ขอระบายความไม่สบายใจครับ

 
peepee
วันที่  17 มี.ค. 2554
หมายเลข  18065
อ่าน  4,120

ขอกราบสวัสดีทุกๆ ท่านนะครับ

ผมมีเรื่องอยากขอปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตที่แย่ลงในทุกๆ ด้านของผมนะครับ คือเริ่มจากผมเริ่มศึกษาและเริ่มปฏิบัติธรรม พยายามรักษาศีลห้า ทำทานทุกครั้งที่มีโอกาส และเจริญภาวนาเสมอๆ เป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว ซึ่งชีวิตผมก่อนหน้านั้นก็เจริญในหน้าที่การงาน มีเงินใช้ตามอัตภาพมีสมบัติทางโลกครบถ้วน บ้านรถ มีเพื่อนฝูง แต่ผมแปลกใจมากเลยครับหลังจากผมเริ่มปฏิบัติดีขึ้นเคร่งครัดมากขึ้น แต่ทำไมชีวิตทางโลกผมแย่ลงทุกด้านเลยครับ ขณะนี้ผมอยู่ในฐานะคนไม่มีงานทำ เงินก็ไม่ค่อยมีกระเบียดกระเสียรกินอยู่ รถก็ไม่มีขับ จะไปทำบุญทำกิจกรรมไกลๆ กับใครเขาก็ไม่ได้ (ท่านที่อยู่เชียงใหม่จะเข้าใจนะครับถ้าไม่มีรถส่วนตัวน่ะอยู่เชียงใหม่ลำบากหน่อยครับ) เพื่อนๆ ก็พูดให้ท้อในการปฏิบัติดีลงไปอีกเพราะเขารู้ว่าผมไม่ดื่มเหล้า ชอบไปวัด พวกเขาชอบพูดว่านี่หรือชีวิตของคนหันหน้าเข้าหาพระธรรม ทำไมสภาพเหมือนขอทานแบบนี้ล่ะ ธรรมะไม่ช่วยอะไรบ้างเลยหรือ ซึ่งผมขี้เกียจไปอธิบายเขาน่ะครับ แต่ตัวผมเองน่ะเข้าใจว่าผลของกรรมชั่วกำลังส่งผลแต่บางครั้งก้อนึกน้อยใจตามคำพูดของเพื่อนๆ เหมือนกันนะครับ เห็นเขากินเหล้า เที่ยว กันอย่างเพลิดเพลินชีวิตกลับดี

ขึ้นๆ รวยขึ้นๆ ก็อยากทำบ้าง แต่ไม่เอาดีกว่าแค่นี้ก็แย่แล้ว ผมทราบดีนะครับว่า ธรรมะ

ไม่ได้ทำให้ผมรวยขึ้น แต่ทำให้ผมเห็นความเป็นไปชัดเจนขึ้น แต่ก็...อยากมีชีวิตมี

ปัจจัยที่ดีกว่านี้นะครับ ไม่อยากให้ใครมาดูถูกตัวเราและพระธรรมของพระพุทธเจ้าว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลยน่ะครับ ผมเลยอยากจะถามว่า มีสมาชิกท่านใดที่ปฏิบัติธรรมแล้วเรื่องทางใจการเข้าใจโลกดีขึ้น แต่ชีวิตทางโลกแย่ลงอ่ะครับ...ผมเศร้ามากๆ เลยครับคืนนี้...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ประโยชน์คือเมีความเห็นถูก มีปัญญาตาม

ความเป็นจริง เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตอย่างมีเหตุและผล สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุ

หากไม่มีอกุศลธรรมในอดีตที่เคยทำไว้ย่อมจะไม่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีในขณะนี้เลย เพราะ

ฉะนั้นหากเรามองโลกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ตามความเข้าใจอันเกิดจากการ

ศึกษาธรรมที่ถูกต้อง ก็จะเห็นความจริงว่ากุศลกรรมและอกุศลกรรมมีระยะเวลาของ

ให้ผล การปลูกต้นไม้ เพียงหว่านเมล็ดไป จะทำให้ต้นไม้นั้นเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่เพียง

วันเดียวไม่ได้ ฉันใดแม้กุศลกรรมที่ทำในปัจจุบันขณะนี้จะให้ได้ผลทันที ทำให้รับสิ่งดีๆ

ก็ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ และเมื่อสิ่งที่ไม่ดีให้ผลในขณะนี้ก็ต้องเป็นผู้ตรงว่าเกิดจาก

อกุศลกรรมที่เคยทำไว้ กรรมดีจะให้ผลในสิ่งที่ไม่ดีได้เลย เพราะฉะนั้นปัญญา ความ

เห็นถูกย่อมเป็นปัจจัยให้เป็นมั่นคงในเรื่องของกรรม ระยะเวลาของผลของกรรม ผู้ที่ได้

รับกรรมไม่ดีย่อมเป็นผู้พิจารณาตามความเป็นจริงว่าเกิดจากกรรมไม่ดีที่ทำไว้ ควรหรือที่

จะทำเหตุใหม่ที่ไม่ดี ดังที่ใครๆ ทำกันอยู่ แต่ควรจะประกอบกุศลกรรม อบรมปัญญา

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 151

คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบ

เท่าที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใดบาปให้ผล เมื่อนั้น

คนพาลย่อมประสบทุกข์.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 17 มี.ค. 2554

แน่นอนครับว่าทุกคนที่ยังเป็นปุถุชนย่อมต้องการมีชีวิตที่ดี ได้รับสิ่งที่เป็นของธรรมดา

แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เคยทำไว้ในอดีตด้วย พระพุทธองค์ทรงแสดง

เหตุของการได้มาซึ่งสิ่งที่น่าปรารถนาประการต่างๆ ด้วยการมีศรัทธา ศีล จาคะ (การสละ)

และปัญญา เมื่อมีคุณธรรมอันเป็นกุศลธรรม ก็ย่อมนำมาซึ่งสิ่งที่น่าปรารถนา น่าชอบใจ

แต่ต้องมีกาลเวลาให้ผลของกรรม หากแต่ว่าสิ่งที่ได้มานั้นชั่วคราวไม่ได้นำมาซึ่งปัญญาความเห็นถูกเลย ผู้ที่มีปัญญาแม้จะสิ้นทรัพย์ก็เป็นอยู่ได้ เพราะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ต่างกับผู้ไม่มีปัญญาแต่ได้ทรัพย์มากมาย แต่ใช้ทรัพย์ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และก็ประกอบอกุศลกรรม ไม่ทำกุศลกรรม เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัวไว่ว่า ปัญญา

ประเสริฐกว่าทรัพย์ เพราะผู้มีปัญญาเมื่อกระทบสิ่งใดย่อมไม่หวั่นไหวไปตามสิ่งนั้น

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 152

ก็ข้อปฏิบัติอันเข้าไปอาศัยลาภ เป็น

อย่างอื่น ข้อปฏิบัติอันยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพานเป็น

อย่างอื่น (คนละอย่าง) ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระ-

พุทธเจ้าทราบเนื้อความนั้นอย่างนี้แล้ว ไม่พึงเพลิด-

เพลินสักการะ พึงตามเจริญวิเวก.

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ทำ สิ่งที่เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมนั้นคืออย่างไร ต้องเริ่มจากความ

เข้าใจที่ถูกต้อง ด้วยการศึกษาพระธรรม เพราะถ้าหากเข้าใจผิดในสิ่งที่ปฏิบัติอันไม่ตรง

ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่นไม่ใช่กุศลธรรมแต่เป็นอกุศลธรรม

ซึ่งอกุศลกรรมจะนำสิ่งที่ดีมาไม่ได้เลย จึงขอร่วมสนทนาในเรื่องการปฏิบัติธรรมครับ ว่าที่

ปฏิบัติอยู่ปฏิบัติอย่างไร ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chaiyut
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ขอให้คุณ peepee รับฟังธรรมที่มีในเว็บไซต์นี้บ่อยๆ นะครับ สิ่งที่จะปลอบใจคุณได้ดีที่สุด ก็คือ ความใจพระธรรมที่เจริญขึ้นของคุณ peepee เอง ถ้าเราไม่มีความเข้าใจพระธรรม แม้ว่ากุศลจะให้ผลทำให้เรามีชีวิตสุขสบายก็ตาม แต่ถ้าทั้งชีวิตทำแต่อกุศลมาก เจริญกุศลน้อย ปัญญาก็ไม่มี ชีวิตของเราต่อไปก็จะมืดมิดยิ่งกว่านี้ ในอดีตบัณฑิตท่านก็ประสบทุกข์เช่นกัน อาจจะหนักกว่าเราด้วยซ้ำ แต่ท่านเข้าใจถูกว่าทุกข์โทษทั้ง-หลายเกิดจากทุจริตทางกาย วาจา ใจ ที่เคยกระทำไว้ในอดีต ท่านจึงรักษาความเป็นผู้ไม่ประมาท ดำรงตนในการเจริญกุศล ไม่ทิ้งการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม แม้ว่าการดำเนินชีวิตของมนุษย์จะเป็นอยู่ยาก ก็ขอให้คุณ peepee อย่าถึงกับล่วงอกุศลกรรมครับ ขอให้มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง เจริญกุศล อบรมปัญญาเพื่อรู้ความจริงของชีวิตต่อไปสิ่งใดจะเกิดก็ต้องเกิด แม้ไม่อยากให้เกิด แต่ถ้ามีเหตุปัจจัยก็ต้องเกิด แต่เกิดแล้วก็ดับไม่มีอะไรเที่ยงแท้ยั่งยืน สิ่งที่เราต้องการทั้งหมดนั้นเป็นของชั่วคราว ถ้าไม่เข้าใจถูกเราก็เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสาระสำคัญ และเป็นทุกข์เมื่อสิ่งนั้นไม่เป็นไปตามปรารถนา แต่ถ้าเรามีความเข้าใจพระธรรมถูกต้องตามความเป็นจริงเมื่อไร ปัญญาก็จะค่อยๆ บรรเทาความหวั่นไหว ความทุกข์เศร้าโศก ให้น้อยลงตามลำดับเมื่อนั้นครับ

ขอเชิญคลิกฟังธรรม >> เราเองทำกรรมและเราเองเป็นผู้ที่รับผลของกรรม

ศึกษาธรรมแต่ขัดกับทางโลกจะคิดอย่างไร

จะหวังอย่างไรมากสักเท่าไร สิ่งที่ได้ก็ได้เพียงเท่านี้

มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะเพื่ออบรมปัญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ไม่ทราบว่า ท่านหวังอะไรจากการศึกษาและปฏิบัติธรรมรึเปล่าค่ะ? จึงคิดว่าชีวิตต้อง

ดีกว่านี้ ต้องไม่ลืมนะคะว่า พระธรรมของพระพุทธเจ้า สอนเราให้เข้าใจ "ความจริง"

ของชีวิตทั้งหมด เพื่อถึงการละคลายและไม่ติดข้อง เพื่อความเป็น "ไท" โดยบริบูรณ์

ที่กล่าวว่า "ชีวิตที่ดี" ความหมายของชีวิตที่ดีคืออะไรค่ะ?

คือ การมีบ้าน มีรถ มีเงิน มีเพื่อนฝูง ฯลฯ กระนั้นหรือ?

ถ้าเช่นนั้น บรรพชิต ก็คงเป็นชีวิตที่แย่มาก เพราะท่านไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยนี่ค่ะ

ความสุขหรือความทุกข์ของคนเราคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุภายนอก แต่อยู่ที่ความ "เข้า

ใจความจริง" ในชีวิตของเราต่างหากค่ะ หากคุณ peepee เข้าใจสภาวะทั้งหลายที่รุม

ล้อมจิตใจอยู่ในขณะนี้ได้อย่าง "ถูกต้อง" คุณ peepee จะเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้พบกับ

ความสุขอันแท้จริง........ชีวิตที่ดีน่าหมายถึงอย่างนี้นะคะ

ป.ล. ขออภัยถ้าไม่ได้เข้ามาปลอบใจ แต่อยากให้จะเข้าใจความจริงมากกว่าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น บุคคลผู้ที่มีปัญญา ถึงแม้จะสิ้นทรัพย์ ถึงแม้จะยากจน ก็ยังเป็นอยู่ได้ สามารถเลี้ยงชีวิตด้วยการงานที่ปราศจากโทษ ซึ่งเป็นอาชีพที่สุจริต ตามวิถีของผู้ที่มีปัญญา ไม่กระทำกุศลกรรมโดยประการทั้งปวง ทรัพย์สมบัติทางโลกไม่สามารถติดตามตนไปได้ และทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะหมดสิ้นไปเมื่อใดก็ได้ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย, กุศลกรรมกับกุศลกรรมจะไม่ปะปนกัน อย่างเด็ดขาด และ ผลของกรรมทั้งสองอย่าง ก็แตกต่างกันด้วย, ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นคุณค่าของทรัพย์สมบัติทางธรรม อันเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐ ซึ่งจะเป็นที่พึ่งทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆ ไป ด้วย โดยเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นปกติในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ขณะที่กำลังฟังพระธรรม ก็มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ เป็นต้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดีเกิดพร้อมกันกับจิตในขณะนั้น และเป็นการอบรมเจริญปัญญาที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ในที่สุด ไม่มีทุกข์ใดๆ อีกเลย นี้คือ ทรัพย์สมบัติที่ประเสริฐอย่างยิ่งในชีวิต ที่ควรมี ควรสะสมเป็นอย่างยิ่ง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ต้องให้เวลากับการศึกษาพระธรรมมาก ๆ ถ้าเข้าใจธรรมะ ทุกอย่างก็จะดีเองค่ะ

เพราะคนที่ไม่มีทรัพย์สมบัติ แต่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐกว่าใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ

ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เช่น ขอทานโรคเรื้่อนคนหนึ่งท่านเป็นพระอริยบุคคล

ท่านมีคุณธรรม แม้ท้าวสักกะจะนำทรัพย์สมบัิติมาแลก ก็ไม่ขอแลกทรัพย์กับคำว่า

พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ฯลฯ ทรัพย์สมบัติใดๆ ไม่มีค่่าเท่ากับปัญญาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
choonj
วันที่ 17 มี.ค. 2554

นั่นนะสินะ ทำมัยเมื่อก่อนก็มีเงินทองพอได้ใช้ แต่พอเคร่งครัดทางธรรมแล้วกลายเป็นยาจก ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน แล้วอะไรละที่ผิดพลาด ถ้าจะอธิบายเป็นเรืองของกรรมแล้วก็ไม่จบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เชื่อเรื่องของกรรม ที่แน่ๆ คือจะปล่อยให้ชีวิตเป็นอย่างนี้รึ ถ้าเป็นผมแล้วละก็ ผมต้องถามตัวเองว่า เงินทองที่เคยได้มาเมื่อก่อนนี้นะได้มายังไง แล้วเวลาที่เคยใช้ในการหาเงินทองนะ ยังมีอยู่รึเปล่าหรือใช้ไปทางอื่นจนทิ้งการหาเงินไป นี่อาจจะเป็นข้อผิดพลาดก็ได้ คือใช้เวลาไม่ถูกไม่รู้ลำดับก่อนหลัง ก็ลองคิดดู ธรรมเป็นเรื่องของการเข้าใจ ถ้าไม่พร้อมแล้ว จะเข้าใจได้อย่างไร อีกอย่างเมื่อขาดปโยคสมบัติแล้วจะได้รับผลของกุศลได้อย่างไร ปโยคสมบัติคือความฉลาดในการงานอาชีพ คือต้องขยันทำ สรุบคือให้ความสำคัญของการงานอาชีพก่อนกุศลจึงมีโอกาสให้ผลได้....ฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
peepee
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนากับทุกความคิดเห็นนะครับ คือผมอยากจะระบายความอัดอั้นตันใจอยากให้มีคนรับฟังเท่านั้นเองครับ ผมอยู่ตัวคนเดียวกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เกิดมีแต่ปู่กับย่าเลี้ยง

มาซึ่งตอนนี้ท่านทั้งสองก้อได้จากโลกนี้ไปแล้วครับชีวิตผมตอนนี้เหมือนอยู่ตัวคนเดียว

ซึ่งเวลานี้ผลของกรรมชั่วที่เคยได้กระทำไว้ในอดีตทั้งชาตินี้และชาติที่ผ่านมากำลังส่ง

ผลอยู่ผมก้อกัดฟันสู้และตั้งใจปฏิบัตินะครับเพียงแต่มีบ้างที่ไม่มีใครพูดด้วยไม่มีใครนั่ง

ฟังหรือไม่มีใครสักคนที่จะช่วยเหลือผมได้ นี่ถ้าผมไม่เข้าใจในพระธรรมของสมเด็จพระ

สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วผมคงไม่อยู่ทนกับสภาวะแบบนี้ได้หรอกครับสิ่งที่ผมได้ทำอยู่ก้อ

คือการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ด้วยการ ทำทาน รักษาศีล และภาวนาครับซึ่งทำ

ให้ผมเข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรมและเชื่อเรื่องกรรมอย่างจริงใจครับ เพียงแต่ ณ.เวลานี้ชีวิต

ผมยังอยู่ในโลกที่ต้องใช้เงินในการมีชีวิตอยู่ ผมไม่มีปัจจัยสี่เลย บ้าน อาหาร เครื่องนุ่ง

ห่ม ยารักษาโรคล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้นและผมก้อไม่ใช่เพศบรรพชิตที่ดำรงชีวิตได้โดย

ไม่ต้องใช้เงินอ่ะครับเจ้าของหอพักที่เช่าอยู่เขาคงไม่สนหรอกครับว่าผมเคร่งครัดศีลแค่

ไหนเขาสนแค่ผมมีเงินจ่ายค่าเช่าทุกเดือนหรือเปล่าเท่านั้นครับถ้าเหตุการณ์ยังเป็น

เช่นนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าจะไปทำอะไรหางานก้อไม่มีใครรับผมอายุ 40 แล้วนะครับหางาน

ยากมากๆ ทำงานอยู่ดีดีบริษัทก้อเจ๊งไปต่อหน้าต่อตาซะงั้น เหมือนกับตอนนี้มันมืดไป

หมดทั้งแปดด้านเลยครับจะไปวัดสวดมนตร์ ทำวัตรก้อมีแต่อุปสรรคมารทุกประเภทจะ

โผล่มาขัดขวางทุกวิธีเลยครับ (ขันธมาร กิเลสมาร เป็นต้น) ที่มาโพสนี่เพียงแค่อยากรู้

แค่ว่าโลกนี้มีคนรับฟังผมบ้างเท่านั้นครับผมเหงาและกำลังใจเริ่มอ่อนลงเท่านั้นเองครับ

แต่ผมก้อจะไม่ห่างจากการปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าพยายามเดินตามผู้ที่มี

สัมมาฐิถิทุกท่านนะครับหวังแต่เพียงกำลังใจจากกัลยาณธรรมในเวปนี้และผู้ปฏิบัติดี

ปฏิบัติชอบทุกๆ ท่านส่งให้ผมก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตครั้งนี้ไปได้ตลอดรอด

ฝั่งนะครับผมไม่ได้หวังรวยหวังความสุขอะไรมากมายนะครับเพียงแต่ตอนนี้ชีวิตเหมือน

อากาศที่เชียงใหม่เลยครับฝนตก ฟ้ามืดมัวทุกทิศทุกทาง หนาวเหน็บมาสามวันแล้ว

ครับแต่ผมทนกับอากาศแบบนี้มาเกือบห้าปีแล้วครับหวังแค่ว่าพรุ่งนี้แดดจะออกทั้งนอก

ทั้งในใจผมนะครับ...ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความคิดเห็นนะครับรู้สึกดีที่มีคนรับฟัง

และมั่นใจว่าไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้นะครับขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pat_jesty
วันที่ 17 มี.ค. 2554

การศึกษาพระธรรมควรสะสมให้มีความเข้าใจถูกต้อง และมั่นคงจริงๆ ค่ะ เมื่อใดที่เป็นกุศล เมื่อนั่นเบาสบายค่ะ แต่ก็เป็นสภาพที่เกิดดับค่ะ อกุศลก็เกิดดับเช่นกัน ซึ่งก็ยังต้องมีอยู่เป็นธรรมดาถ้ายังไม่บรรลุ

จริงๆ แล้วก็เป็นประโชน์ถ้าจะพิจารณาตาม เมื่อตอนที่รู้สึกน้อยใจ คลางแคลงใจขณะนั้นไม่ใช่กุศล ตอนที่อยากมีสิ่งที่ดีๆ ตอนที่หวัง ตอนนั้นกำลังติดข้องอยู่รึเปล่า ซึ่งถ้าเข้าใจตามความเป็นจริง และมีความมั่นคงก็จะเห็นถูกเข้าใจถูกได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ แม้แต่ผลของกรรมดีหรือไม้ดี จะให้ผลเมื่อไหร่ก็เป็นไปตามวาระที่สมควรตามเหตุปัจจัยนั้นๆ

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตและเมตตาจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ผิน
วันที่ 18 มี.ค. 2554

ธรรมะเป็นอนัตตา แต่ไม่อิสระ เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ในขณะที่คุณ PEE PEE คิดว่าตน

เองเป็นทุกข์ นั่นเป็นเพราะยังยึดติดในความคิด ทุกข์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พิจารณาให้ถ่อง

แท้ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาเพราะคิดนั่นเอง คุณ PEE PEE มีความไม่สะดวกทางกาย คือ

ทุกข์กาย แต่ก็มีความสุขใจ ช่วงที่ไม่สบายใจ ขอแนะนำให้ฟังเทปธรรมะ และสนทนาธรรม

กับสหายธรรม เพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 18 มี.ค. 2554

ทุกอย่างเป็นธรรมะ..เกิดตามเหตุปัจจัย..เกิดแล้วต้องดับ..ความทุกข์ก็เช่นกันเกิดแล้วต้องดับคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
intira2501
วันที่ 18 มี.ค. 2554

เห็นด้วยกับทุกคนค่ะ และขอเป็นกำลังใจให้คุณpeepeeได้ทำวิกฤฅิให้เป็นโอกาส ใช้เวลาว่างศึกษาอบรมให้เกิดปัญญา เมื่อเข้าใจมากขึ้น ทุกขณะก็คือการเล่นกับความคิดของตน เท่านั้น ก็ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
พรรณี
วันที่ 18 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ peepee ด้วยที่ยังคงตั้งมั่นที่จะประพฤติดีปฎิบัติชอบ นี่คงเป็นการทดสอบกระมังคะ ว่าขันติเป็นตบะอย่างยิ่งอย่างไร ชีวิตของมนุษย์มีขึ้นลงเป็นธรรมดา มีแล้วก็หามีไม่เป็นธรรมดาอยู่เอง คุณได้ฟังพระธรรมมาแล้วหลายปีนับว่ามีความรู้เป็นเกาะป้องกันอย่างดี ขอเป็นกำลังใจให้คุณมีขันติอดทนต่อไป

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 18 มี.ค. 2554

ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทต่อสภาพธรรม ไม่ว่าจะเสวยสุขหรือทุกข์ ก็มีอันต้องหมดไป เศร้า

ใจหรือดีใจ ก็ต้องหมดไป สิ่งเหล่านี้ควรกำหนดรู้ ด้วยสติ และปัญญา ไม่ใช่ตัวตน

สังสาร ที่ยาวนานก็เคยเสวยแบบนี้มามากแล้ว ควรจะพอเสียที แต่ต้องด้วยปัญญา และ

ค่อยๆ ศึกษาจากชีวิตจริงในแต่ละวัน แต่ละขณะ อย่าประมาทน่ะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
Siriphong
วันที่ 18 มี.ค. 2554

ผมเองก็มีเรื่องแย่ๆ เข้ามากวนใจให้ขุ่นข้องอยู่เสมอๆ ครับ แต่่บ่อยครั้งที่ผมฟังธรรมทางวิทยุบ้าง internet บ้าง ก็ทำให้ระลึกได้ถึง กรรมและผลของกรรม ทำให้ยอมรับในความเป็นไปในเรื่องต่างๆ และเกิดความเพียรในการเรียนธรรมต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้เข้าใจถูก เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริง เพื่อจะได้ดับทุกข์ไม่มาเกิดให้เป็นทุกข์อีกต่อไปครับ ผมขอให้กำลังใจคุณ peepee ให้มีความเข้มแข็งครับ จากคนที่รู้สึกแย่ๆ เหมือนกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
Thirachat.P
วันที่ 19 มี.ค. 2554

ผมคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายในชีวิตประจำวัน จนลืมคิดเมตตาและคิดเจริญกุศลอี่นๆ ใน 1 นาทีคิดแต่เรื่องราว จนลืมคิดเจริญกุศล แค่คิดจะเจริญกุศลก็ยากแล้วครับ ปัญหาชีวิตส่วนตัวผมก็มีครับ ถ้ามีพันคนก็พันปัญหา ซึ่งทุกๆ คนจะมีปัญหาเดียวกันคือชอบคิดถึงปัญหาเรื่องราวต่างๆ ถ้าคิดจะเจริญกุศล ขั้นทาน ศีล ภาวนา ปัญหาก็น้อยลงเรื่อยๆ ครับ ผมเห็นว่าควรคบกัลยาณมิตรเพิ่มครับ ผู้เป็นบัณฑิตย่อมมีความจริงใจ อาจจะช่วยเหลือเราได้ หากคุณจริงใจ มีศรัทธา ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยครับ ฃอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 19 มี.ค. 2554

"ค่อยๆ ศึกษาจากชีวิตจริงในแต่ละวัน แต่ละขณะ อย่าประมาท"

ขอกด like ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
peepee
วันที่ 19 มี.ค. 2554

ขอบคุณในเมตตาจิตของเพื่อนสมาชิกทุกท่านนะครับช่วยทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยครับ สัญญาว่ายังงัยๆ ก้อไม่ถอยแล้วครับแต่อาจจะอ่อนลงบ้างเล็กน้อยตามสภาพของคนที่ยังไม่หลุดพ้นนะครับ ...ชอบเรื่องขอทานขี้เรื้อนจังเลย เขาลำบากกว่าผมอีกเนอะ เขายังไม่ถอยในความยึดมั่นในพระรัตนตรัยเลยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
bsomsuda
วันที่ 20 มี.ค. 2554

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เจริญความเพียรทั้งเรื่องงาน (สัมมาอาชีวะ) และเรื่องพระธรรมนะคะ

อย่าหวั่นไหว อย่าคลายศรัทธาในพระธรรมของพระพุทธองค์ค่ะ

แต่ไม่ทราบว่าคุณศึกษา และปฏิบัติธรรมอย่างไรคะ?

อยากให้ลองศึกษาที่บ้านธัมมะแห่งนี้ดู

เริ่มตั้งแต่ ธรรมะ คืออะไร? เลยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
Nareopak
วันที่ 20 มี.ค. 2554

ขอเล่าเรื่อง คุณยายผู้หนึ่งอายุ 81แล้วต้องพาหลาน (ซึ่งบิดามารดาเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์) มาโรงพยาบาล คุณยายใส่เสื้อตัวเดิม (ค่อนข้างเก่า) รองเท้าขาด ใช้ลวดผูก ทุกครั้งที่มาก็ใส่เสื้อตัวเดิม ดิฉันหาเสื้อผ้าสวยๆ ดีๆ รองเท้าใหม่ มาให้คุณยาย คุณยายท่านนั้นใส่มาเพียงครั้งเดียว แล้วก็ใส่เสื้อตัวเดิม รองเท้าคู่เดิม ดิฉันถามว่าทำไมคุณยายไม่ใส่เสื้อตัวใหม่บ้างล่ะ คุณยายตอบอย่างอารมณ์ดีว่า "ครั้งที่แล้วใส่เพราะเอาใจคนให้ค่ะ" ที่ยกตัวอย่างนี้เพราะ คุณยายไม่เคยไปเปรียบเทียบกับใคร ไม่เคยบอกว่าตัวเองจน ไม่เคยเรียกร้องอะไร เวลาจะให้อะไร คุณยายก็จะรีบยกมือห้ามและพูดว่า "พอแล้ว ไม่ต้องแล้วค่ะ ให้มาเยอะแล้ว" ขอให้คุณPeePee ผ่านบททดสอบของชีวิตบทนี้ได้ด้วยธรรมะที่ได้รับฟังจาก ท่านอาจารย์สุจินต์ และอยากจะบอกว่าหากเราเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่นก็จะทำให้เกิดทุกข์ทางใจมาก ซึ่งจากการได้ฟังที่ท่านอาจารย์สุจินต์บรรยาย (หากจำไม่ผิด) ท่านอาจารย์กล่าวว่า "ทุกข์จริงๆ ในสังสารวัฏฏ์ คือ ทุกขเวทนาทางกาย ส่วนทุกข์ทางใจ นั้น เป็นเรื่องของความกังวล ความห่วงใย..."

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
aurasa
วันที่ 21 มี.ค. 2554

เอาใจช่วยคุณ peepeeนะคะ ทุกข์ก็ฟังพระธรรม สนทนาธรรมกับเพื่อนในเวบนี้ แล้วจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ยิ่งถ้าธรรมเข้มแข็งขึ้น ก็จะอยู่ได้แม้เพียงลำพัง เพราะมีธรรมอยู่ในใจอย่างมั่นคงแล้ว ทุกข์เพราะคิด เปรียบเทียบกับผู้อื่น แต่จะทุกข์เบาบาง ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่ทุกข์กว่า และถ้าฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ จิตจะเข้มแข็งขึ้นนะคะ เพราะเข้าใจ เมื่อพบอกุศลวิบากให้ผล ก็ต้องยอมรับความจริง ไม่นานความดีกุศลจากการฟังธรรมจะทำให้คุณพีพี เข้าใจ เข้มแข็งขึ้น อดทน และอย่าหยุดการฟังธรรมนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
พรรณี
วันที่ 25 มี.ค. 2554

ขอให้คุณ peepee ได้งานทำเร็วๆ นะคะ เพราะถ้าไม่ได้ทำงานจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าใช้จ่ายที่ต้องมีอยู่ทุกวัน เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารการกินทุกวัน หรือบางทีก็ต้องยอมทำงานอะไรไปก่อนเพื่อให้มีรายได้เข้ามานะคะ ขอให้คุณโชคดีค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
oom
วันที่ 29 มี.ค. 2554

ความทุกข์เกิดเพราะคิดนึก ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ เหมือนดังคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า..........

ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เป็นทุกข์ ได้ในสิ่งที่ไม่ต้องการ ก็เป็นทุกข์..........

คุณไม่มีงานทำ ก็เป็นทุกข์ คนที่มีงานทำก็ีมีทุกข์เหมือนกัน คุณลองไปคุยกับคนที่ทำงานแล้วดูซิ มีปัญหาสารพัด ส่วนคนรวยเขาก็มีทุกข์ แต่เขาทุกข์เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนอะไร เพราะฉะนั้น สุขหรือทุกข์ อยู่ที่ใจมิใช่หรือ................

ถ้าอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตได้ ก็จะไม่ทุกข์ ค่อยๆ พิจารณา สิ่งที่เกิด

ย่อมมีเหตุปัจจัย

ถ้ายังไม่มีงานทำ ก็หางานทำ ถ้าไม่เลือกงาน น่าจะหาได้ไม่ยาก

คนข้างบ้านดิฉัน เขาทำงานทุกอย่างที่คนมาว่าจ้าง วันๆ เขาไม่มีเวลาว่างเลย

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
win@wavf
วันที่ 29 มี.ค. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
wirat.k
วันที่ 31 มี.ค. 2554

ขอเป็นกำลังใจให้หางานทำได้โดยเร็ว

ขออนุโมทนาที่มีความสนใจในการศึกษาธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 33  
 
สัมภเวสี
วันที่ 1 เม.ย. 2554

ถึง คุณ peepee ผมมีอุทธาหรณ์หนึ่งที่น่าสนใจที่คล้ายคลึงกับกรณีของคุณ peepee ครับ คือ กรณีของพระเจ้าพิมพิสาร ที่ถูกพระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์ เราจะเห็นได้ว่าพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อท่านยังพระชนมายุไม่มาก ท่านมีความเจริญในทุกๆ ด้านทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบัน แต่ทำไมช่วงสุดท้ายของชีวิตถึงมีจุดจบที่น่าเศร้า เกิดโศกนาฏกรรมในครอบครัว ลูกฆ่าพ่อ อาจจะดูคล้ายกันว่าทำไมผู้ประพฤติธรรมจึงมีจุดจบเช่นนั้น ทำไมไม่ตรงกับพระพุทธภาษิตที่พระสุคตได้ตรัสไว้ว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี ... ธรรมะคือกุสลธรรมย่อมรักษาคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อย่างนี้แล้วพระพุทธพจน์ของพระองค์ไม่ศักดิสิทธิ์หรือ น่าคิดไหมครับ แต่เรามาพิจารณาดูให้ดี ความละเอียดของสังขตธรรม มีปัจจัยปรุงแต่งมากมายจริงๆ ทั้งปัจจัยที่เป็นอดีต ปัจจุบัน ปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายใน ปัจจัยใกล้ ปัจจัยไกล มีทั้งกรรมในอดีต กรรมในปัจจุบัน.....ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงกำหนดรู้สังขารเหล่านี้ได้หมด เพียงแค่คัมภีร์ปัฏฐาน เรียนให้จบ คงต้องเกิดใหม่อีกหลายสิบรอบ... และเหตุปัจจัยเดียวก่อให้เกิดผลได้มากมาย หรือผลธรรมอย่างเดียวมาจากเหตุปัจจัยได้มากมาย

เพราะฉะนั้นแล้ว ลองมาพิจารณาดูนะครับ บริษัทปิดกิจการลง ไม่ใช่มีเพียงคุณ peepee เท่านั้นที่ตกงาน มีหลายคนพูดง่ายๆ ทั้งบริษัทก็ตกงาน เพราะฉะนั้นเหตุธรรมเพียงอย่างเดียวคือบริษัทล่ม ก่อให้เกิดผลธรรมมากมายคือคนทั้งบริษัทตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจนถึงกรรมการบริษัทตกงานทั่วถ้วน....จริงไหมครับ เพราะฉะนั้นนี่คงทำให้คุณ peepee สบายใจเปราะแรก

ต่อมาคือ เพื่อนๆ กินเหล้าเมายา ทำไมทางโลกดีจังเลย.. ลองกลับมาคิดดูนะครับ ว่ามีไหมที่กินเหล้าเมายาแล้วทางโลกเน่า คำตอบคือมีมากมายแทบจะทั้งหมด สุราไม่ทำให้ใครดี นอกจากเสื่อม ครอบครัวแตกแยก ขาดสติสัมปชัญญะ ที่แน่ๆ กรรมจะแสดงออกตอนอายุมาก เป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับฯ เพราะฉะนั้นอย่าเพียงมองผลที่ปรากฏในปัจจุบัน มองไกลๆ ตามพระพุทธเจ้า จะเห็นว่ามันเป็นทางอบายจริงๆ สบายใจเปราะที่สองหรือยังครับ

ขั้นที่สามคือ ที่คุณ peepee กล่าวว่าอกุสลกรรมกำลังให้ผล เมื่อวิเคราะห์ดูก็มีส่วนถูกครับแต่ไม่ใช่หมายความว่าคุณ peepee ไม่เคยทำความดีงามมาเลย เพราะคุณ peepee กล่าวเองว่าทำทานมาด้วย แต่ว่าทานกุสลกรรมของคุณ peepee ยังไม่มีโอกาสให้ผลเพราะยังขาดอะไรบางอย่างอยู่ ศึกษาได้ในเรื่องสมบัติ 4 วิบัติ 4 แสดงให้เห็นความเป็นสังขตธรรมจริงๆ เลยนะครับ นี่แหละ ทุกขสัจจะของแท้ สังขตัฏโฐ (ปรุงแต่งมาก) - วิปริณามัฏโฐ (แปรปรวน) - ปีฬนัฏโฐ (เบียดเบียน) - สันตาปนัฏโฐ (เร่าร้อน) ทำบุญท่วมหัว แต่ถ้าปัจจัยไม่พร้อม บุญก็ยังไม่ให้ผล ถ้าเราไม่ศึกษาอย่างถ่องแท้ คงหลงป่ามิจฉาทิฏฐิไปแล้วหละครับ เพระาฉะนั้น จะทำอย่างไรหละให้ทานกุสลกรรมให้ผล คุณ peepee ต้องหาปัจจัยคือปโยคสมบัติได้แก่ความเพียรในการแสวงหา (ต้องมีไหวพริบปฏิภาณ ต้องมีลู่ทางในการหารายได้) นี่จะเป็นกุญแจไขประตูสู่ความสำเร็จทั้งปวง ความเพียรพูดง่ายๆ คือความขยันนั่นเอง น่าจะสบายใจได้เปราะที่สาม

ขั้นที่สี่คือ การดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาท การอดออมเป็นสิ่งสำคัญมาก พระพุทธเจ้าของเราทรงสอนไว้หมดในเรื่องคิหิปฏิบัติ (ข้อปฏิบัติของผู้ครองเรือน) ศึกษาในอังคุตตรนิกาย ชาดกฯ ทรงสอนให้เก็บทรัพย์ไว้เพื่อใช้ในยามขัดสน และทำทานเพื่อวิบากในอนาคต เพราะฉะนั้นคุณ peepee สูดหายใจลึกๆ รวบรวมสติ สมาธิ วิริยะ และ ปัญญา ขุดศักยภาพอันซ่อนเร้นในตัวออกมาใช้ครับ ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ผ่านได้แน่นอน คนล้มละลายติดหนี้สินเป็นร้อยล้าน เขายังสู้ผ่านมามากมายเลย เรายังมีมือมีเท้า สู้ต่อไปครับ

และที่สำคัญที่สุดคือ เราล้มลุกคลุกคลานจากชาติสู่ชาติ จากภพสู่ภพ มากมายนับประมาณมิได้มาแล้ว จากเศรษฐีสู่ยาจก สู่ยาจกสู่อบายสัตว์ ฯ เห็นความไม่มีแก่นสาร ความไร้สาระของนามและรูปที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไหมครับ ควรที่จะเบื่อหน่าย ควรที่จะคลายกำหนัด หากเราไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาชี้ทางสว่าง ส่องความจริงให้เราเห็นทั้งอดีตเหตุ-ปัจจุบันผล-ปัจจุบันเหตุ-อนาคตผล ถ้าไม่มีพระองค์ เราคงหลง แต่ถึงอย่างไรก็ตามสำคัญที่สุด ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน รีบเร่งสร้างคุณงามความดีไว้เพื่อการหลุดพ้นเป็นดีที่สุด หวังว่าคุณ peepee คงจะสบายใจขึ้นนะครับ cheer up นะครับ

ป.ล. ผมพิมพ์เป็นทีละย่อหน้า แต่ทำไมเวลาออกมามันติดกันเป็นพืดเลย ใครก็ได้ช่วยที ผม low tech ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 34  
 
kanchana.c
วันที่ 2 เม.ย. 2554

เรียนคุณ peepee

ดิฉัันพอจะเข้าใจคุณ peepee พอสมควร เพราะตนเองก็เคยผ่านประสบการณ์อย่างนั้น

มาแล้ว ก่อนจะศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากมูลนิธิศึกษาและ

เผยแพร่พระพุทธศาสนา ดิฉันเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมนั้นต้องไปปฏิับัติที่วัด หรือตาม

สำนักต่างๆ เท่านั้น ต้องลางานไปอยู่กับกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน แยกการปฏิบัติธรรม

ออกไปเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งจะมีมีการงาน ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงอยู่เลย ดิฉันลาพักร้อนปี

ละหลายครั้ง เพื่อไปปฏิบัติธรรม โชคดีที่ทำราชการ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกไล่ออก ตก

งานไปแล้ว และเมื่อกลับจากปฏิบัติธรรม ก็มีมานะ ถือตัวตามมาด้วยว่า เรามีบุญมากกว่า

พวกที่หยาบหนาด้วยกิเลส ไม่ขัดเกลาเหมือนเรา ทำให้เข้ากับคนอื่นไม่ได้ พวกคนอื่นก็

มองเราเป็นตัวประหลาด เคร่งครึ เข้ากับผู้คนไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ไม่ได้รับ

สนับสนุนให้ก้าวหน้าในหน้่าที่การงาน (ในตอนนั้น)

เมื่อได้มาฟังธรรมเรื่่อง "แนวทางเจริญวิปัสสนา" จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวน

เขตต์ ที่วัดบวรนิเวศ และจากสถานีวิทยุมากขึ้น ก็เข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมนั้นคืออย่าง

ไร การปฏิบัติธรรมนั้น คือ การปฏิบัติตนสมควรแก่ธรรมที่ตนเข้าใจ อย่างเช่น เข้าใจ

เรื่องศีล ว่าศีลเป็นข้อปฏิบัติให้กาย วาจาเป็นปกติ ไ่ม่ทำให้ตนและผู้อื่นเดือดร้อน ด้วย

การไม่ฆ่าสัตว์ ...ไม่ดื่มสุรา ก็ปฏิบัติตามศีล ๕ ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องไป

สมาทานที่วัด หรืออยู่วัด อยู่ที่ไหนก็ได้ ทำงานตามปกติ มีชีวิตเหมือนเดิม แต่ตั้งใจงด

เว้น เช่น เมื่อพูด ก็พูดแต่คำจริง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องพูดปด ก็รู้ว่า เพราะยังมีเหตุ

ปัจจัยที่ทำใหเป็นเช่นนั้น เลือกไม่ได้ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อย่างนี้เป็นต้น

เป็นการปฏิบัติธรรม

มีนักการที่ทำงานคนหนึ่ง ก็ไปปฏิบัติธรรม (ตามที่เขาเข้าใจ) ที่วัด กลับมาไม่ยอมทำ

งานที่ได้รับมอบหมาย คือทำความสะอาดห้องน้ำ สอบถามได้ความว่า เขาเป็นเจ้าชาย

มาเกิด จะมาทำงานต่ำต้อยอย่างนี้ได้อย่างไร เจ้านายในชาตินี้ก็ต้องหนักใจ จะไล่ออก

ก็สงสารว่าครอบครัวจะลำบากเดือดร้อน ต้องให้คนอื่นทำหน้าที่ของเขาแทน และให้

เขาไปทำสวน ตัดหญ้าแทน และเรียกเขาลับหลังว่า เจ้าชาย

นี่เป็นตัวอย่างของคนที่ปฏิบัติธรรมโดยไม่เข้าใจว่า พระธรรมที่ทรงแสดงนั้น แสดง

เหตุและผลของทุกอย่างที่มีจริงในชีวิตประจำวัน พระธรรมไม่ต่างจากชีวิตประจำวันเลย

เพียงแต่ให้รู้ว่า สิ่งใดเป็นกุศล ควรเจริญ สิ่งใดเป็นอกุศลควรละ และเข้าใจสภาพธรรม

ตามความเป็นจริงยิ่งขึ้นว่า ทุกอย่างเ็ป็นธรรม และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับ

บัญชาไม่ได้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการศึกษา พิจารณาและไตร่ตรอง จนเป็นความเข้าใจ

ของตนเองจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงความจำ

ขอเอาใจช่วยคุณ peepee ค่ะ ขอให้มีความเข้าใจธรรมมากขึ้น เพราะความเข้าใจนั้น

คือ ปัญญา ที่จะเ้ป็นแสงสว่างนำทางชีวิตของคุณ peepee ให้สู่ทางที่ถูก เจริญก้าว

หน้าในกุศลยิ่งๆ ขึ้น แล้วจะทราบว่า ทรัพย์ที่ประเสริฐที่ควรแสวงหา คือ อริยทรัพย์ ซึ่ง

ไม่มีภัยอะไรสามารถทำลายได้ ได้แก่ ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 35  
 
Sensory
วันที่ 3 เม.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 36  
 
พรรณี
วันที่ 6 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 38  
 
แสงจันทร์
วันที่ 27 ส.ค. 2554

ทุกข์ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมทำความดี

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 376

๑. เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ได้เด็ดขาด พร้อมกับทุกข์บ้าง พร้อมกับ

โทมนัสบ้าง, และเพราะการเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์

โทมนัส.

๒. เป็นผู้เว้นจากการลักทรัพย์ได้เด็ดขาด พร้อมกับทุกข์บ้าง พร้อม

กับโทมนัสบ้าง, และเพราะการเว้นจากการลักทรัพย์เป็นปัจจัย เขาย่อม

เสวยทุกข์โทมนัส.

๓. เป็นผู้เว้นจากความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย พร้อมกับทุกข์

บ้าง พร้อมกับโทมนัสบ้าง, และเพราะการเว้นจากความประพฤติผิดในกาม

เป็นปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์โทมนัส.

๔. เป็นผู้เว้นจากการพูดเท็จได้เด็ดขาด พร้อมกับ ทุกข์บ้าง พร้อมกับ

โทมนัสบ้าง, และเพราะการเว้นจากการพูดเท็จเป็นปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์

โทมนัส.

๕. เป็นผู้เว้นจากการพูดส่อเสียดได้เด็ดขาด พร้อมกับทุกข์บ้าง

พร้อมกับโทมนัสบ้าง, และเพราะการเว้นจากการพูดส่อเสียดเป็น

ปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์โทมนัส.

๖. เป็นผู้เว้นจากการพูดคำหยาบได้เด็ดขาด พร้อมกับทุกข์บ้าง

พร้อมกับโทมนัสบ้าง และเพราะการเว้นจากการพูดคำหยาบเป็นปัจจัย

เขาย่อมเสวยทุกข์โทมนัส.

๗. เป็นผู้เว้นจากการพูดคำสำรากเพ้อเจ้อได้เด็ดขาด พร้อมกับทุกข์

บ้าง พร้อมกับโทมนัสบ้าง, และเพราะการเว้นจากการพูดคำสำรากเพ้อเจ้อ

เป็นปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์โทมนัส.

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 377

๘. เป็นผู้ไม่มากด้วยความเพ่งเล็ง พร้อมกับทุกข์บ้าง พร้อมกับโทมนัส

บ้าง, และเพราะความไม่เพ่งเล็งเป็นปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์โทมนัส.

๙. เป็นผู้ไม่มีจิตคิดพยาบาท พร้อมกับทุกข์บ้าง พร้อมกับโทมนัสบ้าง,

และเพราะความไม่พยาบาทเป็นปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์โทมนัส.

๑๐. เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง พร้อมกับทุกข์บ้าง พร้อมกับโทมนัส

บ้าง, และเพราะความเห็นถูกต้องเป็นปัจจัย เขาย่อมเสวยทุกข์โทมนัส.

(แต่) เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.

"ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า การถือมั่นสิ่งที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่ต่อ

ไปมีสุขเป็นผล.

 
  ความคิดเห็นที่ 41  
 
chaweewanksyt
วันที่ 11 ก.พ. 2555

เฮ้อ..โล่งอก..ที่พระพุทธเจ้าไม่ลงโทษ (โดยการไม่ให้รู้ธรรมะทั้งปวง) อ่านแล้วทำให้นึกสงสารเหมือนตอนลูกตกงาน...ขอให้ชีวิตผ่านพ้นกรรมนี้โดยเร็วไวเอาใจช่วยสู้ๆ ๆ

สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 42  
 
peem
วันที่ 23 ม.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 43  
 
worrasak
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ