สัญชาตญาณของสัตว์โลก

 
เซจาน้อย
วันที่  10 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20129
อ่าน  11,081

สัญชาตญาณของสัตว์โลก คืออย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจ ความหมายของ สัญชาตญาณ ตามชาวโลกที่สมมติกันครับว่าคืออะไร สัญชาตญาณ คือ ความคิด ความรู้ที่มีมาแต่กำเนิดของคนและสัตว์ ทำให้มีความรู้สึกและกระทำได้เอง โดยไม่ต้องมีใครสั่งสอน เช่น การดำรงเผ่าพันธ์ การเอาตัวรอดการแสวงหาอาหารของสัตว์ เป็นต้น

ซึ่งในสัจจะ ความจริง ไม่ว่าการกระทำอะไรที่แสดงออกมาทางกาย และวาจา ก็คือการกระทำหน้าที่ของ จิตและเจตสิกทีเกิดขึ้นและดับไป อันเป็นไปตามการสะสมครับ หากไม่มี จิต เจตสิกและรูป ไม่มีสภาพธรรมที่มีจริง ก็จะไม่มีการคิดนึก ไม่มีการกระทำ เช่น การกระทำทางกาย วาจา ที่เป็นการเอาตัวรอดครับ

การป้องกันตัว ซึ่ง ในสัจจะในพระพุทธศาสนาคำตอบในประเด็นที่ว่า แม้ไม่มีใครสอนความคิด สิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นได้ มีการกลัวตาย จึงป้องกันตัว การแสวงหาอาหาร เป็นต้น เพราะความจริงของสภาพธรรมที่เป็น จิต และเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมทั้งฝ่ายที่ดี หรือ ไม่ดีมาครับ คือ เมื่อ กุศลจิตเกิดขึ้น ก็สะสมสิ่งทีดี่ต่อไปในจิตขณะต่อไปให้เป็นผู้มีอุปนิสัยดีเช่นนั้น เมื่ออกุศลจิตเกิดขึ้น จิตก็สะสมสิ่งทีไม่ดี อุปนิสัยที่ไม่ดีต่อไปในขณะจิตต่อไป ให้เป็นผู้มีอุปนิสัยไม่ดีอย่างนั้น ดังนั้น เมื่อสัตว์ต่างๆ เกิดขึ้นมา แม้ยังเป็นเด็ก แต่ในความเป็นจริงก็คือ การเกิดขึ้นของ จิตทีเกิดดับสืบต่อกันมา ซึ่งก่อนจะเป็นเด็ก เป็นสัตว์ในชาตินี้ ก็เกิดมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน ก็แสดงว่า มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกมามากมายนับไม่ถ้วนมาแล้ว ดังนั้น เมื่อเกิดขึ้นมา ก็สะสมสิ่งต่างๆ มามากมายแล้วนับไม่ถ้วน ทั้งอุปนิสัยที่ดี และอุปนิสัยที่ดี สะสมทั้งความคิดที่ไม่ดีและดี สะสมวาจาที่ดี และไม่ดี สะสมการกระทำทางกายที่ดี และไม่ดี ดังนั้นเราจะไม่มองเพียงชาติเดียว แต่ให้เห็นว่ามีการเกิดขึ้นและดับไปของจิต เจตสิกมามากแล้ว ชาวโลก จึงกล่าวว่า เมื่อเกิดมา หรือสัตว์ต่างๆ ก็มีสัญชาตญาณ คือ ความรู้ การกระทำที่เกิดขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ต้องสอนก็ทำได้ มีการแสวงหาอาหาร การป้องกันตัว เป็นต้น แต่ความจริง เพราะสะสมสิ่งต่างๆ มามากแล้ว จากการเกิดดับของจิตและเจตสิกในแสนโกฎิชาติ นับไม่ถ้วน จึงทำให้สามารถกระทำสิ่งต่างๆ ได้ทันที มีความกลัวภัย จึงป้องกันตัวเองได้ทันที เป็นต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 10 ธ.ค. 2554

ซึ่งเมื่อมองให้ละเอียด สำหรับสัตว์โลกผู้ที่ยังหนาด้วยกิเลส คือ เป็นปุถุชน สิ่งที่สะสมมามากคือ กิเลสประการต่างๆ ส่วนสิ่งที่ดีที่เป็นกุศลธรรม สะสมมาน้อย ดังนั้น สัญชาตญาณที่มีการกระทำทางกาย วาจา อันเกิดจากความคิดนึกขึ้นเอง ส่วนใหญ่แล้วก็มีรากฐานมาจากกิเลสที่สะสมมา มีความไม่รู้ อวิชชา โลภะ โทสะ กิเลสประการต่างๆ นั่นเองครับ แสวงหาอาหาร ด้วย โลภะ กลัวภัย ด้วยโทสะ จึงป้องกันตัว เป็นต้น ก็ไม่พ้นจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก แต่เป็นจิตที่ไม่ดี ที่ประกอบด้วยกิเลสนั่นเองครับ

สัญชาตญาณของสัตว์โลก จึงเป็นความคิดที่สะสมความไม่รู้ สะสมกิเลสมามาก ทำให้มีการกระทำทางกาย วาจาทีเกิดขึ้นเองด้วยอำนาจกิเลสประการต่างๆ ซึ่งผู้ถามก็มีความเข้าใจถูกต้องแล้วครับ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า จิต เจตสิกเป็นสภาพธรรมที่สะสม แม้จะสะสมกิเลสมามาก อันแสดงถึงสัญชาตญาณที่เนื่องด้วยกิเลส เป็นส่วนใหญ่แต่ผู้ที่อบรมปัญญาสะสมคุณความดี คือ ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็มีความคิดที่ดี ที่สะสมมาเช่นกัน ซึ่งการสะสมในฝ่ายกุศลธรรมและอกุศลธรรมนั้นแยกกันครับ

แม้สะสมอกุศลธรรมามาก แต่ กุศลธรรม คือ ปัญญาและ ศรัทธา สภาพธรรมฝ่ายดีประการต่างๆ ที่เคยสะสมในอดีตไม่ได้หายไปไหน ก็สะสมต่อไปเป็นอุปนิสัยและสามารถที่จะสะสมต่อไปจนมีกำลัง ละ สิ่งที่ไม่ดี คือ กิเลสประการต่างๆ ได้ ด้วยปัญญา ด้วยกสะสมมาในฝ่ายดีครับ และละสัญชาตญาณที่เป็นฝ่ายไม่ดีได้ครับ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมเกื้อกูลต่อการสะสมสิ่งที่ดี และละสิ่งที่ไม่ดีได้ครับ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ

สัญชาติญาณ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 10 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร ล้วนมีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น กล่าวคือ ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และ รูป เลย ที่มีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป นั้น ก็เพราะว่ายังดับกิเลสใดๆ ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อวิชชา และ ตัณหา เมื่อมีการเกิดขึ้นในภพหนึ่งชาติหนึ่ง ชีวิตก็ต้องดำเนินไป มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย และแต่ละคนก็มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปตามการสะสม ไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ก็ต่างกันโดยการได้รับผลของกรรมที่มาจากเหตุที่ได้กระทำแล้วในอดีต และต่างกันโดยการสะสมเหตุในปัจจุบันอีกด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

โดยปกติของผู้ที่มีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นไปมากกว่ากุศล แต่อกุศลที่ว่านี้ตราบใดที่ยังไม่ได้มีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเีบียนสัตว์อื่นผู้อื่นให้เดือดร้อน ก็ยังไม่เป็นเหตุให้ได้รับผลที่เป็นอกุศลวิบาก แต่ก็สะสมสืบต่ออยู่ในจิตไม่หายไปไหน เมื่อสะสมมากขึ้น มีกำลังขึ้นก็ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ แต่ถ้าล่วงเป็นทุจริตกรรมเมื่อใด ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้าได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ยังมีกิเลสอยู่นั่นเอง แต่ในวันหนึ่งๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะอกุศล เท่านั้น กุศลก็เกิดได้ มีได้ในชีวิตประจำวัน สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีซึ่งจะไม่ปะปนกันกับส่วนที่ไม่ดีเลย

การดำรงชีวิต การเอาตัวรอด ของผู้ที่ได้เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม พร้อมทั้งเห็นโทษของอกุศลธรรม ก็ย่อมจะแตกต่างจากผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ไม่เห็นโทษของอกุศลธรรม ซึ่งก็จะพอสังเกตเห็นได้ในชีวิตประจำวันว่าแต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปอย่างไร ผู้ที่เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม เห็นโทษของอกุศลธรรม ก็จะดำรงชีวิตในทางที่ถูกที่ควร ดำรงอยู่ในสุจริตธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่กระทำอกุศลกรรม พร้อมทั้งสะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เป็นเหตุให้ตัวเองรอดจากอกุศล รอดจากทุกข์ทั้งปวง ทั้งหมดนั้น ไม่พ้นไปจากธรรมเลย เป็นธรรมทั้งสิ้น ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
surat
วันที่ 10 ธ.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 11 ธ.ค. 2554

ผู้ที่เข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม เห็นโทษของอกุศลธรรม ก็จะดำรงชีวิตในทางที่ถูกที่ควร ดำรงอยู่ในสุจริตธรรมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ไม่กระทำอกุศลกรรม พร้อมทั้งสะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เป็นเหตุให้ตัวเองรอดจากอกุศล รอดจากทุกข์ทั้งปวง...

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pat_jesty
วันที่ 11 ธ.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 11 ธ.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 12 ธ.ค. 2554

สัญชาตญาณเป็นเรื่องของกิเลสล้วนๆ ผู้ที่ไม่มีกิเลสอย่างพระอรหันต์ จะไม่มีสัญชาตญาณดังกล่าวเลย ท่านไม่มีความใคร่หิวกระหาย การเอาตัวรอด ฯลฯ การดำรงชีวิตอยู่ของท่านเหมือนกับลูกจ้างที่รอเวลางานเลิก อยู่เพราะมีขันธ์ ๕ ที่ต้องบริหาร แต่ไม่ใช่อยู่ด้วยอำนาจของกิเลส

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
akrapat
วันที่ 14 ธ.ค. 2554

การใช้ชีวิต ตามสัญชาตญาณ คือ ใช้ชีวิตโดยความไม่รู้ โดยอำนาจ ของ กิเลส ก่อให้เกิดการกระทำกรรม และเมื่อมีกรรมก็ย่อมมีวิบาก วนเวียนไปเช่น นี้ ตราบเท่าที่ยังไม่รู้ หรือ อวิชชา จนกว่าจะเป็น พระอรหันต์

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เซจาน้อย
วันที่ 16 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ก.ไก่
วันที่ 9 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ