จมน้ำตาย

 
ทิวาภรณ์
วันที่  5 ส.ค. 2554
หมายเลข  18869
อ่าน  16,742

ได้ยินมาว่า ผู้ที่จมน้ำตาย จะไม่ไปผุดไปเกิด วิญญาณจะอยู่บริเวณนั้น จริงหรือไม่คะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ไม่มีที่ใด สถานที่ใดที่สัตว์ไม่ตายไม่มี คือ สามารถตายได้ทุกที่ครับ ไม่มีนิมิตเครื่อง

หมายว่าจะตายตอนไหน เวลาใด ไม่รู้เวลาตายและไม่รู้เลยว่าจะตายเพราะเหตุอะไร

และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าตายไปแล้วจะไปเกิดที่ไหน ครับ เมื่อยังเป็น

ปุถุชน ก็มี คติ คือ ภพที่จะไปเกิดที่ไม่แน่นอนเลย เหมือนกับการโยนไม้ไปในอากาศ

บางคราว ทางปลายด้านซ้ายก็ตกลงพื้นก่อน บางคราวปลายด้านขวาก็ตกลงพื้นก่อน

บางคราวตรงกลางก็ตกลงพื้นก่อน ไม่แน่นอนครับ แต่โดยมากแล้ว สัตว์โดยมากเมื่อ

ตายไปก็ไปเกิดในอบายภูมิ มีนรก เป็นต้นเป็นส่วนมาก ผู้ที่จะกลับมาเกิดในสุคติภูมิ มี

มนุษย์และเทวดา มีเป็นส่วนน้อย ครับ

สำหรับ สัจจะ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เมื่อตายไปจะต้องเกิดทันที ไม่ใช่เป็น

วิญญาณล่องลอย เป็นผีเฝ้าอยู่ที่สถานที่หนึ่ง สถานที่ใด ครับ แต่เมื่อเห็นบุคคลที่ตาย

แล้ว นั่นแสดงว่าไปเกิดแล้ว ไปเกิดเป็นอีกภพภูมิหนึ่ง เช่น เกิดเป็นเปรตก็ได้ ครับ

ตามที่กล่าวมา สัตว์โลกไม่มีที่ไหนที่ไม่เคยตาย แม้การตายในน้ำก็เป็นธรรมดาที่ทุกคน

เคยตายมาแล้วทั้งสิ้น ไม่มีสถานที่ใดที่รอดพ้นจากกรรม ไม่ว่าจะเป็นอากาศ ซอกเขา

ในน้ำ ก็ไม่พ้นจากมัจจุราช คือ ความตายได้ เแต่การที่ตายไปแล้วจะต้องเป็นผีที่อยู่ที่นั้น

เฝ้าบริเวณนั้น ไม่ใช่เช่นนั้นครับ เช่น การตายในน้ำแล้วจะต้องเป็นผีพรายในน้ำ อันนี้ก็

ไม่ใช่ เพราะสถานที่ที่ตาย ไม่ใช่หลักที่จะทำให้ผู้ตายเกิดที่สถานที่ตายครับ บางพวก

ก็ไปนรกทันที บางพวกก็เกิดในสวรรค์ก็ไ้ด้ ถ้ากุศลกรรมให้ผล ส่วนผีพราย หากเป็นผู้

ตายให้เห็นแม้ตายไปแล้ว บริเวณสถานที่ที่ตาย ก็เกิดแล้ว เป็นเปรตที่มาขอส่วนบุญได้

ดังนั้น ตายแล้วเกิดทันที และไม่จำเป็นว่าผู้ที่ตายในน้ำจะต้องมาเป็นผีพรายครับ

เพราะผี ไม่มี มีแต่ภพภูมิอื่นที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ผีที่ล่องลอยครับ และ การที่จะเกิดเป็น

อะไรนั้นไมไ่ด้กำหนดที่สถานที่ที่ตายแต่ขึ้นอยู่กับกรรมของผู้นั้นเป็นสำคัญก่อน

ตาย ว่ากรรมใดให้ผล ถ้าเป็นกรรมดีก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ดังนั้นการตายในน้ำจึง

ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นการเกิดในสุคติภูมิ (สวรรค์ มนุษย์) หรือ กั้นการให้ผลของกรรมที่

เป็นกุศลกรรมได้เลยครับ การตายในที่ไหนก็สามารถไปสุึคติภูมิ ภพภูมิที่ดีและภพภูมิ

ที่ไม่ดี มี นรก เป็นต้นก็ได้ ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... ผี มีจริงหรือเปล่าครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 5 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ชีวิตของคนเรานั้น เป็นการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะๆ เรื่อยไป จิตขณะหนึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนี้ ตั้งแต่เกิดจนตายจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง ที่กิเลสเกิดขึ้นมากมายหลายชนิดนั้นก็เพราะได้สะสมมาแล้วในอดีตเมื่อปัญญายังไม่เจริญขึ้นถึงขั้นที่จะดับกิเลสได้ กิเลสก็จะเกิดขึ้นอีกต่อไปอย่างเช่นในชาตินี้ และเพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เอง การเวียนว่ายตายเกิด จึงยังไม่จบสิ้น ตามความเป็นจริงแล้ว ชีวิตจะยืนนานเท่าใด จะตายเมื่อไหร่ จะตายที่ไหน จะตายด้วยโรคอะไร และ ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน ย่อมไม่มีใครทราบได้เลย การเกิดมาในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น สั้นมาก ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวันนั้น ก้าวไปใกล้ความตายเข้าไปทุกทีๆ ในพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมด้วยข้ออุปมาให้เห็นถึงความเล็กน้อยของชีวิตไว้มากมาย เพื่อให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจตามความเป็นจริง เพื่อจะได้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตอันมีประมาณน้อยนี้ เช่น ชีวิตเปรียบเหมือนน้ำค้างที่อยู่บนยอดหญ้าพอพระอาทิตย์ขึ้นมา ก็เหือดแห้งไป ชีวิตมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้น ชีวิตเปรียบเหมือนรอยไม้ที่ขีดลงไปในน้ำ ที่กลับเข้าหากันเร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน ชีวิตมนุษย์ ก็เป็นเช่นนั้น หรือแม้กระทั่ง อุปมาเหมือนกับการทอผ้าของช่างทอผ้า ขณะที่ทอผ้า แผ่นผ้าก็จะค่อยๆ เต็มขึ้น ส่วนที่ยังทอไม่เสร็จก็จะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเต็มผืนในที่สุด ชีวิตชีวิตมนุษย์ ก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งในที่สุดก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่จะตายที่ไหน เมื่อใด ด้วยโรคอะไร และ หลังจากที่ตายแล้วจะไปเกิด ณ ที่ใด ไม่สามารถทราบได้ ผู้กระทำกรรมอันเป็นบาป เมื่อบาปให้ผล

ย่อมเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ ตามสมควรแก่กรรม ผู้กระทำกุศลกรรม เมื่อถึงคราวที่กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นเหตุให้ไปเกิดในสุคติภูมิ อันได้แก่ เกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นเทวดา ส่วนผู้ทีีี่ดับกิเลสได้หมดสิ้น เป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก เราจักต้องตายแน่แท้ เราจะต้องตายเหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ นี้คือความจริงที่ทุกคนควรรู้ ถึงอย่างไรก็จะต้องถึงวันนั้นอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ ควรที่จะเป็นโอกาสของการสะสมคุณงามความดี เจริญกุศลประการต่างๆ ตามกำลังความสามารถของตนเองที่พอจะเป็นไปได้ รวมถึงการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่าจะเป็นวันไหนและเวลาใด เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงความตาย ย่อมไม่ใช่เพื่อให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ แต่เพื่อเตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต นั่นเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คนไทยพบธรรม
วันที่ 6 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาด้วยครับ ในบทความนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 7 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ทิวาภรณ์
วันที่ 9 ส.ค. 2554

ขอบคุณค่ะที่ตอบให้

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ภุมริน
วันที่ 14 ส.ค. 2554
ขออนุโมทนาส่วนบุญด้วยค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
น้ำมนต์
วันที่ 14 ส.ค. 2554

อนุโมทนาบุญ ด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ