ท่านเคยคิดถึงกุศลที่เคยทำมาแล้ว หรือเปล่า

 
pirmsombat
วันที่  13 มิ.ย. 2554
หมายเลข  18540
อ่าน  1,050

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ ..........ต้องค่อยๆ พากเพียรไป แล้วเห็นประโยชน์ของ อารัมมณาธิปติ

ปัจจัยที่เป็นฝ่ายกุศล โดยรู้ว่าอารัมมณาธิปติปัจจัย นั้นมีทั้งสองฝ่าย คือที่เป็นอกุศล

ก็มี ที่เป็นกุศลก็มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ควรที่จะสะสมอบรม อารัมณณาธิปติปัจจัย โดย

เป็น อารัมมณุปนิสสยปัจจัย ทางฝ่ายกุศล เพราะว่าไม่ใช่ ตัวตน สัตว์บุคคล จะไปฝืน

บังคับยังไงก็ไม่ได้ ที่จะให้หมด โลภะ โทสะ โมหะ นอกจากปัญญาจะอบรมเจริญขึ้น

ท่านฝู้ฟังเคยคิดถึงกุศลที่เคยทำมาแล้ว หรือเปล่าคะ เคยระลึกแล้วเป็น

อย่างไรบ้างคะ นี่เป็นข้อสำคัญต่อไปค่ะ ไม่ใช่หยุดอยู่เพียงแต่เคย ใช่ไหมคะ

เพราะว่าทุกคนก็เคยคิดถึง กุศลบ้าง ที่ผ่านมาแล้ว

อย่าลืมนะคะ สติปัฏฐานระลึกรู้สภาพจิตที่กำลังมี

กุศลที่ได้ทำมาแล้วเป็นอารมณ์ หรือ อกุศล ที่เคยทำมาแล้วเป็นอารมณ์

ประโยชน์อยู่ที่ขณะนั้น

เพราะว่าถ้าระลึกถึงกุศลที่เคยทำมาแล้ว

จิตผ่องใสเบิกบาน ขณะนั้นเป็นกุศลอีก

และอาจจะคิดถึงกุศลที่จะกระทำต่อไปอีก

เพราะว่าเคยกระทำกุศลอย่างนั้นแล้ว

ก็ใคร่ที่จะกระทำกุศลอย่างนั้นอีก

เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการที่คิดถึงกุศลที่เคยทำแล้ว

ก็คือสามารถที่จะให้กุศลเจริญขึ้น งอกงามไพบูลย์ขึ้น

แต่ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ

ระลึกถึงกุศลที่ได้ทำแล้ว

เกิดมานะ ความสำคัญตน

หรือว่าเกิดโลภะ

หรือว่าเกิดความปราถนาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น โดยไม่รู้

เช่นมีท่านผู้หนึ่ง ท่านก็เคยรับประทานสุรา แล้วท่านก็ศึกษาธรรมก็เห็นประโยชน์ว่า

ควรที่จะรักษาศีลให้ครบถ้วน ไม่ควรขาดข้อหนึ่งข้อใดในศีล ๕ ท่านก็รักษาศีล ๕

แล้วท่านก็ถามว่า ทำไมรักษาศีล ๕ แล้ว ไม่เห็นปีติเลย

ต้องการอะไรคะ มาแล้วค่ะ ต้องการปีติ เพื่อ ปีติ เพื่ออย่างหนึ่งอย่างใด แต่ถ้า

ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นการสะสมทางฝ่ายกุศลเพี่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย โดย

การรู้เหตุ จะเกิดปีติได้ว่ากำลังสะสมสภาพธรรม ที่เป็นอารัมนาธิปติ ที่เป็นฝ่ายกุศล

เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะไม่ให้ โลภะเกิด จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ และจะต้องรู้

ด้วยว่า เหตุอะไรจะทำให้โลภะไม่เกิด หรือว่ากุศลจะเกิดได้ คือแทนที่จะคอยว่า น่าจะ

ปีติแล้ว เพราะว่าได้รักษาศีล ๕ แล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เป็นอาการของควาามหวัง

อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นอกุศล แต่ถ้าไม่หวังปีติ แต่รู้ว่าขณะนี้กำลังสะสม อารัมมณูปนิสสย

ปัจจัย ฝ่ายกุศล ซึ่งวันหนึ่งจะต้องมีกำลังขึ้น ขณะนั้นปราศจากความหวัง หรือความ

เป็นตัวตน ก็ย่อมจะเกิดปีติได้

นี่ก็เป็นเรื่องที่แต่ละคน ก็ควรจะพิจารณาสภาพธรรม ซึ่งจะต้องเป็นสติ

สัมปชัญญะ จึงจะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ถูกต้อง

มิฉะนั้นแล้ว กุศล และ อกุศล ซึ่งเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว จะทำให้ปัญญาไม่

สามารถที่จะรู้ชัด แจ่มแจ้ง ได้ว่า ขณะใดเป็นกุศล และ ขณะใดเป็นอกุศล


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 มิ.ย. 2554

เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการที่คิดถึงกุศลที่เคยทำแล้ว

ก็คือสามารถที่จะให้กุศลเจริญขึ้น งอกงามไพบูลย์ขึ้น

แต่ถ้าขาดสติสัมปชัญญะ

ระลึกถึงกุศลที่ได้ทำแล้ว

เกิดมานะ ความสำคัญตน

หรือว่าเกิดโลภะ

หรือว่าเกิดความปราถนาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น โดยไม่รู้


ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 13 มิ.ย. 2554

อย่าลืมนะคะ สติปัฏฐานระลึกรู้สภาพจิตที่กำลังมี กุศลที่ได้ทำมาแล้วเป็นอารมณ์ หรือ

อกุศล ที่เคยทำมาแล้วเป็นอารมณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 13 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
icenakub
วันที่ 14 มิ.ย. 2554

สาธุ อนุโมทนาครับ :)

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pirmsombat
วันที่ 14 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณเผดิม และคุณคำปั่น และทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วิริยะ
วันที่ 14 มิ.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 14 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พรรณี
วันที่ 15 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 22 มิ.ย. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ