ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  26 ก.ย. 2554
หมายเลข  19807
อ่าน  2,731

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ชมรมคนรักวัง โดยท่านประธานชมรม พลโท ธำรงรัตน์ แก้วกาญจน์ และชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท โดยท่านพลตรี นายแพทย์ กฤษฎา ดวงอุไร รองเจ้ากรมแพทย์ทหารบก ประธานชมรม

ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปสนทนาธรรม เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ณ พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท ระหว่างเวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๓๐ น.

เป็นอีก ณ กาลครั้งหนึ่ง แห่งความประทับใจของข้าพเจ้า ที่ได้มีโอกาสติดตามไปฟังการสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร ซึ่งครั้งนี้ เป็นการจัดขึ้นในสถานที่ที่สำคัญ และมีความสวยงามมาก มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังการสนทนา เต็มแทบทุกที่นั่ง ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยพระธรรมที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาไว้อย่างไพเราะ ลึกซึ้ง ประทับใจยิ่ง

เนื่องจากเป็นการสนทนาในวาระพิเศษ ในสถานที่พิเศษ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอบันทึกทั้งภาพและข้อความบางส่วนที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาในวันนั้น ไว้ในกระทู้นี้มากเป็นพิเศษ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ท่านที่สนใจ ในการที่จะได้อ่านและพิจารณาธรรมะ ทุกๆ ถ้อยคำ ได้โดยละเอียดแล้ว ยังเป็นการถวายพระเกียรติ แด่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖ และพระราชมารดาคือ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งพระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ที่ได้ใช้เป็นที่จัดการสนทนาธรรมในครั้งนี้ แต่เดิมเป็นท้องพระโรงเดิมของพระองค์ ในสมัยที่ทรงเสด็จะมาประทับ ณ วังพญาไท เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๓ ซึ่งยังคงปรากฏอักษรพระนามาภิไธยย่อ สผ (พระนามเดิม สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) อยู่ภายใน

การสนทนาครั้งนี้ ท่านผู้จัดคือ ชมรมคนรักวังและชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท มีกุศลเจตนาและกุศลศรัทธาที่ควรค่าแก่การอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ที่จะน้อมอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพ็ชรัตนราชสุดาฯ ทั้งยังมีบทกวีที่ท่านได้รจนาและนำมาอ่าน ก่อนการสนทนาธรรมในวันนั้น อย่างไพเราะยิ่ง ซึ่งข้าพเจ้าใคร่ขออนุญาตินำลงบันทึกไว้ด้วยดังนี้


น้อมเศียร บังคมบาท ถวายราช สดุดี
สมเด็จพระเจ้าภคินี เพชรัตนราชสุดา
พระเสด็จ พิมานมาศ ข้าพระบาท อาลัยหา
ระลึกพระคุณ พระกรุณา พระเมตตา ต่อปวงไทย
พระกิจเกื้อ เอนกประการ ทรงสร้างสาน สืบรอยไท้
พระชนกนาถ ประกาศไว้ ด้วยทรงมั่น กตัญญุตา
ทรงแบ่งเบา งานแผ่นดิน องค์ภูมินทร์ ตลอดมา

พระพุทธศาสนา ทรงศึกษา และอุปถัมภ์
งามพระ จริยาวัตร งามพระมนัส ดำรงธรรม
กุศลการ ทรงน้อมนำ ใฝ่พระทัย เพียรบำเพ็ญ
โอกาสเฝ้า เลยลับแล้ว กาลคลาดแคล้ว จะได้เห็น
ข้าพระบาท มิวายเว้น รำลึกรัก ตระหนักพระคุณ
ขอกุศล วาระนี้ ระวีศรี ทวีหนุน
ให้ทรง เกษมบุญ ณ สวรรค์ วิมาน เทอญ

พิธีกร มีคำถามจากท่านผู้ฟังฝากมา กราบเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ ขอกราบเรียนให้ท่านอาจารย์ อธิบายความหมายที่ว่า ถ้าเพียรรู้ชื่อหรือรู้คำแปล ไม่สามารถเข้าถึง "ตัวธรรมะ" แล้วก็เน้น คำว่า "ตัวธรรมะ" มาด้วยค่ะ

ท่านอาจารย์ ขณะนี้ ใช้ภาษาไทยก็ได้ เพราะว่า พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นภาษามคธี สำหรับชาวมคธ แต่ว่า คนไทย ไม่มีโอกาส ที่จะได้เข้าใจเลย แต่ "คำ" ที่เรากล่าวถึงทั้งหมด แปลกลับไปเป็นภาษามคธก็ได้ เพราะเหตุว่า หมายความถึง สิ่งที่ "มีจริงๆ " ทั้งหมด เพราะฉะนั้น ขณะนี้พูดธรรมดาๆ ว่า "เห็น" มีจริงๆ หรือเปล่า? เป็นธรรมะ สิ่งที่ "มีจริงๆ " เป็นธรรมะ มีลักษณะเฉพาะอย่าง คือเปลี่ยนเห็นขณะนี้ ที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ได้ (เห็น) ไม่ใช่ได้ยิน

เพราะฉะนั้น "ได้ยิน" ก็เป็นธรรมะ ซึ่ง "ไม่ใช่เห็น" แล้วเห็นขณะนี้ ก็กำลัง เกิด-ดับ จริงๆ ไม่ต้องเรียกว่า "เห็น" ก็เห็น ไม่ต้องเรียกว่า ได้ยิน ก็ ได้ยิน เพราะฉะนั้น ธรรมะ มี โดยไม่ต้องใช้ชื่อ แต่การที่จำเป็นต้องใช้ชื่อ เพราะเหตุว่า ธรรมะ หลากหลาย ถ้าไม่ ใช้คำ ที่แสดงถึง ธรรมะ แต่ละอย่าง จะรู้ได้อย่างไร? ว่าหมายความถึงธรรมะ อะไร? ประเภทไหน? และเมื่อไหร่? เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ "คำ"

แม้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่กำลังทรงตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้น ไม่มีชื่อของธรรมะ ใดๆ เลย แต่สภาพธรรมะ ปรากฏตามความเป็นจริง โดยถ่องแท้ โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงธรรมะ ที่ได้ทรงตรัสรู้ ต้องอาศัย "คำ" เป็น "ชื่อ" ต่างๆ "คำ" เป็น "ชื่อ" ต่างๆ ที่แสดงให้รู้ว่า หมายความถึง ธรรมะ อะไร?

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ "เห็น" มี เป็นธรรมะ "เห็น" ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มีเห็น แล้วเห็นที่เกิด เกิดเพราะ เหตุปัจจัย ไม่ใช่อยากจะเห็น ก็เห็น คนตาบอด เห็นไม่ได้เลย แต่ว่า ผู้ที่มีจักขุปสาท แม้มี แต่ไม่ถึงวาระที่กรรมจะให้ผลที่ทำให้เห็น ก็ไม่เห็น นอนหลับสนิท ไม่ได้เห็นอะไรเลย แต่คนที่ไม่หลับสนิท ก็เห็น สิ่งที่น่าพอใจบ้าง สิ่งที่ไม่น่าพอใจบ้าง

เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป จึงไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่เป็นใคร "เห็น" เมื่อกี้ ดับแล้วเป็นใคร? หมดแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย เป็นของใคร? เกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นธรรมะ มีปัจจัยเกิด แล้วก็ดับ รู้จักธรรมะจริงๆ หรือเปล่า? หรือว่า เพียงแต่ ได้ยินชื่อว่า ธรรมะ นี่คือความหมายที่ถาม

พิธีกร ส่วนมาก ก็จะรู้จักกันแต่ชื่อ แล้วก็รู้จักแต่ ความหมายจริงๆ น่ะค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วก็รู้แต่เพียงเรื่องราวของธรรมะ แต่ "ตัวธรรมะ" จริงๆ ยังไม่รู้
พิธีกร ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ รู้ว่า ยังไม่รู้ธรรมะ นี่ ดีไหม? คืออย่างน้อย "เคยคิด" ว่ารู้แล้ว แต่ความจริง ความละเอียด ก็จะทำให้เข้าใจได้ถูกต้อง ว่ารู้จริงๆ หรือเปล่า?

เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง วันหนึ่ง ธรรมะทั้งหมดหลากหลายมาก เมื่อศึกษา ก็จะทราบได้ว่า ที่ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ การตรัสรู้ เป็นการตรัสรู้ที่สุดของความจริงของธรรมะ จากวจีสัจจะ คำพูดที่แสดงถึงสัจจธรรม ความจริงในขณะนี้ ทำให้เกิด ญาณสัจจะ ความรู้ ความเข้าใจ ในความจริงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตั้งแต่เกิด จนตาย ซึ่งเป็นหนทางที่จะไปสู่มรรคสัจจะ การเดินทางเพื่อที่จะ เห็นถูก เข้าใจถูก ตามความเข้าใจ ที่เกิดจากการ "ฟัง" เพราะฉะนั้น ธรรมะ ทั้งหมด สอดคล้อง แล้วก็ เป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่ผิวเผิน แล้วก็ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ด้วย

ขณะนี้ ทุกคน กำลังไปไหน? หรือว่า นั่งอยู่ที่นี่? กายอยู่ที่นี่ ใจไปไหน ได้ไหม? ใครห้ามได้ คิดเรื่องอื่นแทนที่จะฟัง เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ได้ ใช่ไหม? มีใครบ้างไหม ที่คิดเรื่องอื่น? ของธรรมดาๆ เลย เพราะเหตุว่า มีเหตุปัจจัยที่จะไป เพราะฉะนั้น กำลังพูดเรื่อง "เห็น" ไม่ได้ "รู้" และ "เข้าใจ" เห็น ... ที่กำลังเห็นแต่ไปที่อื่น

เพราะฉะนั้น ทุกคน เดินทางไปด้วยสภาพธรรมะที่เป็น จิต เจตสิกที่ใช้คำว่า "วิตักกะเจตสิก" คนไทย ใช้คำว่า วิตก แต่ความหมายในภาษาไทย ไม่ตรงกับ ภาษาบาลี ไม่ตรงกับ สภาพธรรมะ พอพูดว่า วิตก เราก็คิดว่า กังวล มีเรื่อง ที่จะต้องคิด ที่จะต้องไตร่ตรอง ที่จะต้องทำ แต่ วิตักกะ เจตสิก เป็นสภาพที่ จรดในอารมณ์ วันหนึ่งๆ เราจะไม่รู้เลย จิต เป็นธาตุที่เป็นใหญ่ ในการรู้แจ้ง เพราะผัสสะ เจตสิกกระทบอารมณ์ใด จิตรู้อารมณ์นั้น แต่ยังมีวิตักกะเจตสิกที่จรดในอารมณ์นั้นด้วย

แต่ที่เราจะสังเกตได้ ก็คือ ตอนคิด ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบ สัมผัส แต่ก็ "คิด" ได้ เพราะฉะนั้น "คิด" ทั้งวัน คิดมากๆ คิดทั้งสิ่งที่กำลังปรากฏให้คิด หรือไม่ปรากฏให้คิด ก็คิด คิดตามเสียง คิดตามกลิ่น คิดตามรส "คิด" เป็นเรื่อง เป็นราว ต่างๆ ไม่มีใครหยุดคิด ไม่มีใครอดคิด แต่ "คิด" ก็ไม่รู้ว่า ขณะนั้น เป็นธรรมะ ซึ่งแต่ละคน "คิด" ตามที่ได้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง จำได้บ้าง ก็เกิดมาเพื่อคิด

เกิดมาแล้ว ต้องเห็น แน่นอน เพราะว่า กรรม ทำให้มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อถึงวาระที่จะเห็น ขณะใดถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเลย ถ้าเป็นผลของกุศล ก็เห็นสิ่งที่น่าดู น่าพอใจ เสียงก็มีหลากหลาย หลายเสียง อยากจะได้ยินเสียงเพราะๆ เสียงดนตรี เสียงเพลง เสียงที่น่าฟัง แต่บางกาละ ก็ได้ยินเสียงที่น่ากลัว น่าตกใจ ทั้งๆ ที่ไม่อยากได้ยินเลย เพราะเป็นผลของอกุศลกรรม นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เกิดมาเพื่ออะไร? เกิดมา เป็นผลของกรรมแน่นอนทุกคน ชาตินี้ ทำกรรมที่นับประมาณ ไม่ได้เลย แล้วก็ ไม่รู้ด้วยว่าจะจากโลกนี้ไป โดยกรรมไหน? ที่จะทำให้ไปสู่ความเป็นบุคคลไหน? ถ้าไปสู่ความเป็นมนุษย์ เป็นสุคติภูมิ หรือบนสวรรค์ ก็มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจธรรมะ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม เราก็จะเห็นได้ในภพภูมินี้ ก็มีทั้งสุนัข แมว นก ไก่ ปู ปลา ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะที่ได้ฟัง อาจจะมีสัตว์ที่มีชีวิต ในห้องนี้ มดก็ได้ยิน จิ้งจกก็ได้ยิน แต่ว่า ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังได้ฟัง

ด้วยเหตุนี้ ก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า "เป็นธรรมะ" ทั้งหมด เกิดมาแล้ว ต้องเห็น เห็นแล้วคิด บังคับบัญชาไม่ให้คิดก็ไม่ได้ ทั้งวันคิดหมด แล้วสิ่งที่ปรากฏก็หลากหลายเพราะฉะนั้น ความคิดก็หลากหลายตามเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ และความจำ เราอาจจะคิดว่า คนหนึ่ง คนใดก็ตามที่เรารู้จัก เพื่อนของเรา เวลานี้ไม่อยู่ที่นี่ เพราะไม่มีธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม สีสัน วรรณะที่จะปรากฏว่าเป็นบุคคลนั้น แต่จำได้ไหม? เพื่อนคนนี้ จำได้ทั้งๆ ที่ ไม่มีอยู่เลย แล้วมีจริงๆ หรือเปล่า? หรือเพียง "จำ"..

เพราะ แม้ขณะนี้เอง ถ้าฟังธรรมะเข้าใจจริงๆ จะรู้ว่า แม้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตา ก็เกิด-ดับ ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราคิดว่า เป็นเพื่อนที่ยังอยู่ ก็คือยังมี ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม พร้อมด้วยสีสัน วรรณะ ซึ่งทำให้เกิดนิมิต รูปร่างสัณฐานที่จำไว้ว่า เป็นคนนี้ พอพบอีกครั้งหนึ่งก็จำได้ว่า คนนี้ยังอยู่ แต่ว่าตามความเป็นจริง ก็คือว่า ที่เห็นวันนี้ไม่ใช่วันก่อน แม้แต่ ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเคยเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน แล้วก็ สีสัน วรรณะ ก็เกิด-ดับ ตามรูปนั้นก็เปลี่ยนแปลงไป

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็น ตามความเป็นจริงว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ ถ้าใครสนใจ มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการเกิด แล้วก็มีโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงว่า เกิดมาเป็นบุคคลนี้ชั่วคราว ไม่รู้ว่าจะมากน้อยหรือสั้นแค่ไหน จากความเป็นบุคคลอื่น ในชาติก่อนมาสู่ความเป็นบุคคลนี้ชั่วคราว แล้วก็จากความเป็นบุคคลนี้ไปสู่ความเป็นบุคคลอื่น แต่ละชาติก็ชั่วคราวทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสจะได้ฟังธรรมะ แล้วก็ประโยชน์จริงๆ คือ เมื่อ "ฟังสิ่งใด" ก็ "เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง" ยิ่งขึ้น มิฉะนั้น ก็จะเป็นเพียงการจำคำ จำชื่อ จำเรื่อง แต่ไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ

เคยสนทนากับท่านผู้หนึ่ง ท่านเป็นชาวอเมริกันอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย สนใจพระอภิธรรมมาก เขียนตำราเป็นเล่มๆ ได้ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องราว เพราะว่า เวลาที่จะจากกัน ก็ถามท่าน ประโยคหนึ่ง ว่าธรรมะ อยู่ที่ไหน? ตอบไม่ได้เลยคือ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมะ พระไตรปิฎกทั้งหมดคือ การกล่าวถึงสภาพธรรมะ เดี๋ยวนี้ ที่มีจริงๆ โดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ศึกษาธรรมะ ต้องรู้ก่อนว่า ธรรมะ คืออะไร? และ อยู่ที่ไหน? จึงจะเป็นผู้ที่มีเหตุผล สมควรแก่การที่จะศึกษา มิฉะนั้น ถ้ากล่าวว่า ศึกษาธรรมะ โดยไม่รู้ว่า ธรรมะ อยู่ที่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์เลย ศึกษาอะไรก็ไม่รู้ เพราะ ไม่รู้ว่า อยู่ที่ไหน?

ด้วยเหตุนี้ ต้องไม่เผินและเป็นผู้ที่ "ฟัง" และ "เข้าใจ" สิ่งที่ได้ฟัง สุตมยปัญญา ฟังแล้ว ไม่ลืม จำได้ คิดได้ แล้วยังไตร่ตรองให้เข้าใจขึ้นด้วย จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริงว่า สิ่งที่ได้ฟังเป็นความจริง เป็นวจีสัจจะ ซึ่งการรู้ความจริงนั้น ก็สามารถที่จะเป็น "ทางเดิน" ไปสู่การดับทุกข์ ตามที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้และทรงแสดง

ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ทุกบุคคลในวันนั้น ได้มีโอกาสอันแสนวิเศษ ณ สถานที่งดงาม โดยความกรุณาของคณะบุคคลที่มากด้วยเมตตาและกุศลศรัทธาในพระรัตนตรัยได้จัดเตรียมสถานที่อันโอ่อ่า โอฬารนี้ ด้วยความประณีต วิจิตร บรรจงพร้อมการทั้งหลาย เพื่อน้อมเกล้าอุทิศเป็นพระราชกุศลถวาย แด่สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ พระองค์นั้น ผู้ทรงคุณูปการอันยิ่งต่อชาติ แลพระพุทธศาสนา

" ... ขอกุศล วาระนี้ ระวีศรี ทวีหนุน
ให้ทรง เกษมบุญ ณ สวรรค์ วิมาน เทอญ ...

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านวิทยากรทุกๆ ท่าน
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตแลกุศลศรัทธาของท่านผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

...

ขอเชิญชมบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่นี่ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พรรณี
วันที่ 27 ก.ย. 2554

ขอน้อมรำลึกถึงพระคุณูประการสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพ็ชรัตนราชสุดา

สิริโสภาพัณณวดี และขออนูโมทนาในกุศลที่ท่านอาจารย์และคณะวิทยากร ได้

มาบรรยายธรรมะเพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลถวายแด่พระองค์ ในครั้งนี้ด้วยคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 27 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 27 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 27 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านในงานอันเป็นกุศลพิธีนี้

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย ณ กาลครั้งนี้ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 27 ก.ย. 2554

เกิดมา เป็นบุคคลนี้ ชั่วคราว ไม่รู้ว่า จะมากน้อย หรือ สั้นแค่ไหน

จาก ความเป็นบุคคลอื่น ในชาติก่อน.....มาสู่ความเป็นบุคคลนี้....ชั่วคราว....

แล้วก็...จาก...ความเป็นบุคคลนี้...ไปสู่ความเป็น...บุคคลอื่น.....

แต่ละชาติ.....ก็.....ชั่วคราว......ทั้งนั้น......

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Pigmy
วันที่ 27 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paew_int
วันที่ 27 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 27 ก.ย. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 27 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปจึงไม่ใช่ของใคร และ ไม่ใช่เป็นใคร"กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ุสุจินต์ บริหารวนเขตต์ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
happyland
วันที่ 27 ก.ย. 2554
กราบอนุโมทนา ทุกๆ ท่านครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kinder
วันที่ 28 ก.ย. 2554
ขอขอบพระคุณคุณวันชัย และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Noparat
วันที่ 28 ก.ย. 2554

"สถานที่งดงาม พระธรรมซาบซึ้ง" กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ขออนุโมทนาในกุศลจิต-กุศลศรัทธาของคุณวันชัย และ ผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ผิน
วันที่ 28 ก.ย. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
หลานตาจอน
วันที่ 29 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
oom
วันที่ 29 ก.ย. 2554

เสียดายมาก ที่ไม่ได้ไปฟังธรรมในครั้งนี้ เพราะต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ขอกราบอนุโมทนากับทุกๆ คน

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
raynu.p
วันที่ 29 ก.ย. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
pattarat
วันที่ 29 ก.ย. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
j.jim
วันที่ 1 ต.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
ปุ้ม
วันที่ 10 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ อาจารย์กล่าวได้โดนใจยิ่งแล้ว

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
michii
วันที่ 12 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ