหทยรูปเกิดก็ได้ ไม่อาศัยหทยรูปเกิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเกิดในภพภูมิใด ถ้าเป็นภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็ต้องอาศัยวัตถุรูปเกิด มีหทยรูป เป็นต้น แต่ถ้าเกิดในอรูปพรหม จิต เจตสิก ทางมโนทวารวิถีก็ไม่ต้องอาศัยวัตถุรูปเกิด ไม่ต้องอาศัยหทยรูปเกิด ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
gboy
วันที่ 8 มี.ค. 2555

ขอบคุณครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ