ณ กาลครั้งหนึ่งที่ มูลนิธิฯ ในวันอาสาฬหบูชา ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  23 ก.ค. 2554
หมายเลข  18798
อ่าน  1,988

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้จัดให้มีการสนทนาธรรมเช่นทุกๆ ปี โดยในปีนี้ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘

ข้าพเจ้าและครอบครัว พยายามที่จะไปให้เช้ากว่าปรกติ เนื่องจากในวันสำคัญๆ นี้ นอกจากทางมูลนิธิฯจะปิดลานจอดรถเพื่อกางเต้นท์สำหรับซุ้มอาหารนานาชนิดที่มีเจ้าภาพหลายท่านจัดมาเพื่อบริการแก่ผู้เข้าฟังการสนทนาธรรมแล้ว ลานจอดรถด้านนอก ก็อาจหาที่จอดได้ยาก เนื่องจากมีผู้มามูลนิธิฯ มากกว่าปรกติ อาหารที่เตรียมไว้ ก็มากมาย และเป็นเจ้าอร่อยที่หลายคนชื่นชอบทั้งนั้นครับ

อาหารครั้งนี้ มีต่างจากคราวก่อนคือลูกชิ้นหมูปิ้งราดน้ำจิ้มรสเด็ด มีทั้งเอ็นและเนื้อล้วนและก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่มีทั้งลูกชิ้น เนื้อตุ๋น และเครื่องในต่างๆ ดูน่ารับประทานมาก สำหรับข้าพเจ้าเลิกรับประทานเนื้อมานานร่วมยี่สิบปีแล้ว ไม่ใช่เพราะเหตุความเชื่อใดแต่คิดว่า เป็นการดีต่อสุขภาพ อย่างไรก็ดี สมัยที่เลิกทานใหม่ๆ ได้เดินทางไปญี่ปุ่นกับท่านผู้อำนวยการกองของราชการท่านหนึ่ง มื้อเย็นบริษัทฯ ได้จองร้านอาหารไว้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงร้านหนึ่งในโตเกียว ซึ่งต้องจองล่วงหน้าถึงสามเดือน คือร้านสเต๊กเนื้อโกเบอย่างดีที่มีราคาแพงมาก ท่านผู้อำนวยการก็ถามข้าพเจ้าว่า อ้าว วันชัยไม่ทานเนื้อนี่ ข้าพเจ้าตอบท่านไปว่า อ๋อ ถ้าเป็นเนื้อโกเบ ผมไม่ปฏิเสธครับ

ครั้งนี้ แม้ว่าจะได้เลิกทานเนื้อมานาน แต่เมื่อพี่แก้วตาซึ่งเป็นเจ้าภาพนำมา และเห็นท่านโฆษณาว่าอร่อยนัก จึงขอฉลองศรัทธาด้วยเส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อเปื่อยที่เคยชอบ ก็อร่อยจริงๆ สมคำโฆษณา ทั้งๆ ที่รู้สึกสาปกลิ่นเนื้อที่ไม่ได้ทานมานาน อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านเจ้าภาพอาหารทุกท่านด้วยครับ

บุคคลที่ควรอนุโมทนาอีก คือคุณหมอวิภากร พงษ์วรานนท์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการจัดดอกไม้บูชาพระบรมสารีริกธาตุ พี่แอ๊ว (คุณฟองจันทร์ นันตา) และสหายธธรมที่ช่วยกันจัดดอกไม้อย่างสวยงามและมีความหมาย แม่ครัวทุกท่าน ท่านที่ช่วยล้างจานและท่านอื่นๆ ที่ช่วยกันเจริญกุศลร่วมกันในวันสำคัญนี้ทุกท่านครับ

เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้มายืดยาว ก็เพียงเจตนาที่จะพาทุกท่านนอกเรื่องบ้าง เดี๋ยวจะเบื่อกระทู้ของข้าพเจ้าว่า โผล่มาทีไร นอกจากชวนชิม ชวนชม แล้วก็ชวนฟังเท่านั้นอันที่จริง นอกเรื่องอย่างไร ก็หนีไม่พ้นธรรมะอยู่ดีนะครับ เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ

วันนี้ มีข้อความดีๆ มาฝากทุกๆ ท่านเพื่อพิจารณาร่วมกัน เช่นเคยครับ ข้อความอาจยาวไปบ้าง แต่มีเนื้อหาที่ละเอียด ลึกซึ้ง ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่งครับ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

อ.กุลวิไล เมื่อกล่าวถึงวันอาสาฬหบูชา หลายท่านก็คงระลึกถึง ธรรมจักรซึ่งก็คือ ญาณที่เป็นเครื่องแทงตลอดอริยสัจสี่ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าฯ ทรงเทศนาครั้งแรกเป็นการประกาศ ธรรมจักร หรือธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั่นเอง แก่พระปัญจวัคคีย์ณ ป่าอิสิปปัตตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี หลังจากที่ทรงตรัสรู้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ก็คือ ปัญญา ที่รู้ธรรมะทั้งปวง ในเดือนอาสาฬห ซึ่งตรงกับวัน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงส่วนสุด ๒ อย่าง ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ

อันที่ ๑ ก็คือ การประกอบตน ให้พัวพันในกามสุข

อันที่ ๒ ก็คือ การประกอบความลำบากแก่ตน

และท่านก็แสดงถึง ข้อปฏิบัติ อันเป็นสายกลาง ก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา นั่นเอง ก็ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบการเลี้ยงชีพชอบ ความเพียรชอบ ความระลึกชอบ และความตั้งมั่นชอบ ซึ่งก็เป็นไป เพื่อความสงบจากกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง ในสัจจะ ๔ เพื่อความตรัสรู้และเพื่อนิพพาน

ต่อจากนั้น ก็ทรงแสดง อริยสัจสี่ นะคะ ก็มี ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค ซึ่งการแสดงของท่านในวันนั้น ท่านโกณฑัญญะ ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันพร้อมทั้งพรหม ๑๘ โกฏิ ซึ่งอันนี้ ก็จะให้เราระลึกถึง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านแสดงถึง สัจจะ ๔ ซึ่งก็ไม่พ้น สภาพธรรมะที่มีจริงในขณะนี้ซึ่งข้อปฏิบัติ ที่ท่านกล่าวถึงว่า ประกอบตน ด้วยกามสุขและประกอบความลำบากแก่ตนก็เป็นข้อปฏิบัติที่ไม่เป็นปัจจัยที่จะให้รู้ทุกข์ ตามความเป็นจริง และถ้าเป็นผู้ไม่รู้ทุกข์ (ว่า) เกิดจากอะไร ก็ไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้

ช่วงแรก ดิฉันก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงข้อปฏิบัติที่ว่า เป็นปัจจัยให้รู้ทุกข์ตามความเป็นจริง และข้อปฏิบัตินี้ ก็เป็นปัจจัยให้ผู้นั้นพ้นทุกข์ได้ด้วย ท่านกล่าวถึงอริยมรรค มีองค์ ๘ กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก่อนอื่นนะคะ ต้องทราบว่า ทุกข์ อยู่ที่ไหน?

เพราะว่า ถ้าไม่รู้ว่า ทุกข์ อยู่ที่ไหน? จะ ดับทุกข์ ได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เพียงแต่ว่า เราจะอ่านข้อความ ตอนหนึ่ง ตอนใดพร้อมทั้ง อรรถกถา ซึ่งอธิบายข้อความนั้น นะคะ แต่ไม่ได้เข้าใจ จุดประสงค์และอรรถะของข้อความนั้น เช่น คำว่า "ทุกข์" เนี่ยค่ะ

ขณะนี้ ใครมี "ทุกข์" บ้าง? ถ้าขณะนี้ ไม่รู้ว่ากำลังมีทุกข์จะดับทุกข์ ได้ไม๊คะ? ก็ดับไม่ได้

เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียง คำว่า "ทุกข์" ก็ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจกันธรรมดา นะคะว่า พอทุกข์กาย เจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าทุกข์ใจ ก็เกิดโทมนัส เสียใจ แล้วก็จะไปดับเฉพาะ ทุกข์ใจ ใครก็ตาม ที่มีความทุกข์ใจ มากๆ นะคะ บางคนก็แสวงหาพระธรรมเพื่อที่จะดับทุกข์ เพราะ "คิดว่า" พระธรรม จะช่วยดับทุกข์ใจได้ หรือว่า คนที่ป่วยไข้ นะคะ ก็อยากจะหายโรคมากค่ะ บางคนก็กราบไหว้บูชาสารพัดอย่างที่จะทำให้หายจากโรคนั้น

แต่ว่า ถ้าฟังพระธรรม ไม่ใช่อย่างนั้น นะคะ ต้อง "เข้าใจ" ให้ถูกต้องว่า การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นเพราะ "ปัญญา" ที่สามารถที่จะเข้าใจ สภาพธรรมะ ตามความเป็นจริงและ รู้ว่า เป็นทุกข์ขณะนี้เองนะคะ กำลังเห็นเนี่ย ไม่มีใครรู้สึกว่า เป็นทุกข์

แต่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ว่า "เห็น" นี่แหละ "เป็นทุกข์"เพราะว่า เกิดขึ้น แล้วดับไป อย่างเร็วที่สุด ประมาณไม่ได้เลยจนปรากฏเสมือนว่า ไม่ได้ดับไปเลย เหมือนลูกข่าง ที่หมุนอย่างเร็วและตั้งอยู่ มีใครเห็นการหมุนอย่างเร็วจนกระทั่งทำให้ลูกข่างนั้น ดูเสมือนว่า ไม่ได้หมุนเลย เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ นะคะ สภาพธรรมะ ก็เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น "ทุกข์" ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และให้บุคคลอื่นสามารถที่จะดับทุกข์นั้นได้จริงๆ เช่นที่พระองค์ ได้ทรงดับทุกข์ได้ โดยประการทั้งปวงก็คือว่า ต้องให้มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่ใช่เพียงข้อความในพระไตรปิฎก (แต่) ไม่ได้มีการศึกษาให้เข้าใจเลย แล้วก็เข้าใจว่า มรรค มีองค์ ๘ คืออย่างนั้น คืออย่างนี้ แต่ไม่ได้รู้เลยว่า

ขณะนี้แหละ กำลังเป็นทุกข์

ไม่ว่าจะ เห็น ได้ยิน คิดนึก สุข ทุกข์ ใดๆ ก็ตามทั้งสิ้น ทุกอย่าง ที่มีจริงในขณะนี้ เพราะเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป อย่างรวดเร็วมาก ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้เลย

ยับยั้งไม่ให้เกิดเนี่ยเป็นไปไม่ได้ นะคะ เกิดแล้ว เกิดแล้ว ยับยั้งไม่ให้ชีวิตเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยของแต่ละคน ซึ่งหลากหลายมากสุดที่จะประมาณได้ เช่นเดียวกัน เพราะมีเหตุปัจจัย ที่จะให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อจะต้องเกิด แล้วก็เป็นไป ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี จนกว่าจะจากโลกนี้ไป

ซึ่งแม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องจากโลกนี้ไป โดยการดับขันธปรินิพพานไม่มีการเกิดอีกเลย จึงดับทุกข์ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ต้อง "เข้าใจ" พระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงพระมหากรุณา แสดงพระธรรม ให้คนอื่นได้เข้าใจ

เพราะฉะนั้น เราจะฟังพระธรรม เพื่อ "เข้าใจ" หรือว่า จะไปทำอย่างอื่น? เพื่อ "ไม่เข้าใจ" สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดนะคะ คือ "ปัญญา" ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก และเป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่ลึกซึ้ง ไม่เผิน ที่จะคิดว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ ง่ายๆ พอใครฟังแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้และคิดว่า นั่นเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ต้องศึกษาจริงๆ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ที่จะเป็นผู้ที่ละเอียด รอบคอบ ที่จะดำรงรักษาพระสัทธรรมคือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้คลาดเคลื่อน ซึ่งในที่สุด ก็จะอันตรธาน

เพราะฉะนั้น แม้แต่เรื่องของ "การดับทุกข์" ซึ่งเป็นผลของการเจริญมรรค มีองค์ ๘ นะคะ ได้ยิน แต่ละคำเนี่ยค่ะ เผินไม่ได้เลย

"ดับทุกข์" ต้องรู้ว่า "ขณะนี้เป็นทุกข์"

ถ้าไม่ฟังเรื่องทุกข์ในขณะนี้ ให้เข้าใจตามความเป็นจริง อะไร จะดับทุกข์?

เพราะว่า ไม่มีใครสักคน ที่สามารถจะดับทุกข์ได้ เพราะต้องเป็น "ปัญญา" ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

เกิด เมื่อไหร่ ก็คือ ค่อยๆ "เข้าใจ" สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ทุกท่าน ที่กำลังฟังธรรมะ ในขณะนี้ นะคะ เป็นอย่างนี้ หรือเปล่าคะ?

คือ เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เท่านั้นค่ะ ไม่ใช่ให้ไปทำอย่างอื่นและการที่จะเข้าใจได้ ก็คือ ต้องค่อยๆ เข้าใจ มิฉะนั้น การที่จะพูดเรื่อง มรรค มีองค์ ๘ ก็จะเป็นการ เปล่าประโยชน์ ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้ เป็นทุกข์ ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจ ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครสามารถที่จะกระทำการดับทุกข์ได้ แต่ต้องเป็น "ปัญญา" ความเห็นถูกจริงๆ

ในอะไรคะ? ... ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ...

เพราะว่า สิ่งที่หมดไปแล้วนะคะ ไม่สามารถที่จะให้ความจริงได้ และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ไม่สามารถที่จะให้ความจริงได้ แต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ค่ะ ฟังธรรมะ ให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี

นี่คือการอบรม เพื่อที่จะได้เป็น มรรค มีองค์ ๘

"ขณะ" ที่เริ่มเข้าใจเนี่ย เป็นความเห็นถูก หรือเปล่า?

"เข้าใจถูก" ในสิ่งที่มีจริงๆ

เวลาหลับสนิท "เห็น" ไม่ได้เกิดเลย แล้วก็มี "เห็น" เกิดขึ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า มีปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมะแต่ละอย่าง เกิดขึ้น เป็นไป ขณะนั้น ถ้าไม่ใช่ "เห็น" นะคะ เป็น "ได้ยิน" ก็ได้ เพราะเหตุว่า มีปัจจัยที่จะทำให้ "ได้ยิน" เกิด "ได้ยิน" ขึ้น เพราะฉะนั้น จะเป็นเห็น จะเป็นได้ยิน จะเป็นคิดนึก จะเป็นอะไรก็ตาม ทั้งหมดนะคะ

"เกิด" เมื่อมีปัจจัย

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่ถูกต้องก็คือว่า ให้รู้ว่า เป็นธรรมะและ ในขณะที่กำลังเข้าใจอย่างนี้ค่ะ คือ สัมมาทิฏฐิ มรรคแรก ในมรรค มีองค์ ๘

เพราะฉะนั้น การที่จะเอ่ยชื่อคำว่า สัมมาทิฏฐิ หรือว่า มรรค มีองค์ ๘ โดยที่ ไม่ได้เข้าใจว่า สัมมาทิฏฐิ รู้อะไร? เข้าใจอะไร? ก็เป็นการเปล่าประโยชน์

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ค่ะ ต้องเข้าใจว่า แม้เพียงฟังเข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรมะ ทุกอย่างที่มีจริงๆ ในขณะนี้เป็นธรรมะ ฟังแล้ว ฟังอีก นะคะ เพื่อให้ มีความมั่นคง จริงๆ

ในขณะที่กำลังได้ยินคำว่า ธรรมะหรือคำว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ หรือได้ยินคำว่า "เห็น" เป็นธรรมะ เพราะว่า เราไม่มีความมั่นคงเลย เรามี "คำ" เยอะแยะ และ พยายาม "ข้าม" ไปโดยที่ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ยังไม่ได้ปรากฏเลย

ไม่ว่าเราจะเรียก "ชื่อ" อะไร ใช้ "คำ" อะไรก็ตาม แต่สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ควรรู้ยิ่ง ควรเข้าใจ จริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง ภาษาบาลี ใช้คำว่า "ธรรมะ"

สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น มีลักษณะเฉพาะ แต่ละอย่าง เป็นจริงอย่างนั้นซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทั้งหมด เป็นธรรมะ นี่คือ มั่นคง

ค่อยๆ ฟัง จนกระทั่ง ไม่ลืมว่า ขณะนี้ เป็นธรรมะและขณะนี้ ก็เป็นการอบรม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้จนกว่า สามารถที่จะกำลังเข้าใจ ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน

เพราะเหตุว่า ขณะนี้นะคะ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เป็นธรรมะอย่างหนึ่งและ "เห็น" ก็เป็นธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา

มีใคร "คิด" บ้างคะวันนี้? ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ ว่า "เห็น" เนี่ย ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้และ ขอประทานโทษนะคะ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ถ้า "เห็น" ไม่เกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่เกิดเลย

เพราะฉะนั้น "เห็น" ก็เป็นธรรมะ ซึ่งไม่ใช่ใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครและสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ไม่ใช่ของใคร เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง เมื่อปรากฏให้เห็นแล้วก็ ดับไป เท่านี้ค่ะ คือ ฟังแล้ว ฟังอีก เพื่อที่จะสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ

มิฉะนั้น จะไม่เข้าใจความหมาย ของมรรคมีองค์ ๘ แม้ว่าจะได้ยิน "ชื่อ" นะคะ

แต่ขณะไหน? เมื่อไหร่? และผลคืออะไร?

ก็ต้องเป็นสิ่งซึ่งค่อยๆ สะสมความเข้าใจ ให้มั่นคง ในขณะที่สภาพธรรมะกำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น ไม่มีเรา ที่จะไปดับกิเลส ความรู้ ก็ไม่ใช่เรา มี "ความเข้าใจ" เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ไม่ได้ยั่งยืนตลอดไป ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

"ฟัง" อย่างนี้ มั่นคง ไม๊คะ? ถ้าไม่มั่นคง มรรคมีองค์ ๘ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เพียงแต่เป็น "ชื่อ" ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แต่ว่าไม่ได้เข้าใจ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏในขณะนี้ นะคะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปัญญา ความเห็นถูกจะเกิดขึ้น เข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อไหร่ เมื่อนั้น ก็คือ กำลังปฏิบัติ เข้าถึงหรือว่า ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ด้วยปัญญา จึงจะเป็น มรรค มีองค์ ๘ โดยมรรคที่ ๑ ก็คือ สัมมาทิฏฐิ

เพียงฟังนะคะ บ่อยๆ ฟังแล้ว ฟังอีก เนี่ย น่าเบื่อ ไม๊คะ? หรือว่า เป็นสิ่งที่น่าเข้าใจ น่ารู้อย่างยิ่ง นี่คือ ความต่างกันแล้ว

ถ้าใครฟังแล้ว บอกว่าเบื่อ เพราะว่า รู้แล้ว เข้าใจแล้ว นะคะ ว่าเห็น เป็นธรรมะ เพียงได้ยินว่า เห็น เป็นธรรมะ เหมือนว่าเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น จะพูดเรื่องเห็นสำหรับ ผู้ที่เข้าใจว่า เข้าใจแล้วเนี่ย ก็จะน่าเบื่อ เพราะเหตุว่า พูดทำไม?

ได้ยินแล้ว รู้แล้ว นะคะ แต่ไม่ใช่ความรู้จริงๆ นั่นเพียงแต่ฟัง เรื่องของเห็นแต่ขณะนี้ กำลังเห็นเนี่ย และถ้าถามว่า เห็นเป็นธรรมะใช่ไม๊ จะตอบคำว่า "ใช่" ทันทีแต่เพียงตอบ ค่ะ แต่ยังไม่เคยรู้ ตรงลักษณะ "เห็น" ซึ่งเกิดและดับ เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของพระธรรม เนี่ยนะคะ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะอบรมบารมีมาเท่าไหร่? จึงสามารถที่จะได้ รู้แจ้งสภาพธรรมะใน "ขณะ" ที่ได้ "ฟังพระธรรม" จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ส่วนพระปัญจวัคคีย์คือ กลุ่มของบุคคล ๕ ท่านเนี่ยนะคะ อีก ๔ ท่าน ไม่สามารถที่จะ "รู้" ได้

นี่แสดงให้เห็น ถึง "ความต่างกัน" นะคะ ระหว่าง แม้ฟังด้วยกัน ความเข้าใจ ก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง นะคะ จะเห็นได้ว่า การสะสมความเข้าใจ เท่านั้นค่ะ ไม่ใช่เรื่องราว ไม่ใช่ชื่อไม่ใช่ความอยากรู้ สิ่งต่างๆ ชื่อต่างๆ แล้วคิดว่า เข้าใจแล้ว

แต่ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ นะคะ ถ้าใครสามารถที่จะเข้าใจได้เป็นสิ่งที่น่ารู้อย่างยิ่ง ควรรู้อย่างยิ่ง ไม่ควรที่จะ "ข้าม" ไปเลย เพราะว่า ถ้า "ข้าม" ไป เมื่อไหร่ ไม่มีโอกาสที่จะรู้สัจจธรรมความจริง เพราะตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเกิดมากี่ภพ กี่ชาติ นะคะ จะพ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่ปรากฏ และคิดนึก เต็มไปด้วยเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏนั่นแหละ ไม่รู้ความจริงเลย ว่า "เป็นธรรมะ"

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้นะคะว่า แม้ "ศรัทธา" ก็ต่างกันในขั้นของ "การฟัง" ก็ต้องเป็นผู้ละเอียด ที่ฟังแล้ว ก็สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า กำลังเห็น ฟังเรื่องเห็น "เข้าใจชื่อ" ว่าเห็น เป็นธรรมะแต่ ยังไม่รู้ "ลักษณะเห็น" ซึ่งขณะที่ "กำลังเห็น" อย่างอื่น มีไม๊คะ? มีแขน มีขา มีมือ มีเท้า มีอะไรไม๊คะ?

มีแต่เฉพาะ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" กับ "เห็น" เท่านั้นเอง "ได้ยิน" ก็ไม่มี "เสียง" ก็ไม่มี "รส" ก็ไม่มี "คิดนึก" ก็ไม่มี ในขณะนั้น เป็นการที่ จะเริ่มเข้าใจจริงๆ ว่า สภาพธรรมะที่มีจริงในขณะนี้ที่กำลังเห็น นะคะ ก็มีเฉพาะ "ชั่วขณะ" ที่ "เห็น" แล้วทำไมมีอย่างอื่นมากมาย? มีคนนั้น คนนี้อีกก็แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมะ เกิด-ดับ เนี่ยค่ะ เร็วจนกระทั่งไม่รู้เลยมีแต่ว่า "คิด" จากสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็จากเสียงที่กำลังปรากฏแต่ไม่รู้ว่า ก่อนที่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นจะเกิดขึ้นเหมือนรวมกัน พร้อมกัน ในขณะเดียว นะคะ ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีปัจจัย เกิดขึ้นทีละอย่าง และจิต ก็เป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการ "รู้ลักษณะนั้น" ซึ่ง "ไม่ใช่เรา" เลย ในขณะนี้

เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ นะคะ ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ คือ ฟังละเอียด แล้วก็ รู้ความลึกซึ้งของธรรมะที่กำลังฟัง

ก็น่าคิดนะคะ ได้ยินคำเดียวกัน แต่ปัญญาต่างกัน

พอพูดคำว่า "เห็น" เนี่ยค่ะ แต่ละคน คิดถึง "เห็นที่กำลังปรากฏ" หรือเปล่า?

แล้วก็ เวลาที่ "รู้เฉพาะเห็นที่กำลังปรากฏ" ขณะนั้น ไม่มีสิ่งอื่นปรากฏเลย หรือเปล่า?

นี่เป็นความ ต่างกัน ใช่ไม๊คะ?

สำหรับท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อพระผู้มีพระภาคฯ ตรัสถึงธรรมะใด ธรรมะ ที่กำลังปรากฏนั้น ก็ปรากฏกับท่าน โดยที่อย่างอื่น ไม่ปรากฏเลย ต่างกันแล้ว ใช่ไม๊คะ?

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ค่ะ คิดถึง สภาพธรรมะ ตามความเป็นจริงของปัญญาของผู้ที่รู้จริงๆ นะคะ

"เสียง" ปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย หมายความว่าอะไรคะ?

ถ้ายังคงเหลือโลก ก็ยังมีความเป็นตัวตน ว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่ใช่ "เฉพาะเสียง" ที่ปรากฏและ ธาตุรู้ ที่เป็นนามธรรม เนี่ยค่ะ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ความต่างกันของ "ได้ยิน" ธาตุที่รู้เสียง ที่กำลังปรากฏ แสดงความต่างแล้ว ใช่ไม๊คะ? ว่า "เสียง" ไม่ใช่ "ธาตุรู้" ที่กำลังได้ยินเสียง นี่ก็แสดงถึงความชัดเจนว่า ในขณะนั้น นอกจากไม่มีโลกใดๆ ปรากฏเลยทั้งสิ้น ในความมืดสนิท เพราะเสียงก็ไม่สว่าง ธาตุรู้ สภาพรู้ ที่กำลังได้ยินเสียง ก็ไม่สว่าง

แต่ ปัญญา คือ แสงสว่าง ที่สามารถเข้าใจความจริง ของสิ่งที่อยู่ในความมืดได้

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่ทรงแสดงไว้นะคะ ๔๕ พรรษาก็จะปรากฏกับผู้ที่ปัญญาได้อบรม เจริญแล้ว และสามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรมะนั้น ตามความเป็นจริง

ตามความเป็นจริง ก็คือ ต้อง "ปรากฏทีละหนึ่ง" โดย "จิต" เป็น "ธาตุรู้" เป็น "สภาพรู้" เพราะฉะนั้น ในขณะนั้น จึงสามารถที่จะ "ละ" ความเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เพราะเหตุว่า ในความมืดสนิท "เสียง" เป็น "เสียง" ไม่ใช่เป็นเสียงดนตรี ไม่ใช่เป็นเสียงของซอ ไม่ใช่เป็นเสียงของกลอง แต่ "เสียง" เป็น "เสียง" และ ในขณะนั้น "ธาตุรู้" เท่านั้น ที่กำลัง "รู้เสียง"

"เรา" จะมีแต่ที่ไหน?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ค. 2554

ขอออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ผิน
วันที่ 23 ก.ค. 2554

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาท่านวิทยากร ทุกๆ ท่าน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.ค. 2554

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 24 ก.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 24 ก.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wittawat
วันที่ 25 ก.ค. 2554

อนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของพี่วันชัยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 25 ก.ค. 2554

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ฯ คุณวันชัย และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 25 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kinder
วันที่ 25 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 26 ก.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
หลานตาจอน
วันที่ 31 ก.ค. 2554

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 31 ก.ค. 2554

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ และคณะท่านอาจารย์วิทยากร

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ณ กาลครั้งนี้

และทุกๆ ท่านที่เกี่ยวข้อง

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
yuda
วันที่ 17 ธ.ค. 2568

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ